งานอนุสรณ์ดอนเจดีย์ ๒๕๕๖
งานอนุสรณ์ดอนเจดีย์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖
เมื่อเย็นวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมานี้ ผมได้ไปเที่ยวที่ อ.ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งกำลังมีงาน “อนุสรณ์ดอนเจดีย์” งานนี้จัดโดยคนใหญ่คนโตร่วมด้วยทางจังหวัดได้จัดขึ้นอย่างใหญ่โต ซึ่งจัดกันเป็นงานประเพณีทุกๆปี
ผมย้ายมาอยู่ที่อำเภอสามชุกหลายปีแล้ว ไม่เคยได้มาเที่ยวในขณะที่ดอนเจดีย์นี้มีงานเลย เคยมาบ้างก็ตอนที่ไม่มีงาน ดังนั้นในครั้งนี้จึงถือว่า ผมได้มาเที่ยวที่ดอนเจดีย์ที่กำลังมีงานใหญ่ในครั้งนี้เป็นครั้งแรกนั่นเอง
บ้านผมอยู่ที่ อ.สามชุก จึงไม่ไกลจากอำเภอดอนเจดีย์มากมายนัก ประมาณ ๓๐ กิโลเมตรเท่านั้นเอง ดังนั้นจึงออกจากบ้านกันกว่า ๕ โมงเย็นไปแล้ว รถวิ่งช้าๆผ่านอำเภอศรีประจันต์ ไม่ถึง ๔๐ นาทีก็ถึงแล้ว
มาถึงแล้วก็ต้องวนๆอีกหลายรอบสถานที่จัดงาน ก็คือดอนเจดีย์ เพื่อหาที่จอดรถ เรื่องการจอดรถนั้นหาที่จอดลำบากมากครับ ไม่มีที่ว่างเลยแม้แต่ที่เดียว มีรถจอดกันแน่นไปหมด ลักษณะนี้ก็ต้องหาที่จอดรถโดยเสียเงินละครับ ที่จอดรถใกล้ๆก็หายากสักหน่อย ผมวนหาอยู่หลายรอบมีแต่ที่ไกลๆทั้งนั้น ดังนั้นถึงอย่างไรไกลก็ต้องเอาครับ เพราะว่าได้มาแล้วนี่ ผมจึงเข้าไปจอดรถในที่รับฝากรถ “ชั่วคราว” แห่งหนึ่ง โดยเสียเงินค่าจอด ๕๐ บาท ก็ดีครับดีกว่าไม่มีที่จอดครับ
ประตูด้านหน้าซื้อบัตรผ่านประตู ๑๐ บาท เพื่อเข้าไปยังบริเวณงาน
จอดรถเสร็จแล้วก็พากันเดินไปยังงานซึ่งอยู่ไกลมาก ผมว่านะจะซัก ครึ่งกิโลเห็นจะได้ เราพากันเดินไปยังประตูทางเข้าด้านหน้า ซึ่งจะต้องซื้อบัตรผ่านประตูคนละ ๑๐ บาทก่อน และผมยังสงสัยว่าทำไมจึงมีการเสียเงินผ่านประตูด้วย ที่จริงเงิน ๑๐ บาทก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่คิดว่า ผ่านประตูเข้าไปแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นมหรสพให้ดู จะทำอะไรก็ต้องเสียเงินอีกทั้งนั้น เช่น จะดูมวย หรือ จะดูเสียง สี แสง ยุทธหัตถี ก็ต้องซื้อบัตรอีกต่างหาก หรือว่า จะเข้าไปสอยดาวหรืออะไรต่างๆของหน่วยกาชาด ก็ต้องเสียเงินอีก แต่เป็นเพียงที่ผมคิดเท่านั้น
บรรยากาศในงานอนุสรณ์ดอนเจดีย์ในตอนที่ยังไม่ค่ำมากนัก
ผมและครอบครัวซื้อบัตรผ่านประตูแล้วก็พากันเดินเข้าไปข้างใน ขณะนั้นยังไม่มืดยังมองเห็นอะไรๆที่ภายในงานได้ เห็นมีแต่ร้านค้า ร้านอาหาร ทั้งสองข้างของถนนเต็มไปหมด มีช้างหลายเชือกเดินผ่านไปมา สงสัยว่าจะเป็นช้างที่มาแสดงยุทะหัตถีในตอนกลางคืนเป็นแน่ ช้างแต่ละเชือกเขาแต่งเป็นเหมือนช้างศึกในสมัยสงครามที่เราเคยเห็นในภาพยนต์ มีอาวุธต่างๆเช่น หอก ง้าว ที่ใช้รบบนหลังช้างในสมัยโบราณ เสียบอยู่บนที่นั่งหลังช้าง ดูแล้วคึกคักเป็นยิ่งนัก
ช้างที่มาร่วมแสดง ยุทธหัตถีในคืนนี้
ผู้คนประชาชนที่มาที่นี่ ผมคิดว่าต่างก็มาจากต่างจังหวัดไกลๆก็มี นอกจากจะมาเดินเที่ยวงานแล้ว จุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือ มากราบไหว้และปิดทอง พระบรมรูปของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่เป็นรูปหล่อของท่านที่ทรงช้างศึก อยู่หน้าเจดีย์ยุทธหัตถีองค์ใหญ่นั่นเอง
ที่นี่มีคนมากราบไหว้ ปิดทอง และมาขอพรกันแน่นไปหมด ผมและครอบครัวก็เช่นเดียวกัน ไปซื้อดอกไม้ธูปเทียน พร้อมทั้งแผ่นทองแผ่นเล็กๆซึ่งมีอยู่ ๓ แผ่น จุดเทียนและธูป มากราบไหว้และอธิฐานเช่นเดียวกัน ใครจะขออะไร จะอธิฐานว่าอย่างไรก็ตามแต่จะสะดวกของแต่ละคน
บริเวณหน้าพระบรมรูปทรงช้างศึก ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีผู้คนมากราบไหว้ขอพรกันเยอะมาก
บรรยากาศเริ่มมืดแล้วครับ
เสร็จแล้วก็ปรึกษากันว่าหาอะไรกินกันก่อนจะดีกว่า เพราะว่าเวลานี้ก็กว่า ๖ โมงเย็นเข้าไปแล้ว อากาศก็เริ่มจะมืด เพราะว่าหน้านี้ดวงอาทิตย์ตกเร็ว ๖ โมง ก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว
ร้านอาหารมีมากมายเลือกรับประทานเอาตามสบาย
เดินดูไปเรื่อยๆ ร้านอาหารมีมากมาย และขายต่างๆกัน เช่นก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกง ขนมจีน หอยทอด อาหารตามสั่งและอื่นๆ นอกจากนี้ก็ยังมีขนมสารพัดชนิด ให้เลือกซื้อเลือกกินกันมากมาย ผมเดินดูไปเรื่อยๆยังไม่ได้ตัดสินใจว่าเข้าร้านไหนดี ร้านนั้นก็ไม่ดีไม่เห็นมีคนนั่งเลย นั่นแสดงว่าคงจะไม่อร่อยแน่ๆ สุดท้ายมาเห็นร้านหนึ่งมีคนนั่งแน่นร้าน เดินเร่ๆเข้าไปก็เห็นเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเรือนั่นเอง ร้านนี้นอกจากขายก๋วยเตี๋ยวแล้ว ก็ยังมีข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง ข้าวขาหมูอีกด้วย ดังนั้นพวกผมจึงตัดสินใจเดินเข้าไป
ร้านอาหารที่ผมเข้าไปรับประทาน
อาหารของเขาก็พอใช้ได้ เป็นอาหารตามงานวัดนะครับไม่ได้เอาอร่อยอะไรหนักหนาหรอกครับ และเราก็กินกันพอให้หายหิวเท่านั้น ร้านนี้ไม่แพงผิดปกติคือ ข้าวมันไก่มีไก่ไม่กี่ชิ้น ๓๐ บาทเท่านั้นเอง ให้เขาไปเถอะครับให้เขาได้กำไรบ้างก็ไม่เป็นไรครับ
กินข้าวกันแล้วก็มีแรงเดินกันละครับ ต่อจากนี้ก็เดินดูพวกหน่วยกาชาดเขามาออกรางวัลกัน โฆษกพูดมันในอารมณ์ดีครับ เดินไปเดินมาสักทุ่มตรงเห็นจะได้ ไฟที่ประดับองค์เจดีย์ และตรงพระรูปทรงช้าง คลอดจนที่ว่างที่เป็นเวทีประกวดการร้องเพลงลูกทุ่ง ซึ่งในตอนนี้เขาเลิกกันไปแล้ว ไฟฟ้าในบริเวณที่ว่านี้ซึ่งสว่างไสวก็ดับพรึบลง ทีแรกคิดว่าไฟคงลัดวงจร ช๊อตกันทำให้ฟิวส์ขาด และอีกสักพักแผนกช่างเขาคงจะจัดการให้ไฟติดดังเดิมได้เรียบร้อย
คอยอยู่เป็นนานไฟก็ยังไม่ติดสักที ถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆที่เคยมาเที่ยวแล้ว ได้ความว่า เขาจะมีการแสดง แสง สี เสียง ยุทธหัตถีกันและต้องใช้กำลังไฟฟ้ามาก ถ้าไม่ดับไฟบ้างบางส่วนก็กลัวว่าไฟจะไม่พอ ที่ผมพูดออกมาอย่างนี้ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรผมก็ไม่ทราบนะครับ ฟังเขามาอีกทีหนึ่งครับ
เวทีประกวดเพลงของเด็กนักเรียนมาจากจังหวัดต่างๆ
ยืนเสียเมื่อยแล้วก็อาศัยเก้าอี้นั่งพักบ้าง ก็เก้าอี้ที่หน้าเวทีการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งของเด็กๆนักเรียนที่เลิกไปแล้วนั่นเอง นั่งไปแกว่งขาตัวเองไปเพราะว่ายุงที่นี่ชุมมากๆครับ มันกัดซะคันไปหมดทั้งขา นี่ดีนะว่านุ่งกางเกงขายาว ถ้านุ่งขาสั่นละก็ คงแสบไปทั้งขาแน่นอน
สักพักหนึ่งได้ยินเสียง ทางด้านสนามที่แสดงแสง สี เสียง เริ่มแสดงกันแล้ว เสียงคนบรรยายเสียงจุดพลุตึงตังและเสียงอื่นๆดังสนั่นหวั่นไหว ส่วนผมไม่ได้เข้าไปดูนะครับ เพราะว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะมาดูการแสดงนี้ ทีแรกก็ตั้งใจเพียงแต่มาเดินเล่นดูบรรยากาศเท่านั้น จึงเป็นที่น่าเสียดายมาก แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่างานนี้มีอีกหลายวัน จะมีไปจนถึงวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ โน่นแหละ.ยังมีเวลากลับมาดูทัน
ร้านขนมหวานเมืองเพชร
นั่งฟังเสียงการแสดงข้างในดังสนั่นได้สักพักหนึ่งก็ชวนกันกลับ เพราะว่าข้างนอกนั้นไม่มีอะไรจะดูแล้ว ก่อนจะกลับจึงชวนกันไปซื้อของกินที่จะกลับไปกินที่บ้านเสียหน่อย เดินไปซื้อขนมหวานที่มาจากเมืองเพชรได้ สองสามอย่าง แล้วก็ไปซื้อหอยทอดอีก ๔ ห่อ
ซื้อหอยทอดไปกินที่บ้าน
ไหนๆพูดถึงเรื่องซื้อหอยทอดแล้วก็ขอพูดสักนิด ขอติว่าหอยทอดร้านนี้แพงไปหน่อยครับ คือราคาห่อละ ๓๐ บาทตามราคาที่เขียนบอกไว้ ก็ไม่ได้ว่าอะไรกันครับ แต่ว่าภายในห่อนั้นสิครับ มีหอดทอดผมว่าน่าจะมีไม่เกิน ๕ – ๖ ตัว เท่านั้นนอกนั้นก็เป็นแป้งนิดหน่อย แล้วก็ถัวงอก รวมกันเป็นห่อแล้วน้อยมาก น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ผมบอกได้แค่นี้ครับ ท่านใดที่จะซื้ออะไรในงานอย่างนี้ก็ต้องทำใจ แต่ถ้าจะเอากำไรกันมากๆขนาดนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ
ขากลับขับรถประมาณ ๓๐ นาทีเท่านั้นก็ถึงบ้าน แล้วก็เปิดห่อหอยหอดทอดมากิน เห็นแล้วกินไม่ลงครับมันน้อยเกินไปไม่สมกับราคา แล้วรสชาติก็ไม่ดีเลยครับ.
ขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบสอง ๒๗ มกราคม ๒๕๕๖