เขื่อนขุนด่านปราการชล
เมื่อวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 2557 ซึ่งเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเที่ยวจังหวัดนครนายกกับหลานๆ โดยลุงจำรัสผู้เป็นหลานชายได้จองที่พักไว้ให้แล้ว เป็นรีสอร์ทแห่งหนึ่งออกนอกเมืองนครนายกประมาณ 20 กิโลเมตร เราออกเดินทางจาก กทม. ประมาณ 5 โมงเย็นของวันที่ 9 ธ.ค. ก่อนวันหยุดหนึ่งวัน ฝ่าการจราจรที่ติดขัดอย่างหนักไปตามถนน รังสิต – นครนายก
เมื่อถึงตัวเมืองนครนายก เราใช้เส้นทางเดียวกับไปน้ำตกนางรอง (ดูจากป้ายบอกทาง) ผ่านอุทยานวังตะไคร้ไม่ไกลก็เห็นป้ายบอกชื่อเขื่อนขุนด่านปราการชล มีถนนเลี้ยวเข้าไปอีกที แต่เนื่องจากวันนี้ใกล้มืดแล้วก็เลยตกลงกันว่าไปเที่ยวกันพรุ่งนี้ดีกว่า
บอกตามตรงว่าผู้เขียนยังไม่เคยมานครนายกเลย คุณแอ้ดเพื่อนร่วมกลุ่ม สว. ซึ่งน้องชายมีบ้านพักอยู่ที่ อ.บ้านนา นครนายก ได้เคยชวนหลายครั้งให้ผู้เขียนไปเที่ยวนครนายก แต่ก็ยังไม่ได้ไปสักที จนครั้งนี้แหละที่มีโอกาสได้ไปเยือนนครนายก
หลังจากรับประทานอาหารเช้าในรีสอร์ทที่พัก เราก็ออกเดินทางไปเที่ยวเขื่อนขุนด่านปราการชลเป็นแห่งแรก เข้าไปตามป้ายบอกทาง เป็นธรรมดาที่เขื่อนต้องอยู่ลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ เข้าไปอีกประมาณหนึ่งกิโลเมตร
ถนนไปเขื่อน
เส้นทางเข้าเขื่อนค่อนข้างคดเคี้ยว สองข้างทางอุดมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ทำให้สดชื่นและร่มรื่นมาก มองเห็นขุนเขาแต่ไกล
ลานจอดรถนักท่องเที่ยว
เราจอดรถที่ลานจอดรถที่ค่อนข้างกว้างขวาง วันนี้เป็นวันหยุดแต่นักท่องเที่ยวยังไม่มากนัก อากาศค่อนข้างร้อนทีเดียว เรามองเห็นอ่างเก็บน้ำกว้างใหญ่แต่ไกล ทิวเขาลิบๆไกลออกไป เป็นธรรมชาติที่สวยงามมาก
บริเวณรอบๆ เขื่อน
ทางเขื่อนมีบริการจัดรถบัสสำหรับนักท่องเที่ยวได้ชมเขื่อน ในราคาคนละ 30 บาท เป็นรถเปิดโล่งๆให้เห็นทิวทัศน์ได้โดยรอบ มีเจ้าหน้าที่กรมชลประทาน ท่านหนึ่งเป็นคนนำเที่ยวพาชมเขื่อน
รถบริการนักท่องเที่ยวพาชมเขื่อน
เขาเล่าถึงความเป็นมาของเขื่อนขุนด่านปราการชลว่าเป็นโครงการตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากที่เกิดกับประชาชนชาวนครนายกและจังหวัดใกล้เคียง ช่วยให้ประชาชนมีน้ำในการทำเกษตรกรรม ในการอุปโภคบริโภค เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาและบรรเทาอุทกภัยในหน้าน้ำ
ทิวทัศน์หน้าเขื่อน เห็นสันเขื่อนทางขวามือของภาพ
เขื่อนแห่งนี้รับน้ำจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ผ่านน้ำตกเหวนรกลงสู่อ่างเก็บน้ำ เมื่อขึ้นไปสันเขื่อนจะเห็นทิวทัศน์ด้านหน้าเขื่อน และเห็นทิวทัศน์เมืองนครนายกอยู่ด้านหลังเขื่อน
ทิวทัศน์หลังเขื่อน มองเห็นเมืองนครนายก
หลังเขื่อนอีกมุมหนึ่ง
เจ้าหน้าที่กรมชลฯคนนี้ นอกจากจะเล่าความเป็นมารวมทั้งคุณประโยชน์ของเขื่อนแล้ว เขายังแทรกมุขต่างๆให้ไม่เครียดได้อีกด้วย เขาชื่อ คุณเสกสรรค์ เงินจั่น “ เรียกผมว่า หนุ่ย ก็ได้ “ เขาบอก ระหว่างการบรรยาย รถบัสก็เลียบไปตามสันเขื่อนให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงามของเขื่อน ใช้เวลาไปกลับประมาณ 20 นาที
เจ้าหน้าที่กรมชลประทาน คุณเสกสรรค์ เงินจั่น
เสกสรรค์ : ท่านลองมองไปยังผืนน้ำจรดทิวเขาตรงโน้นแล้ว ท่านนึกถึงภาพยนตร์เรื่องอะไร ถ้าท่านนึกไม่ออกผมจะบอกให้ ก็เรื่อง “คิดถึงวิทยา” ไงครับ เขามาถ่ายทำโรงเรียนเรือนแพกันที่นี่ น้องพลอย เฌอมาลย์ ชวนให้ผมเล่นหนังเรื่องนี้ด้วย แต่ผมได้ปฏิเสธไป ผมบอกเธอว่า ผมมีงานประจำเป็นนายแบบอยู่แล้ว ( คำว่านายแบบของผมก็คือเดินดูงานก่อสร้างน่ะครับ) นักท่องเที่ยวปรบมือและหัวเราะกันใหญ่
ผืนน้ำจรดทิวเขา
อากาศเริ่มร้อนจัด หลังจากซื้อน้ำกินและถ่ายรูปกันเล็กน้อย เราก็ออกเดินทางจากเขื่อนขุนด่านปราการชล ไปยังน้ำตกนางรองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขื่อนมากนัก
น้ำตกนางรองเป็นน้ำตกที่ลดหลั่นเป็นชั้นๆ ไม่สูงมากนัก แต่ละชั้นมีแอ่งให้ลงเล่นน้ำ น้ำตกนางรองเป็นน้ำตกขนาดกลาง ถ้าเดินขึ้นไปด้านบนอีก 200 เมตร จะมีสะพานพาดผ่านน้ำตกซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นน้ำตกนางรองเป็นชั้นๆ การเข้าไปในบริเวณน้ำตก นำรถยนต์เข้าได้ สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลเสียค่าเข้า (รวมบุคคล) คันละ 50บาท
น้ำตกนางรอง ชั้นล่าง
แต่เราไม่ได้ขึ้นไปชมน้ำตกชั้นบน ๆ หรอก ได้แต่ลงไปสัมผัสน้ำใสไหลเย็นที่ชั้นล่างสุดเท่านั้น คนมาเที่ยวค่อนข้างบางตา น้ำช่วงนี้ดูไม่มากนัก ถ้าเป็นฤดูน้ำหลากน้ำคงจะไหลบ่ามากกว่านี้ ตอนลงไปน้ำตกเขาทำบันไดปูนหลายขั้นอยู่ ให้คนไปเที่ยวได้ขึ้นลงสะดวก หลังจากลงบันไดก็เดินไปตามก้อนหินใหญ่น้อยตะปุ่มตะป่ำจึงจะถึงน้ำตก ก็ทำให้เหนื่อยได้เหมือนกันสำหรับคน สว. อย่างเรา
น้ำใสไหลเย็น
นั่งชมน้ำตกและสัมผัสสายน้ำกันสักพักก็ออกเดินทางกลับ ตอนนี้บ่ายมากแล้ว รถวิ่งผ่านป้ายข้างทางบอกว่า ตลาดโรงเกลือเมืองนครนายก ก็เลยแวะเข้าไปดู ไหนๆก็เป็นทางผ่านอยู่แล้ว
ตลาดโรงเกลือนครนายก
ตลาดโรงเกลือนครนายก เป็นตลาดที่ใหญ่มาก ร้านค้ามากมาย สินค้าก็มีสารพัดชนิดตั้งแต่ถ้วยโถโอชาม หม้อกระทะ ไปจนถึงรองเท้า กระเป๋า เสื้อผ้า ดูแล้วล้วนเป็นของใหม่ทั้งสิ้น ไม่ใช่สินค้ามือสองอย่างที่ผู้เขียนเข้าใจ ผู้คนที่เข้าไปจับจ่ายซื้อของก็มากจริงๆ เรียกว่าแน่นขนัด แต่ละคนหิ้วของที่ซื้อกันคนละถุงสองถุง
ภายในตลาด มีของขายทุกชนิด
เดินชมตลาดแล้วเราก็ตรงดิ่งกลับ กทม.กันเลยโดยใช้เส้นทางเดิมคือไปตามถนนรังสิต – นครนายก และกลับถึง กทม.ประมาณหกโมงเย็นโดยสวัสดิภาพทุกประการ
ก่อนจบขอเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า วันแรกไปถึงนครนายกก็เกือบมืดแล้ว หลังจากเข้าที่พักก็ออกมาหาอาหารเย็นรับประทานกัน ไม่ไกลจากที่พัก เป็นร้านอาหารที่มีบริเวณกว้างขวาง เขาจัดโต๊ะนั่งเป็นซุ้มๆ บรรยากาศดี พอนั่งโต๊ะก็มีบริกรหญิงมาจดรายการอาหารพร้อมทั้งเสนออาหารแนะนำคือ แกงหมูชะมวง เส้นจันทร์ผัดปู แกงหมูชะมวงผู้เขียนเคยได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยกิน บริกรหญิงอธิบายว่าก็เหมือนแกงมัสมั่น เพียงแต่ว่าใส่ใบชะมวง ไม่มีรสเผ็ด ตกลงลองกินดูก็ดีนะ
แกงหมูชะมวงกับเส้นจันทร์ผัดปู
แกงหมูชะมวงของร้านนี้มีลักษณะคล้ายแกงมัสมั่น น้ำแกงข้นๆและไม่เป็นสีแดง ไม่มีรสเผ็ด มีหมูเป็นก้อนและใบชะมวงเป็นส่วนประกอบ รสชาติออกไปทางหวานมากกว่า สำหรับเส้นจันทร์ผัดปูก็คล้ายก๋วยเตี๋ยวผัดไท เพียงแต่ไม่มีเครื่องเท่านั้น รสชาติก็หนักไปทางหวานเช่นกัน ต้องบีบมะนาวจะดีขึ้น การท่องเที่ยวในวันนี้ก็ขอจบเพียงเท่านี้
เนื่องในโอกาสที่ปีใหม่ 2558 กำลังจะมาถึง ก็ขออำนวยพรให้ทุกท่านประสบโชคดี ร่ำรวยๆ แคล้วคลาดปลอดภัยในทุกประการด้วยเทอญ .
แล้วพบกันใหม่ บ๊ายบายค่ะ
โชคดีปีใหม่ทุกๆท่าน สวัสดี
.
อ. ปลาทอง 23 ธันวาคม 2557