พี่สุภัทรคนรักหมา

พี่สุภัทร (ซ้าย) กับเพื่อนที่มาเยี่ยมเยียนที่บ้านในซอยแว่นตา ถนนงามวงค์วาน

 พี่สุภัทร คนรักหมา ๑

     ในจำนวนผู้คนที่ผู้เขียนรู้จัก เห็นจะไม่มีใครรักหมาเกิน พี่สุภัทร คนนี้ไปได้ พี่สุภัทรคนนี้คือเพื่อนร่วมงานที่ทำงานอยู่ด้วยกันเป็นเวลาอันยาวนาน

    ต่อมาพี่แกก็เกษียณอายุราชการไป ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มาพบกันที่ทำงานแล้ว แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพวกเราอีกหลายๆคนที่เคยอยู่ในก๊วนเดียวกัน ก็ยังได้มาพบปะกันที่บ้านพี่สุภัทรในซอยแว่นตา ถนนงามวงค์วานเสมอๆ

     พี่สุภัทรเคยเลี้ยงหมาพุดเดิ้ลชื่อ บิวตี้ พี่เขาก็รักเอ็นดูและผูกพันเลี้ยงดู บิวตี้ เหมือนลูกแท้ๆเลยทีเดียว เขาจะสรรหาสิ่งดีๆให้หมาของเขาเช่น ป้อนอาหารเสริม และวิตามินราคาแพงๆให้เจ้าบิวตี้ กินเป็นประจำ

     จนมันมีอายุยืนยาวถึง 17 ปี จึงได้ตายจากไป วันที่มันตาย (เพราะแก่ตาย) พี่สุภัทรเศร้ามากจนทำใจแทบไม่ได้ ถึงขนาดบอกว่าพี่จะไม่เลี้ยงหมาอีกแล้ว

 แล้ววันหนึ่งมีหมาจรจัดป่วยซมซานมานอนอยู่ข้างรั้วบ้าน พี่แกเห็นแล้วก็สงสารมากเลยเอามันขึ้นรถ

   ไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์ ม.เกษตรฯ ที่อยู่ใกล้บ้าน เสียค่ารักษาไปเป็นพัน แต่พี่บอกว่า "พี่ไม่เสียดายเงินหรอก พี่ได้ทำกุศลได้ช่วยชีวิตมันไว้" แล้วพี่ก็เอามันเข้ามาดูแลในบ้าน ให้ชื่อว่าเจ้าไวท์เพราะมันมีขนสีขาว และมันเป็นหมาตัวเมีย

    วันเวลาผ่านไปอยู่มาวันหนึ่ง พวกเราก็ไปเยี่ยมพี่สุภัทรที่บ้านซอยแว่นตา ตั้งใจจะไปชวนพี่แกไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน ไปพักสักคืนสองคืน พี่แกบอกว่า "พี่ไปไม่ได้หรอกเป็นห่วงลูก"  "อ้าว ! พี่มีลูกแล้วหรือ มีตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ" แล้วพี่สุภัทรก็หันซ้ายหันขวา ก้มๆเงยๆ ปากก็ตะโกนเรียกชื่อลูกของแก ด้วยเสียงอันดัง

  “บราวน์ ไดม่อน มาหาแม่เร้ว มาดูพี่พี่เขามากันเต็มบ้านเลยลูก” พี่สุภัทรร้องเรียก สักครู่หนึ่งพวกเราก็เห็นหมาไทยน่ารักสองตัว อายุประมาณ 3 – 4 เดือน ค่อยๆโผล่หน้าออกมาจากข้างกระถางต้นไม้ "มันขี้อาย" พี่สุภัทรบอก พี่ไปได้หมาพวกนี้มาจากไหนกันล่ะ

  บราวน์กับไดม่อนที่พี่สุภัทรนำมาเลี้ยงไว้

   "ก็ลูกเจ้าไวท์ไงล่ะ มีคนมาขอพี่ยังไม่ให้เล้ย "   “แล้วมันเป็นตัวผู้หรือตัวเมียล่ะ” พวกเราถาม     “ตัวเมียทั้งคู่เลย” พี่สุภัทรตอบ

  เฮ้อ ! ไม่รู้อีกหน่อยพี่เขาจะต้องเลี้ยงหมาเต็มบ้านหรือเปล่าก็ไม่รู้ ......!

         
พี่สุภัทร คนรักหมา ๑ เขียนโดย  อ.ปลาทอง 
 
   พี่สุภัทรคนรักหมา ๒

    เมื่อสองสามวันมานี้ผู้เขียนได้โทรศัพท์ ไปคุยกับพี่สุภัทรเป็นปกติเหมือนที่ผ่านมา คำแรกที่พี่สุภัทรบอกก็คือ
   "นี่เธอ นังนากมันตายแล้วนะ"
   "นากไหนพี่ นากพระโขนงเหรอ" ผู้เขียนแกล้งแซวพี่เขา
   "ก็นังนากแมวที่พี่เก็บมาเลี้ยงไง สงสารมันจริงๆ มันถูกเจ้าบราวน์กับเจ้าไดม่อนเล่นงานเอา เธอรู้ไหม"

    เรานึกไปถึงแมวตัวที่พี่สุภัทรพูด จึงนึกได้ว่านังนากเป็นแมวสีน้ำตาลตัวเมีย ที่หลงมาแล้วพี่เขาสงสารก็เลยเลี้ยงไว้ ไปบ้านพี่ทีไรก็จะเห็นมันนั่งเฉยอยู่บนหลังตู้กับข้าวของพี่เขาทุกครั้ง

   "มันไม่ชอบไปเที่ยวที่ไหนหรอก อยู่แต่ในบ้าน" พี่สุภัทรบอก

   วันเกิดเหตุพี่แกคงลืมปิดประตูครัว เจ้าบราวน์กับเจ้าไดม่อนซึ่งกำลังซุกซน เลยเข้าไปสำรวจในครัว และพบนังนากซึ่งอาจจะไม่ทันระวังตัว ก็เลยหนีหมาสองตัวนี้ไม่ทัน

   พี่สุภัทรเล่าว่าขนาดคนข้างบ้าน มาช่วยกันดึงหมาออกมา ยังช่วยนังนากไว้ไม่ได้เลย ฟังพี่แกเล่าแล้วให้สงสารนังนากเป็นที่สุด ไปบ้านพี่ทีไรก็เห็นมันทุกครั้ง

   นี่ก็ยังเป็นห่วงแมวข้างบ้านของผู้เขียนที่ชื่อ"ลักกี้" เพราะมันชอบมาเดินลอยชายบนกำแพงบ้าน (บ้านติดกัน) กลัวว่าสักวันมันจะหนีเจ้าการ์ตูนกับเจ้าขุนตาลไม่ทัน ไม่รู้เป็นไง หมากับแมวนี่มันช่างไม่ชอบใจกันเสียจริง.. !

      เจ้าการ์ตูนกับเจ้าขุนตาลมันอาจจะคิดว่า อย่าเผลอก็แล้วกัน ไม่งั้นแกเสร็จข้าแน่....

พี่สุภัทธคนรักหมา ๒ เขียนโดย   อ.ปลาทอง

พี่สุภัทร คนรักหมา ๓

    ปีใหม่ปีนี้กลุ่มพวกเราตกลงไปปีใหม่กัน ที่บ้านพี่สุภัทร (คนรักหมา) ที่ถนนงามวงศ์วาน เหมือนทุกปีที่ผ่านมา  โดยนัดหมายกันเป็นวันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2553 เราได้ไปสวัสดีปีใหม่พี่เขา ในฐานะที่พี่อาวุโสที่สุด ในกลุ่มพวกเราที่สนิทสนมกันและทำงานร่วมกันมานาน แม้พี่จะเกษียณอายุราชการไปหลายปีแล้วก็ตาม

   แล้วเราก็ซื้ออาหารคนละอย่างสองอย่างไปกินด้วยกัน เป็นที่สนุกสนาน เสียงพูดคุยกันให้เซ็งแซ่ไปเสียทุกครั้งที่ได้รวมกลุ่มกัน เกือบลืมบอกไปว่าเพื่อนกลุ่มนี้ ล้วนแล้วแต่อายุเลยเลขหลักห้ากันแล้วทุกคน บางคนก็ถึงหลักหกแล้ว รวมอายุคนที่ไปกันวันนี้ก็นับได้เกือบห้าร้อยปีทีเดียวนั่นเลย

 เมื่อวันที่ ๑๐ มค.๕๓ ที่บ้านพี่สุภัทร (นั่งข้างบนที่ ๒ จากซ้าย) ซอยโรงงานแว่นตา ถนนงามวงค์วาน

    เรื่องที่จะเล่าในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องวันปีใหม่ที่บ้านพี่สุภัทรหรอก แต่เป็นเรื่องของพี่สุภัทรโดยเฉพาะก็คือว่า พี่สุภัทรนอกจากจะรักหมาแล้ว สิ่งที่พี่แกรักและชอบเป็นชีวิตจิตใจอีกอย่างก็คือต้นไม้

    บ้านพี่เขาบนเนื้อที่ 200 ตารางวาในซอยแว่นตา จะปลูกต้นไม้เต็มไปหมด พวกเราบางคนบอกบ้านแกใกล้จะเป็นป่าเข้าไปทุกทีแล้ว

   แต่พี่ก็ยังขยันซื้อขยันหาต้นไม้มาปลูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พี่เขาไม่ใช่รักอย่างเดียวต้นไม้น่ะ แต่หวงด้วยเวลาพวกเราไปเที่ยวบ้านพี่สุภัทร นอกจากเรื่องหมาแล้วพี่เขาจะคุยถึงต้นไม้ด้วยความสุขใจว่า ตอนนี้ได้ต้นอะไรใหม่มา ซื้อมาจากไหนราคาต้นละเท่าไร

   " นี่เธอ ! มาดูต้นแก้วมุกดา นี่สิ สวยไหม พี่เพิ่งซื้อมาเมื่อสองวันนี้เอง ราคาต้นละห้าร้อยแน่ะ ถ้าโตกว่านี้ต้นละเป็นพันเลยนะเธอ นี่พี่กำลังบำรุงด้วยปุ๋ยอยู่จะได้โตเร็วๆ "

    ในกลุ่มพวกเรานอกจากพี่สุภัทรแล้ว ก็มีผู้เขียนที่ชอบต้นไม้มากกว่าใครในกลุ่มจนเป็นที่รู้กัน เมื่อหลายปีมาแล้วที่มาสังสรรค์กัน ที่บ้านพี่สุภัทรแบบนี้แหละ เราเกิดชอบใจต้นไม้ต้นหนึ่งของพี่สุภัทร มันสูงเลยศีรษะพวกเราอีก พี่สุภัทรบอกว่ามันชื่อต้น

   “ยางอินเดียด่าง” ใบมันเป็นสีเขียวและหนามาก เหมือนกับมีขลิบหรือริ้วๆสีครีมที่ใบ สวยมาก

   “พี่ หนูขอตัดกิ่งไปสัก 2 กิ่งจะไปปักดินเผื่อมันจะขึ้น” ผู้เขียนลองขอดู “อย่าเพิ่ง เดี๋ยวพี่ทำให้ คราวหน้าเธอค่อยมาเอา วันนี้เธอเอาพวกพลูด่างไปก่อนซิ นี่เยอะแยะเลย ”

    แล้วแกก็รีบดึงพวกพลูด่างมาให้เราเสียถุงใหญ่ คนอื่นๆในก๊วนแอบกระซิบว่า เอามาทำไม รกบ้าน !

  หลังจากนั้นพวกเราไปบ้านพี่สุภัทรอีกหลายครั้ง แต่กิ่ง “ยางอินเดียด่าง” ก็ยังไม่ได้ พี่เขาบอกว่าพี่ลืมไป เสียทุกครั้ง

    หรือไม่ก็บอกว่า ตอนนี้หน้าร้อน ถึงตัดกิ่งไปมันก็ไม่ขึ้นหรอก พรรคพวกก็ช่วยกันดีเหลือเกิน แนะนำว่า มาบ้านพี่สุภัทรคราวหน้า เธอเตรียมกรรไกรตัดต้นไม้แล้วเอาถุงใบใหญ่ๆมาด้วย พอพวกเราชวนพี่แกคุย เธอรีบไปตัดกิ่งต้นไม้ที่เธอต้องการเลยนะ

    ในที่สุดก็ได้กิ่งต้นยางอินเดียด่างมา 2 กิ่ง ก็เอาไปปักชำในดิน โชคดีที่ขึ้นหนึ่งต้นและเจริญงอกงามดี จนต้นโตสูงถึงหน้าต่างบ้านแล้ว อยู่มาวันหนึ่งพี่สุภัทรมาธุระที่ราชบุรีแล้วก็เลยมาหาข้าพเจ้าที่บ้าน โดยไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน

   “นี่เธอ ต้นยางอินเดียด่างต้นนี้ สวยมากนะ เธอซื้อมาต้นละเท่าไร” พี่แกมองไปที่ต้นไม้นั้นไม่ละสายตา

  “ต้นละ 150 บาทเอง ปลูกกว่าต้นจะโตได้ขนาดนี้ก็นานเหมือนกันนะ พี่” ผู้เขียนจำเป็นต้องโกหกแกไว้ก่อน

  แล้วพี่แกก็เดินดูต้นไม้ต้นนั้นต้นนี้ที่ผู้เขียนปลูกไว้ ขณะนั้นผู้เขียนก็ขอสมาลาโทษพี่แกอยู่ในใจที่ทำบาป คือพูดโกหกกับแกเมื่อกี้เรื่องต้นไม้และเรื่องที่ขโมยต้นไม้แกมา แล้วเราก็ได้ยินพี่สุภัทรพูดขึ้นมาว่า

  “นี่เธอ เอากรรไกรตัดต้นไม้มาให้พี่หน่อย พี่จะตัดกิ่งต้นยางอินเดียด่างสักสองสามกิ่ง จะเอาไปชำ ต้นที่บ้านพี่มันแก่แล้ว พี่จะได้ไม่ต้องเสียเงินไปซื้ออีกหลายร้อย เร็วๆเข้า พี่จะรีบไปแล้ว”

   เฮ้อ ! ผู้เขียนกับพี่สุภัทรนี่เหมือนกันเลยนะเรื่องต้นไม้ อย่างนี้เขาเรียกว่า กงกรรมกงเกวียนหรือเปล่า ทำอะไรไว้ก็ย่อมได้สิ่งนั้น โดยแน่แท้...

 

พี่สุภัทรคนรักหมา ๓  เขียนโดย   อ.ปลาทอง

 อ.ปลาทองกับหมาชื่อ มอมแมม 

     ที่ผ่านมาได้เขียนถึงเรื่องหมา และเรื่องที่เกี่ยวกับพี่สุภัทรมาหลายตอน ตอนนี้ขอเขียนถึงหมาของตัวเองบ้าง

   ปัจจุบันผู้เขียนมีหมาที่เลี้ยงไว้ทั้งหมดหกตัว โดยสามตัวอยู่ที่บ้านพักที่ราชบุรีคือ ซาเล้ง การ์ตูนและขุนตาล ส่วนอีกสามตัวอยู่ที่ไร่เจ็ดเสมียนคือ นุ่น หมูอ้วนและมอมแมม   

    หมาแต่ละตัวต่างก็มีที่มาแตกต่างกัน แต่ตัวที่มีชีวิตที่ลำเค็ญกว่าใครก็คือ เจ้ามอมแมม (ชื่อเหมือนกับหมาของนายแก้ว) ซึ่งเป็นหมาพันธุ์ผสมระหว่างพุดเดิ้ลกับชิตสุ (คิดเอาเอง)

 

    นุ่น

    เหตุเกิดเมื่อกลางปีก่อน ระหว่างที่นั่งรถไปกับยายณีซึ่งเป็นน้องสาว เพื่อจะไปดูไร่ที่เจ็ดเสมียน จำได้ว่าเป็นวันอาทิตย์

    ขณะที่รถวิ่งผ่านโรงเรียนวัดบ้านกล้วย ที่ยายณีเขาเป็นอาจารย์สอนเด็กอยู่ ก็เห็นหมาตัวเล็กๆขนยาวรุงรังดูสกปรกมอมแมม เดินอยู่ข้างถนน ยังพูดกันว่าน่าสงสารหมาตัวนี้ ไม่รู้หลงกับเจ้าของหรือเขาเอามาปล่อย พอมีธุระยุ่งๆก็เลยลืมเรื่องนี้ไป

    ตอนเย็นวันจันทร์คือวันรุ่งขึ้น ยายณีกลับจากโรงเรียนก็มาเล่าให้ฟังว่า หมาตัวนั้นมันกระเซอะกระเซิง  เข้ามาหลบอยู่ที่โรงครัวของโรงเรียน คงจะหิวมาก แม่ครัวสงสารก็ให้ข้าวกิน

   ผู้เขียนก็ยังดีใจว่ามันคงไม่อดตายแล้ว แต่ยายณีบอกว่ามันถูกหมาที่โรงเรียนรุมกัดกว่าจะหลบเข้าไปในโรงครัวได้ (ที่โรงเรียนนี้มีหมาจรจัดมาอาศัยอยู่เกือบสิบตัว)

   อาทิตย์หน้าโรงเรียนก็จะปิดเทอมแล้ว ใครจะให้ข้าวมันกินมันอาจจะถูกหมาเจ้าถิ่นกัดตายก็ได้ คิดแล้วก็ให้สงสารเป็นอันมาก ข้อสำคัญมันเป็นเพียงหมาตัวเล็กๆที่เจ้าของคงเอามาปล่อยให้มันเผชิญชีวิตเอง เขาช่างใจร้ายจริงๆ !

หมูอ้วน

      ในที่สุดก็คิดว่าคงต้องช่วยหมาตัวนี้ ที่ไร่เราก็ออกกว้างขวาง เอาหมาไปอยู่อีกสักตัวคงไม่เป็นไร (เดิมมีอยู่แล้วสองตัว) ก็ให้ยายณีคอยดูที่โรงเรียนทุกวันว่ามันยังอยู่ที่โรงครัวหรือเปล่า

    พอถึงวันเสาร์ต่อมาซึ่งเป็นวันหยุดราชการ เราก็เตรียมข้าวไปให้มันกินและเตรียมกรงหมาไปด้วย

    พอไปถึงโรงเรียนเนื่องจากเป็นวันเสาร์ จึงไม่มีนักเรียนมาเลย ทำให้เราปฏิบัติการได้สะดวก เราสองคนก็ไปที่โรงครัว หามันไม่เจอจนที่สุดจึงเห็นว่ามันหลบอยู่ใต้ตู้กับข้าว     

    ท่าทางมันกลัวมาก เราต้องพยายามเอาของกินไปล่อ มันคงหิวจึงออกมา ดูจากสภาพมันคงโดนทำร้ายมามากเพราะตามตัวมีเลือดแห้งๆหลายที่ติดอยู่ตามขนที่สกปรกและยาวรุงรัง

    มันเป็นหมาคล้ายกับพุดเดิ้ลแต่ขนไม่หยิกเท่าก็เลยคิดว่าเป็นพันธุ์ผสม เป็นหมาตัวผู้ และคงมีอายุมากแล้ว ที่คอมีปลอกคอเก่าๆอยู่ด้วย

     พอมันเผลอเราก็เอาสายสำหรับจูงหมาเกี่ยวที่ปลอกคอ เอาผ้าคลุมตัวมันแล้วอุ้มไปใส่กรง แต่ก็ไม่ง่ายหรอกเพราะมันตกใจกลัว ดิ้นและพยายามต่อสู้ คิดว่าคงเป็นเพราะมันถูกทำร้ายมามากมันจึงต้องป้องกันตัว

    ในที่สุดเราก็พามันมาที่ไร่จนได้แต่ต้องผูกเอาไว้ก่อน มิเช่นนั้นมันอาจจะหนีออกไปจากไร่ได้ ยังดีที่เจ้านุ่นและเจ้าหมูอ้วนหมาสองตัวไม่แสดงอาการอะไรกับสมาชิกใหม่ตัวนี้ ได้แต่มาเมียงมองด้วยความสงสัยเท่านั้น

   เราพยายามทำความคุ้นเคยกับมัน ให้มันหายกลัว เอาข้าวเอาน้ำให้กิน เรื่องความสกปรกของตัวมันหรือแม้แต่ว่ามันถูกกัดที่ไหนบ้าง ต้องปล่อยไปก่อนเพราะใครไปจับหรือโดนตัวมัน มันจะกัดท่าเดียว มันยังไม่ไว้วางใจใครทั้งนั้น

 มอมแมม ภาพนี้มอมแมมได้รับการปรับปรุงใหม่แล้ว

    เราจึงตั้งชื่อให้ว่า เจ้ามอมแมม เพราะมันมอมจริงๆ และก็เรียกชื่อนี้บ่อยๆเพื่อให้มันชินกับชื่อใหม่ มันเป็นหมาที่ฉลาดนะ เพราะเรียกชื่อนี้ไม่เท่าไร มันก็จำชื่อใหม่ของมันได้ เรียกก็หันหน้ามาทันที

    พอคุ้นกันดีแล้วก็อาบน้ำทำความสะอาดให้ พาไปฉีดวัคซีนและรักษาแผลที่ถูกกัดมา ปัจจุบันเจ้ามอมแมมมีชีวิตที่มีความสุขในไร่เจ็ดเสมียน ทุกครั้งที่เราไปไร่(ส่วนมากจะเป็นวันเสาร์อาทิตย์) พอเห็นรถเลี้ยวเข้าประตู

    เจ้ามอมแมมจะวิ่งนำหน้าเจ้านุ่นและเจ้าหมูอ้วน มาต้อนรับด้วยความดีอกดีใจยิ่งนัก ยิ่งมีขนมไปให้ยิ่งแล้วใหญ่ มันจะเข้ามาคลอเคลียประจบประแจงอยู่ไม่ห่าง บางทีมันก็ไล่กัดเจ้าสองตัวให้ไปห่างๆเสียด้วยซ้ำ

    ทุกครั้งที่เราเห็นเจ้ามอมแมม จะนึกว่าถ้ามันไม่เจอเรา ป่านนี้จะเป็นอย่างไร อย่างน้อยเราก็ได้ทำบุญกุศลที่ได้ช่วยชีวิต ชีวิตหนึ่งไว้ แม้ว่าจะเป็นเพียงหมาตัวเล็กๆตัวหนึ่งก็ตาม...

 

 

อ.ปลาทอง ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓

www.chetsamian.org ขอสงวนลิขสิทธิ์ ข้อมูลและรูปภาพบนเว็บไซต์ทั้งหมด โดยไม่อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ ทำซ้ำ แก้ไข หรือ ดัดแปลง ไม่ว่าจะเป็นบางส่วน หรือทั้งหมด หากท่านใดต้องการข้อมูลบนเว็บไซต์ www.chetsamian.org กรุณาติดต่อ นายแก้ว โดยส่ง email มาที่ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.    เพื่อขออนุญาตเสียก่อน เนื่องจากข้อมูล และรูปภาพบางเรื่องและบางชิ้น เป็นของท่านผู้เขียน และท่านสมาชิก ที่ได้เขียนเรื่องต่างๆ และให้ขอยืมภาพต่างๆ มาลงไว้ ซึ่งทางผู้จัดทำเว็บไซต์ จำเป็นจะต้องขออนุญาต จากทางเจ้าของผลงานก่อนทุกครั้ง จึงเรียนมาเพื่อทราบ. 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้172
เมื่อวานนี้299
สัปดาห์นี้1586
เดือนนี้2025
ทั้งหมด1406045

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online