ไพบูล ฉายอรุณ (ซื้อที่ดิน ๑ )

 นี่คือนายไพบูล ฉายอรุณ เขาเป็นใครทำไมจึงเอาเรื่องของเขามาเขียน โปรดรออ่านตอนต่อๆไป ในตอนแรกนี้จะยังไม่มีนายไพบูลเข้ามาเกี่ยว ขอเขียนเป็นบทนำเรื่องก่อนครับ

    นานกว่า ๗ ปีแล้วที่ผมและภรรยาพร้อมด้วยลูกชายคนโต มาหากินโดยตั้งร้านขายอุปกรณ์ในการเรียนการเขียน ที่เรียกว่าร้านขายเครื่องเขียนแบบเรียน ที่ตึกแถวข้างมหาวิทยาลัยราชมงคล ศูนย์สุพรรณบุรี

    ที่ร้านของผมนอกจากจะขายเครื่องเขียนแบบเรียนแล้ว ยังมีบริการอีกหลายอย่าง เช่นมีเครื่องถ่ายเอกสารรับถ่ายเอกสาร รับส่งแฟกซ์ ตลอดจนรับเข้าเล่มหนังสือต่างๆและอื่นๆอีกครบวงจร ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยนี้ นอกจากนั้นเป็นครู อาจารย์ ข้าราชการตลอดจนชาวบ้านที่มาถ่ายทะเบียนบ้าน บัตรประชาชนและเอกสารอื่นๆกันเรื่อยๆตลอดทั้งวัน

  

   สถานที่ประกอบกิจการของผมอยู่ที่ ด้านข้างของมหาวิทยาลัยราชมงคล ศูนย์สุพรรณบุรี เป็นร้านถ่ายเอกสารและขายเครื่องเขียนแบบเรียน อีกด้านหนึ่งนั้นเป็นร้านที่ให้บริการ อินเตอร์เน็ตเพื่อการศึกษา มีนักเรียนนักศึกษาและบุคคลอื่นๆเข้ามารับบริการทุกวัน

  เมื่อผมและครอบครัวมาอยู่ที่นี่นานๆเข้า ก็นึกอยากจะมีที่ดินในละแวกนี้ เพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัยให้เป็นหลักเป็นแหล่งเสียเลย เพราะว่าในตอนนี้พักอาศัยหลับนอนที่ร้านนี้ มันค่อนข้างจะคับแคบ และรู้สึกอึดอัดใจไม่มีที่ให้เดินเล่นหรือปลูกต้นไม้ให้ร่มรื่น

  ผมและภรรยาพร้อมด้วยลูกๆ ตั้งใจกันไว้นานแล้ว ในเรื่องที่จะหาซื้อที่ปลูกบ้านให้เป็นที่อยู่อาศัยแบบถาวร แต่ก็ยังหาที่ดินที่เหมาะๆ ที่ถูกใจจริงๆไม่ได้สักที  ในใจก็คิดว่าของแบบนี้ต้องใจเย็นๆ สักวันหนึ่งจะต้องมีมาเองจนได้แหละน่า...!

    มองจากภายในร้านจะเห็นรั้วของมหาวิทยาลัยอยู่ตรงกันข้าม

  ถนนข้างมหาวิทยาลัยมองจากหน้าร้านจะเห็นอาคารของมหาวิทยาลัยอยู่ภายในรั้ว

  วันหนึ่งมีผู้หญิงอายุมากแล้วคนหนึ่งชื่อพงษ์ เป็นคนที่รู้จักกันดีแกเป็นแม่ค้าขายอาหารตามสั่ง มีร้านย่อยๆอยู่ไต้ถุนหอพักแห่งหนึ่ง เลยร้านถ่ายเอกสารของผมไปหน่อย  ใครๆแถวๆนี้แม้แต่ที่บ้านผมทุกคนเรียกแกว่า "ยายพงษ์" 

  วันนั้นยายพงษ์มาถ่ายเอกสารแต่เช้า ในขณะที่แกรอเอกสารที่ผมถ่ายให้อยู่นั้น ผมถ่ายเอกสารไปปากก็คุยกับแกเรื่องจิปาถะ  คุยกันไปคุยกันมาก็วกเข้ามาคุยมาวิจารณ์กันเรื่องที่ดิน เพราะว่าในตอนนี้ที่ดินแถวรอบๆมหาวิทยาลัยเริ่มแพงขึ้นมาแล้ว

   เพราะเหตุว่าเมื่อมีมหาวิทยาลัยก่อตั้งขึ้นมา ชุมชนตรงนี้ก็เจริญขึ้นมาโดยปริยายซึ่งเป็นของธรรมดา มีผู้คนที่มีเงินจากที่ต่างๆมาซื้อที่ดินรอบๆมหาวิทยาลัยนี้เอาไว้มากมาย เพื่อที่จะสร้างอาคารพานิช หรือหอพักให้นักศึกษาที่อยู่ไกลๆมาเช่าอยู่ ซึ่งแต่ละหอพักก็เห็นนักศึกษาอยู่กันเต็มทุกที่

 คนมีเงินอยู่ที่ไหนๆก็มาหาซื้อที่ดินแถวนี้ สร้างหอพักให้นักศึกษาเช่านับวันจะมากมายยิ่งขึ้น ที่ดินก็เริ่มแพงมากขึ้น ที่เห็นนี้เป็นหอพักทั้งนั้น

  ขณะคุยกันนั้นตอนหนึ่งยายพงษ์ถามขึ้นว่า “เวลานี้ยังต้องการซื้อที่อีกไม๊เฮีย ” แกถามผมโดยที่ยังไม่ได้บอกรายละเอียด แล้วมองดูว่าผมจะสนใจหรือไม่ เมื่อเห็นผมไม่พูดอะไรออกมา แกรีบพูดต่ออีกว่า " มีที่ดินอยู่แปลงหนึ่งเจ้าของเขาอยากขายใช้หนี้ ที่ตรงนี้สวยมากเนื้อที่ ๔ ไร่ หน้ากว้างเกือบจะเป็นสี่เหลี่ยมเลยทีเดียว ด้านหน้าติดถนนวัดลำพยา ด้านหลังติดคลอง เจ้าของเขาขายไม่แพงหรอก  "

  ทีแรกยายพงษ์พูดเกี่ยวกับเรื่องที่ดินนั้นผมก็ไม่สนใจเท่าไร เพราะว่าเจอกันทีไรแกจะถามผมบ่อยๆ ในเรื่องที่ดินจนผมชินเสียแล้ว

  ผมหูผึ่งขึ้นมาเมื่อได้ยินยายพงษ์แกบอกว่า " ด้านหน้าติดถนน ด้านหลังติดคลอง " ผมจึงแกล้งๆถามแกแบบทำเป็นไม่สนใจเท่าไร "ที่ตรงไหนยายพงษ์ " ผมเอ่ยปากถามแก ต่อจากนั้นยายพงษ์ก็บอกผมเรื่องที่แปลงนี้ และรับปากว่าจะเอาหน้าโฉนดมาให้ผมดูในตอนบ่ายวันนี้ด้วย 

   ตกตอนบ่ายยายพงษ์มาที่ร้านอีก พร้อมกับนำสำเนาโฉนด (ถ่ายเอกสารไม่ใช่ของจริง) มาให้ดูด้วย ผมขอบใจยายพงษ์ แกบอกว่าถ้าผมสนใจก็บอกแกได้นะแกจะพาไปดูที่ซึ่งอยู่ไม่ไกล แล้วแกก็กลับไปขายอาหารของแก ที่ไต้ถุนหอพักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านถ่ายเอกสารของผม

   ผมบอกให้คุณหวานภรรยาของผม ที่ช่วยกันทำงานที่หน้าร้าน เอาโฉนดไปให้ลูกชายและลูกสะไภ้ของผมที่ทำงานอยู่ด้วยกันช่วยกันดูหน่อย พวกเขาดูกันแล้วก็ลงความเห็นว่า ที่ดินแปลงนี้น่าจะดีเพราะว่าดูแล้วก็ถูกใจทุกคน และคิดว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อพวกเราน่าจะไปดูสถานที่จริงๆกันเลยจะดีกว่าโดยให้ยายพงษ์พาไปดู ถ้าถูกใจจริงๆจะได้ไปพบเจ้าของที่คุยกันเรื่องราคาด้วยเลย

 คนขวาของภาพคือคุณหวาน ภรรยาของผู้เขียน ซึ่งในเรื่องนี้จะกล่าวถึงอยู่เรื่อยๆ   (ภาพนี้ที่ท่าน้ำวัดบางขวาก ริมแม่น้ำท่าจีน สามชุก สุพรรณบุรี)

   วันรุ่งขึ้นในตอนสายนักศึกษาเข้าห้องเรียนกันหมดแล้ว งานที่ร้านไม่ยุ่งเท่าไร จึงได้ปิดร้านเอาไว้ชั่วคราวผมกับคุณหวาน ลูกชายพร้อมด้วยลูกสะไภ้ ไปรับยายพงษ์ที่ร้านของแก แล้วให้แกพาไปยังบ้านเจ้าของที่ ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆที่ดินแปลงที่เขาจะขายนั่นเอง

  รถวิ่งประเดี๋ยวเดียวก็ถึง เพราะว่าอยู่ห่างกันแค่กิโลครึ่งเท่านั้น ยายพงษ์ลงจากรถแล้วชี้ให้ดูที่ดินแปลงที่ว่านี้ พวกผมเดินลงไปสำรวจด้านหลังที่ว่าติดคลองจริงหรือเปล่า สุดที่นี้มีคลองจริงๆเป็นคลองที่กว้างมากพอสมควร น้ำในคลองใสแจ๋วไหลเอื่อยๆ มีผักตบกอใหญ่ๆไหลไปตามน้ำเป็นระยะ

   ผมบอกคุณหวานและลูกๆว่า "ที่ตรงนี้สวยดีและเป็นไปตามความประสงค์ แต่ก็มีข้อเสียบ้างก็คือพื้นของที่อยู่ต่ำกว่าถนนมาก ถ้าปลูกบ้านคงต้องถมที่กันมากมาย กว่าจะเสมอหรือสูงกว่าถนน ลูกชายของผมบอกว่า "ถ้าเราจะปลูกบ้านก็ถมดินตรงที่เราจะปลูกเท่านั้นคงไม่เท่าไรหรอก "

    เมื่อเดินดูกันจนพอใจแล้ว ก็บอกยายพงษ์ให้พาไปพบเจ้าของที่ ซึ่งยายพงษ์บอกว่าบ้านแกอยู่ไม่ไกลจากตรงที่นี้มากนัก เจ้าของที่ดินชื่อว่านายเฉลียว

   พวกเรานั่งรถไปไม่นานนักก็ถึงบ้านนายเฉลียว ซึ่งเป็นบ้านเก่าๆหลังเล็กๆ นายเฉลียวอยู่กับภรรยาที่บ้านหลังนี้เพียง ๒ คนเท่านั้น ลูกๆคงออกเรือนแล้วไปอยู่ที่อื่นๆกันหมด

 

  ที่ดินของนายเฉลียวเป็นพื้นที่โล่งๆ ด้านหน้าอยู่ริมถนนราดยาง ด้านหลังติดคลองบางขวากซึ่งมีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี ภาพนี้ถ่ายเมื่อเขียนเรื่องนี้ ปัจจุบันนี้เจ้าของคงยังไม่ขายให้ใคร. 

   นายเฉลียวมีอายุกว่า ๖๐ ปีแล้ว เป็นคนรูปร่างผอมเกร็ง ผิวคล้ำ สูงประมาณ ๑๖๕ ซม. เหมือนๆกับคนที่ทำนาทำไร่โดยทั่วไป

   เมื่อพบกันแล้วนายเฉลียวได้เชิญพวกเรา นั่งที่แคร่ไม้ไผ่ไต้ต้นมะม่วงที่ลานหน้าบ้าน แล้วก็เริ่มต้นคุยกัน นายเฉลียวบอกว่า "ที่ดินแปลงนี้ผมหวงมาก ที่จริงไม่อยากขาย แต่เวลานี้ผมจำเป็นต้องขายเสียแล้ว"

  นายเฉลียวพูดเสียงอ่อยๆ ทำหน้าซึมๆคล้ายๆจะเสียดายที่เต็มที แล้วแกก็พูดต่อ " เพราะว่าเวลานี้ที่บ้านเป็นหนี้เขามาก ลูกชายคนโตผมนะซีเขาไปลงทุน ทำกิจการรถสิบล้อรับจ้างและรถไถนารับจ้าง

  ผลสุดท้ายไม่รู้เป็นอะไรไปไม่รอด ขาดทุนเป็นหนี้เป็นสินเขามาก ผมจึงตัดสินใจขายที่แปลงนี้เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ล้างหนี้ให้หมด จะได้สบายใจเสียที " แกหยุดพูดดื่มน้ำจากแก้วที่อยู่ข้างๆ

    ภรรยาของนายเฉลียวซึ่งมีรูปร่างผอมบาง ผิวขาว ที่แรกก็อยู่ในบ้านต่อมาออกมานั่งคุยด้วย แกคงจะคิดว่านายเฉลียวเอาเรื่องของครอบครัวมาคุยให้คนอื่นฟังทำไม " ฉันว่าที่ตรงนี้ดีมากเลยนะ " ภรรยาของนายเฉลียวจึงตัดบทและเริ่มเข้าเรื่อง

  " ด้านหน้าๆกว้างมากและติดถนนใหญ่ ด้านหลังติดคลองบางขวากซึ่งมีน้ำตลอดทั้งปี  ที่แปลงนี้เขาเช่าเราปลูกข้าวโพดเต็มหมดทั้งเนื้อที่ เขาเพิ่งเก็บฝักไปขายเมื่อเร็วๆนี้เอง เสร็จแล้วเขาก็ไถต้นออก ที่ตรงนี้จึงโล่งๆอย่างที่เห็นนั่นแหละจ๊ะ "

  " เสร็จแล้วเขาจะลงข้าวโพดใหม่อีกหรือเปล่า " ผมถามภรรยานายเฉลียว "ไม่รู้ว่าเขาจะปลูกอีกหรือไม่นะ เพราะว่าสิ้นปีนี้ก็จะหมดสัญญาเช่ากันแล้ว "

  คุยกันไปมาเกริ่นเรื่องอื่นๆกันพอเป็นพิธีแล้ว ผมบอกว่า " เรามาเข้าเรื่องกันเถอะ เมื่อสักพักนี้ยายพงษ์พาผมไปดูที่มาแล้วและผมก็ถูกใจ จึงอยากจะทราบว่าที่แปลงนี้นายเฉลียวจะขายเท่าไร " ผมตัดบทและถามเอาดื้อๆ นายเฉลียวหันไปมองหน้าภรรยาของแก แล้วบอกว่า

  "ผมบอกโดยไม่ต้องต่อกันเลยนะ เพราะคุณมาหาผมโดยตรง และผมก็ไม่ต้องเผื่อราคาเอาไว้ให้เป็นค่านายหน้าใคร "  (แต่ผมคิดว่าคงต้องให้ยายพงษ์เป็นค่าที่นำคนมาซื้อบ้างแหละ )

   นายเฉลียวเริ่มพูดต่อ " ที่ดินนี้ทั้งหมด ๔ ไร่ ตามโฉนดที่คุณเห็นจากยายพงษ์แล้วนั่นแหละ ผมขอขายยกแปลงนะครับ เป็นเงิน ๒,๘๐๐,๐๐๐ บาท (สองล้านแปดแสนบาท ) ตกไร่ละ ๗๐๐,๐๐๐ บาท " (ตกตารางวาละ ๑,๗๕๐ บาท) นายเฉลียวบอกผมแล้วก็นิ่งเฉยมองผมอยู่ คงจะฟังว่าผมจะว่าอย่างไร

  ด้านหลังที่ดินของนายเฉลียวติดคลองบางขวาก มีน้ำไหลตลอดทั้งปี.

   ผมมาคิดดูแล้วที่บ้านนอกอย่างนี้น่าจะแพงเกินไป แต่ว่าคนมันอยากได้ที่ดิน แบบด้านหน้าติดถนนด้านหลังติดคลองนั้น อยากได้มานานแล้วครับ ดังนั้นผมจึงตกลงตามราคานั้นเพราะว่า ผมต่อรองให้แกลดราคาอย่างไรแกก็ไม่ยอมลด คงยืนกรานเอาราคานั้นท่าเดียว 

  แถมยังบอกว่า " ถ้าคุณไม่รีบตกลงเอาไว้ อาทิตย์หน้าจะมีคนกรุงเทพฯมาดู และมีแนวโน้มว่าคนกรุงเทพฯจะเอาที่แปลงนี้ด้วย"

   ก็เป็นอันว่าผมรีบบอกตกลงกับแกทันที กลัวว่าอาทิตย์หน้าจะมีคนกรุงเทพฯมาแย่งที่แปลงนี้ไปเสีย ก่อนผมจะกลับบอกแกว่า " อีกวันสองวันผมจะเอาเงินมามัดจำไว้ก่อน แล้วจะซื้อขายโอนโฉนดกันเมื่อไรค่อยคุยกันอีกทีนะครับ  " นายเฉลียวรับปาก ครับ ครับ ก็เป็นอันว่าตกลงตามนี้

   อีกไม่กี่วันต่อมาลูกชายของผม เป็นคนนำเงินไปให้นายเฉลียวเป็นการมัดจำที่ตรงนี้ เป็นเงินสดไว้จำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท แล้วให้นายเฉลียวเขียนใบสำคัญ การรับเงินมัดจำนี้ พร้อมทั้งเขียนใบสัญญาซื้อขายซึ่งลูกชายของผมนำติดตัวไปด้วยขึ้นมา ๑ ฉบับ

   โดยให้นายเฉลียว เซ็นต์ชื่อลงไปว่าเป็นผู้ขายด้วย ในใบสัญญาซื้อขายนั้น ถ้าคนที่เคยซื้อที่มาแล้วก็พอจะรู้ว่าเขาเขียนอะไรบ้าง เขาจะมีรายละเอียดต่างๆครบถ้วน และจะลงจำนวนเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทที่มัดจำเอาไว้แล้ว ลงไปในใบสัญญานี้ด้วย

  ลูกชายของผมได้นัดแนะกับนายเฉลียวว่า ถ้าพร้อมจะโอนที่กันเมื่อไร ก็นัดกันไปที่สำนักงานที่ดินเลยทีเดียว

  ต่อมาทางฝ่ายผมคือทุกคนในร้าน มีงานยุ่งๆอยู่ทั้งวันทุกวัน จึงไม่ได้ไปถามนายเฉลียวสักที ทางนายเฉลียวก็เงียบๆไป เวลาก็ผ่านไปตั้ง ๒ เดือนแล้ว

  ดังนั้นในวันที่ว่างวันหนึ่งตอนเย็น ผมและครอบครัวจึงพากันไปที่บ้านนายเฉลียว ตั้งใจจะไปถามนายเฉลียวว่าจะซื้อขายโอนที่ดินกันได้เมื่อ่ไร จะได้จัดการกันให้เสร็จๆไปเสีย

   ระหว่างนั่งรถไปหานายเฉลียว พวกเราก็คุยกันว่าถ้าได้ที่แล้วจะปลูกบ้านเมื่อไร จะปลูกต้นไม้อะไรบ้าง จะทำรั้วอย่างไรจึงจะสวยงาม จะสร้างศาลาเล็กๆที่ริมคลอง เอาไว้นั่งตาก ลมเล่น คุยกันไปเรื่อยๆเกี่ยวกับเรื่องที่ดินนี้ทั้งนั้นด้วยความเบิกบานใจ

  เมื่อถึงบ้านนายเฉลียวเอารถจอดไว้ที่หน้าประตูรั้วบ้าน แล้วเดินไปที่ประตูรั้วคิดว่าจะเห็นนายเฉลียวนั่งเล่นที่แคร่ไม้ไผ่ไต้ต้นมะม่วงหน้าบ้านบ้าง วันนี้ไม่เห็นใครเลย ดูๆแล้วเงียบเหงาชอบกล ผมจึงตะโกนเรียกนายเฉลียวที่ประตูรั้วบ้าน มีหมาสามสี่ตัวเห่ากันเสียงดังลั่น

   สักครู่เดียวมีชายหนุ่มคนหนึ่ง รูปร่างเล็กๆคล้ายนายเฉลียว ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยโผล่หน้าออกมาดู สักครู่ก็เดินออกมาจากในบ้าน ผมคิดว่าน่าจะเป็นลูกหรือหลาน หรือเป็นญาติพี่น้องนายเฉลียวอย่างใดอย่างหนึ่ง เดินออกมาที่ประตูรั้วแล้วไล่ตะเพิดหมาเสียงดังลั่น เขายังไม่ได้เปิดประตูรั้วให้แต่ถามผมออกมาก่อนว่า

  “คุณลุงมาหาใครมีธุระอะไรหรือ” ผมตอบว่า “มาหานายเฉลียวแกไม่อยู่หรือ ผมมาคุยเรื่องที่ดินที่ทางผมได้มัดจำไว้แล้ว ” ชายหนุ่มทำหน้างงๆอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ยังงั้นเข้าไปคุยในบ้านกันก่อนเถอะ” ว่าแล้วก็เลื่อนประตูรั้วซึ่งทำด้วยไม้ไผ่ให้พวกผมเข้าไปนั่งยังแคร่ไม้ไผ่

  คุยกันไปคุยกันมาจึงรู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ เป็นลูกชายคนโตของนายเฉลียว ที่ไปทำธุรกิจเกี่ยวกับรถ ๑๐ ล้อบรรทุกของ และยังได้ทราบว่านายเฉลียวมีลูกสาวลูกชายอีกหลายคนด้วยนอกจากนายคนนี้

  ผมถามถึงนายเฉลียว ลูกชายของนายเฉลียวจึงเล่าให้ฟังว่า "เมื่อเกือบสองเดือนมานี้ อยู่ๆพ่อแกก็ไม่สบาย กินข้าวไม่ได้กินแล้วก็อาเจียนออกมาหมด พวกผมพาแกไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอตรวจแล้วบอกว่าแกเป็นมะเร็งที่ตับ มาอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ไม่กี่วัน พ่อแกก็ขอไปอยู่ที่บ้านเดิมของแกที่หนองรัง (ใกล้อำเภอด่านช้าง - ผู้เขียน) " ชายหนุ่มมองเหม่อไปข้างนอกแล้วพูดต่อ

   "แม่แกก็ขอไปอยู่กับพ่อด้วย ผมจึงไปส่งแกที่นั่น ต่อมาไม่นานมีญาติของผมทางโน้นมาส่งข่าวว่า พ่อของผมแกตายเสียแล้ว เพิ่งจะทำศพกันเมื่อไม่นานมานี้เอง ตอนนี้แม่ยังไม่กลับมา ยังอยู่ที่บ้านหนองรังไม่รู้ว่าแกจะกลับมาอยู่ที่นี่หรือเปล่า " ผมฟังแล้วก็แสดงความเสียใจไปกับเขาด้วย

  ผมถามเรื่องที่ดินที่ได้มัดจำกับนายเฉลียวไว้แล้ว พร้อมกับควักเอาสัญญาซื้อขายที่ดินที่ทำไว้กับนายเฉลียวมาให้เขาดู ลูกชายนายเฉลียวยิ่งงหนักเข้าไปอีก บอกว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้เลย ที่จริงแล้วเรื่องอย่างนี้พ่อของเขาจะขายที่ให้ใครนั้น ก็ไม่ได้เรียกลูกๆมาถาม มาปรึกษากัน โดยเฉพาะที่แปลงนี้จะไม่ขายเป็นเด็ดขาด เพราะพ่อของเขาเคยบอกว่า จะแบ่งที่ตรงนี้ให้ลูกๆเท่าๆกันทุกคน 

  สรุปว่าลูกชายนายเฉลียวไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นและไม่ยอมขายที่ด้วย ผมพยายามพูดขอซื้ออยู่เป็นนานเพราะว่าที่ตรงนี้ถูกใจพวกผมทุกคน แต่ลูกชายนายเฉลียวก็ไม่ยอมขายท่าเดียว แถมบอกในทำนองว่า ทำไมผมจะต้องขายที่กินด้วย เงินทองผมไม่ขัดสนขนาดนั้นหรอก

  เขาพูดออกท่าทางหยิ่งยะโส ผมแอบคิดในใจว่า เมื่อตอนที่ผมมาพบนายเฉลียวขอซื้อที่ครั้งแรกนั้น นายเฉลียวก็บอกเหตุผลที่ต้องขายที่นี้ก็เพราะว่า ลูกชาย (ไอ้คนที่กำลังบอกไม่จำเป็นต้องขายนี้) ทำหนี้สินไว้เยอะ แล้ววันนี้มันพูดออกท่าหยิ่งจริงๆ

 เอาละผมถอดใจจากที่อยากได้ที่ดินแปลงนี้แล้ว เมื่อเขายืนยันว่าไม่ขายจริงๆแน่แล้ว ผมจึงได้ถามเรื่องเงินมัดจำที่ผมได้มัดจำไว้ ๒๐,๐๐๐ บาท ตามหนังสือสัญญาที่ผมนำมาให้ดูด้วยนั้น และบอกเขาว่า

 " เอาอย่างนี้ก็แล้วกันที่ดินแปลงนี้ ถ้าไม่ขายก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าของที่ แต่ผมขอเงินมัดจำสองหมื่อบาทคืนก็แล้วกัน " ลูกนายเฉลียวเอาหนังสือสัญญามาดูครู่หนึ่ง ก็ยืนกรานไม่รับรู้และไม่ยอมคืนเงินทั้งสิ้น เพราะว่าสัญญานี้ไม่ได้ทำกับเขา คนที่ทำสัญญานี้คือนายเฉลียวพ่อของเขาและได้ตายไปแล้ว แต่ถ้าอยากได้เงินคืนก็ไปฟ้องร้องเอาที่ศาลโน่น ...! ลูกชายนายเฉลียวพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น

   พวกผมกลับบ้านมาปรึกษากันว่า เงินสองหมื่นคงต้องปล่อยให้เสียไปฟรีๆเสียแล้ว เพราะว่าถ้าฟ้องร้องเป็นคดีความกัน จะเสียทั้งเงินค่าจ้างทนายและจะเสียทั้งเวลาที่จะไปขึ้นศาล คดีก็เป็นคดีแพ่งไม่รู้ว่าจะกี่ปีจึงจะได้เงินคืน คิดแล้วไม่เอาดีกว่า ผมจึงไม่ได้ไปติดต่ออะไรอีกตั้งแต่บัดนั้น

  นี่เป็นครั้งแรกที่อยากได้ที่ดินที่ถูกใจ แต่โชคไม่ดีที่ดินก็ไม่ได้แล้วแถมยังเสียเงินไปตั้งสองหมื่นบาท ไม่เรียกว่าซวยแล้วจะเรียกว่าอะไรกันเล่า

   เรื่องที่เสียเงินไปฟรีๆสองหมื่นบาทนั้น ทีแรกก็เสียดายเป็นอย่างมากครับ เพราะว่าทำงานหาเงินโดยสุจริต กว่าจะได้เงินขนาดนี้ก็เหน็ดเหนื่อยกันพอสมควร แล้วอยู่ๆเงินจำนวนนี้มาหายไปเสียเฉยๆ มันน่าเสียดายใช่ไหมครับ

   แต่คนเราทุกคนที่เกิดมาที่จริง ก็จะมีทั้งโชคดีบ้างโชคร้ายบ้างสลับกัน สำหรับผมในครั้งนี้ถือว่าโชคไม่ดี สิ่งที่ต้องการก็ไม่ได้แถมยังต้องเสียเงินฟรีๆอีก จะเรียกร้องกับอะไรก็ไม่คุ้ม จนปัญญาจึงต้องปล่อยให้เลยตามเลย ถือเสียว่าทำบุญกับงานศพของนายเฉลียวไป

   โชควาสนาและคุณพระคุณเจ้าช่วยดลบรรดาล ให้ผมและครอบครัวซื้อที่แปลงนี้ไม่สำเร็จครับ ทำไมผมมาบอกท่านผู้อ่านอย่างนี้ เหตุการณ์เป็นอย่างไรหรือ ผมจะกลับมาเล่าให้ฟังในตอนต่อไปครับ .. 

่านตอนต่อไป คลิ๊ก

  นายแก้ว ผู้เขียน  ๑๙ มกราคม ๒๕๕๕

  เรื่องและภาพทั้งหมดในบทความนี้ สงวนลิขสิทธิ์ ตามกฎหมาย

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้171
เมื่อวานนี้299
สัปดาห์นี้1585
เดือนนี้2024
ทั้งหมด1406044

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online