บุญมา ทรัพย์สิน ๙ (สุดท้ายที่วัดเขาน้อย)
ผู้เขียนเมื่อยังเด็กกับน้องนั่งอยู่บนคันกั้นน้ำแม่น้ำแม่กลอง ใกล้กับท่าวัดเจ็ดเสมียน
นอนไม่หลับคิดอะไรไปเรื่อย จนถึงตีเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ผมจึงได้ม่อยหลับไป จะหลับไปนานสักเท่าไรก็ไม่ทราบได้ ผมก็ต้องสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
จากเสียง ตึงๆๆ หนักๆ คล้ายๆคนวิ่งเข้ามาที่ผมนอนอยู่ แล้วได้ยินเสียงมาตะโกนใกล้ๆผม เหมือนจะกรอกที่รูหู " แก้ว แก้ว แก้วโว้ย เฮ้ย ตื่นๆๆๆๆ " หมู่มงคล ที่เป็นนายสิบเวรคืนนี้เรียกผมเร็วปรื๋อ " แก้ว ลงไปดูไอ้มา มันหน่อยซิ มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ " พอผมได้ยินว่าเป็นไอ้มาเท่านั้นผมก็รีบลุกพรวดขึ้นทันที แล้วรีบวิ่งแทบจะเหาะตามหมู่ มงคลลงไปชั้นล่างไปที่เตียงนอนของบุญมาบุญมานอนหายใจรวยรินอยู่บนที่นอน ใบหน้าขาวซีด ปากเขียว น้ำลายฟูมปาก มือสองข้างกำหมัดแน่น แกะไม่ออก ผมเอาจับที่แขนบุญมาและแนบกับลำคอ บุญมาตัวร้อนจัดไข้ขึ้นสูงมาก
อาการที่เกิดขึ้นกับบุญมาในตอนนี้เหมือนคนชัก เส้นยึดและเกร็งไปหมดทั้งตัว เพราะไข้ขึ้นจนชักเกร็งไปหมดทั้งตัวแล้วโดยที่ไม่มีคนดูแล และอาการเหล่านี้ก็เกิดขึ้นและสงบไปแล้ว
ผมคิดว่ามาลาเรียเล่นงานบุญมาอีกแล้ว นี่ก็ยังดีนะที่บุญมายังไม่ขาดใจตาย ผมน้ำตาไหลพราก โธ่เพิ่งจะแยกกันยังไม่ทันข้ามคืนแท้ๆ ผมคิดขึ้นมาแล้วก็โกรธตัวเองที่ไม่สามารถบังคับให้ บุญมา ไปโรงพยาบาลเมื่อหัวค่ำนั้นได้ แต่ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว จะต้องหาทางเอา บุญมาไปโรงพยาบาลให้ได้ โดยเร็วที่สุด
ผมหันไปถาม สิบเอก มงคล ว่าจะเอาอย่างไรกันดีให้หมู่ช่วยตัดสินใจหน่อย ผมใจร้อนไม่รอฟังว่าหมู่จะว่าอย่างไร ผมบอกหมู่มงคลว่า "เราช่วยกันหามไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้เลยดีไหม " ผมมองหน้าผู้หมู่ซึ่งเป็นนายสิบเวรคืนนี้ และอยากจะบอกว่าเร็วๆหน่อยซี๊ จะทำกันอย่างไรก็บอกมา
สิบเอกมงคลบอกว่า "โรงพยาบาลมันไม่ไกลก็จริงอยู่ แต่เราจะหามมันไปไหวหรือ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อั๊วจะรีบขี่จักรยานไปตามหมอที่โรงพยาบาลมาที่นี่เลยจะดีกว่า นี่มันก็เกือบตี ๕ แล้ว อั๊วคิดว่าหมอคงมาได้ อั๊วไปละ " ว่าแล้วสิบเอกมงคลก็ถีบจักรยานที่จอดอยู่ข้างกองร้อยผลุนผลัน ออกจากกองร้อยมุ่งไปทางโรงพยาบาล
ผมหันมาจับบุญมาเขย่าเบาๆ แล้วร้องเรียกชื่อใกล้ๆหู เผื่อบุญมาอาจจะกำลังฟื้นพอดีจะได้ยินบ้าง แต่บุญมาก็ยังคงนอนอยู่ในท่าอย่างนั้น มีทหารกลุ่มใหญ่ที่ไม่ได้ลากลับบ้าน เดินเกร่ๆมามุงดู เพราะได้ยินเสียงคิดว่ามีเรื่องอะไรกัน สิบเอกมงคลไปไม่นานเท่าไรนัก แต่ผมใจร้อนคิดว่าเขาไปตั้งเป็นชั่วโมง สองชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มาสักที
บุญมาหายใจรวยรินแต่เบามาก ผมเอาหลังมือไปรอตรงจมูก จึงได้รับรู้ว่าลมหายใจของบุญมายังรวยรินอยู่ ผมจับชีพจรตรงข้อมือ ดูชีพจรยังเต้นอยู่ผมก็เบาใจ คิดว่าเดี๋ยวหมอมาถึงก็คงจะไม่เป็นไรแล้ว ผมรอหมออีกนานก็ยังไม่มาสักที หรือว่าหมอไม่อยู่ที่โรงพยาบาล สิบเอก มงคล คงจะไปตามหมออยู่ ผมภาวนาให้หมอมาเร็วๆ และเร็วที่สุด
ผมมองไปทางหน้ากองร้อย และหันมามองบุญมาสลับกันไป ผมมีความรู้สึกว่าลมหายใจของบุญมาแผ่วลงไปอีก และไม่คาดฝันเหมือนผมจะมองเห็นว่า บุญมานั้นร่างกระตุกขึ้นมา สองสามที ก็หยุดกระตุกและลมหายใจก็หยุดไป
ผมพรวดลุกขึ้นยืนทำอะไรไม่ถูก ปากก็ร้องเรียกบุญมาเสียงลั่น ไอ้มา ไอ้มา แล้วผมก็ร้องไห้โฮ มึงอย่าเพิ่งจากกูไปนะ ไอ้มา ไอ้มา ผมทั้งร้องไห้ทั้งเรียกมันอยู่อย่างนั้น พร้อมทั้งจับตัวมันเขย่าอย่างแรง มันก็หาได้สติขึ้นมาไม่
หูผมอื้อตาผมลาย แม้กระทั่งรถพยาบาลมาจอด มีหมอลงมาจากรถ มีพยาบาลลงมาด้วยคนหนึ่งผมก็ยังไม่ได้ยินเสียง เพราะผมเอาแต่ร้องให้คร่ำครวญถึงมัน บุญมานี้มิใช่หรือ ที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยมีความขุ่นข้องหมองใจต่อกัน มีอะไรก็แบ่งกันในขณะที่เรียนด้วยกันอยู่ ไม่น่าที่จะมาอายุสั้นขนาดนี้เลย
เมื่อตอนหัวค่ำนี้ก็ยังคุยกันดีๆอยู่ มันยังรับปากว่าพรุ่งนี้แล้วจะไปหาหมอ และจะนอนโรงพยาบาลด้วย ถึงอย่างไรเมื่อหมอยังไม่ได้มาตรวจ ยังไม่ได้ลงความเห็นว่าบุญมาตายแล้ว ผมก็ยังมั่นใจว่ามันเป็นเพียงแค่ช๊อคหมดสติไปเท่านั้น
หมอเดินเข้ามาตรวจร่างกาย ผมจำได้ว่าเป็นหมอคนเก่า ที่ผมเคยพูดคุยด้วยที่โรงพยาบาลนั่นเอง ผมทำความเคารพหมอด้วยน้ำตานองหน้า หมอเอานิ้วเปิดเปลือกตาของบุญมาพร้อมกับเอาไฟฉายส่องดู เอาหูฟังเสียบเข้าหูทั้งสองข้าง แล้วเอาอีกด้านหนึ่งแตะๆเข้าที่หน้าอกทางด้านซ้ายของบุญมา คงจะฟังเสียงหัวใจนั่นเอง
หมอตรวจร่างกายสักครู่หนึ่งก็หันมาบอก สิบเอกมงคลซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆผมว่า " หมู่...ผมช่วยไม่ทันแล้วนะมาลาเรียมันขึ้นสมอง ในตอนกลางดึกไม่มีคนคอยดูแลพยาบาลให้อย่างนี้ ความร้อนในร่างกายมันสูงมาก เขาเลยชักและสิ้นใจไปแล้ว "
หมอบอกอย่างคร่าวๆและบอกว่า จะต้องเอาศพไปที่โรงพยาบาลก่อน เพื่อพิสูจน์ศพเสียก่อนว่าจริงๆแล้วเป็นอะไร สาเหตุจากอะไร แล้วจึงเคลื่อนย้ายศพไปที่อื่นได้ แล้วหมอและพยาบาลกับรถพยาบาลคันนั้นก็รับศพ บุญมาเคลื่อนย้ายไปไว้ที่โรงพยาบาล
ในเช้าวันนั้นข่าวรู้ไปเร็ว ผู้บังคับกองร้อยของผมมาที่กองร้อย เรียกทหารที่เหลืออยู่ประชุมแต่เช้า ปกติแล้วนายทหารที่ไม่ได้อยู่เวร ประจำกองร้อยนี้จะไม่มากัน เพราะถือว่าเป็นวันหยุด เมื่อรวมทหารที่เหลืออยู่แล้ว ผู้กองก็พูดขึ้นว่า
"ผมมีความเสียใจเป็นอย่างมาก ที่มีพี่น้องของพวกเราคนหนึ่ง ได้จากเราไปโดยไม่กลับมาอีก" และพูดอะไรอีกมากมาย ในตอนสุดท้ายผู้กองถามว่า "ใครเป็นเพื่อนที่มากับพลฯบุญมาและรู้จักบ้านของเขาบ้าง " ผมยกมือขึ้นผู้กองบอกว่า "อย่าไปไหนนะเดี๋ยวมาคุยกับผมหน่อย " แล้วผู้กองก็บอกเลิกประชุมได้ ทหารเหล่านั้นก็แยกย้ายกันออกไป
ผู้กองถามย้ำผมอีกทีเพื่อความแน่ใจว่า "ลื้อรู้จักบ้านของเขาด้วยใช่ไหม " ผมพยักหน้าด้วยความมั่นใจ เพราะว่าบ้านของบุญมานั้นผมหลับตายังไปถูก ผู้กองบอกว่า " เอางี้นะอั๊วมอบหมายให้ลื้อไปตามพ่อแม่ของเขามาโดยด่วน ไปในวันนี้เดี๋ยวนี้เลย "
ผู้กองพูดพร้อมกับจ้องหน้าผม คงคิดว่าผมจะถามอะไร แต่เมื่อไม่เห็นผมถามอะไรผู้กองบอกอีกว่า "ให้ลื้อนั่งรถเมล์ประจำทางไป ถึงแล้วไปบอก พ่อแม่เขาให้มาที่ค่ายนี้โดยเร็วที่สุด อย่าบอกว่าบุญมาเขาเสียแล้ว ให้บอกว่าเขาป่วยหนักมาก และอยากจะเจอพ่อและแม่ของเขา ขอให้รีบลงมาโดยด่วน "
ผู้กองเซ็นใบลาให้ผม ๑ ฉบับ ระบุด้านหลังใบลาในเรื่องเกี่ยวกับให้ผมไปตามญาติของ พลฯบุญมา และระบุสถานที่ๆผมจะไปด้วย คือ ตำบลเจ็ดเสมียน ที่ผู้กองต้องระบุอย่างนี้เพื่อป้องกันพวกทหารสารวัตร ที่คอยตระเวณจับทหารที่หนีออกจากกองร้อยโดยไม่มีใบลา
ก่อนเที่ยงวันนั้นผู้กองจัดรถจี๊บเล็ก ประจำตัวนายทหารคันหนึ่ง พร้อมด้วยนายสิบโทคนขับรถให้ เพื่อความรวดเร็วในการเดินทางของผม พร้อมแล้วจี๊บเล็กก็แล่นออกจากค่าย ธนะรัชต์ พร้อมด้วยผมซึ่งจะมีหน้าที่ ไปตามพ่อและแม่ของบุญมาที่เจ็ดเสมียน ในตอนแรกนั้นรถจี๊บเล็กคันนั้น จะส่งผมแค่ปากทางที่ออกจากค่ายเท่านั้น แต่เมื่อได้คุยกันมาก็ทราบว่า ผู้หมู่วันชัยเป็นคนโพธารามเช่นเดียวกันกับผมแต่ต่างตำบล ผู้หมู่บอกว่าเป็นคนวัดโบสถ์อยู่เลยวัดบ้านเลือกเข้าไป ซึ่งวัดโบสถ์นี้ผมก็เคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้างเหมือนกัน ผมบอกสิบโทวันชัยว่า ถ้าส่งผมให้รอรถที่ตรงนี้ (ปากทางเข้าค่าย) ผมว่าในวันนี้ผมคงไม่ถึงเจ็ดเสมียนเป็นแน่ เพราะว่ารถที่มาจากทางไต้มีน้อยคัน ระยะห่างๆกันจึงจะมาสักคันหนึ่ง ผมขอร้องหมู่ให้ไปส่งผมที่หัวหินเลยจะเร็วกว่า บังเอิญผู้หมู่วันชัยเห็นด้วยกับที่ผมบอก ก็เลยไปส่งผมที่ตลาดหัวหิน ผมรอรถอีกไม่นานรถหัวหิน - กรุงเทพฯ ก็ออกจากท่าที่หลังตลาดฉัตรชัย เท่ากับผมได้ย่นระยะเวลาในการเดินทางไปเจ็ดเสมียนอีกตั้งมากมาย ผมนั่งเคลิ้มๆอยู่บนรถมาตลอดทาง เพราะความอ่อนเพลียทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจจะหลับลงได้ เพราะเหตุการณ์ในเมื่อวานจนถึงวันนี้ มันเกิดขึ้นได้กะทันหันเหลือเกิน รวดเร็วมาก เป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่ามันจะเป็นอย่างนี้ เมื่อวานนี้ตั้งแต่เช้าผมกับบุญมาก็ฝึกลอดวิถีกระสุนอยู่ด้วยกัน แล้วเมื่อคืนนี้ก็ยังไปเดินเล่นกันที่ลานบิน ไปดูอภิเดชต่อยมวยโชว์อยู่ แล้วพอถึงตอนนี้บุญมาก็จากไปแล้ว ไปอยู่อย่างสงบโดยไม่ต้องมาต่อสู้กับชีวิต ไม่ต้องมาต่อสู้กับโรคร้ายที่บังเอิญได้รับมาโดยที่ไม่ต้องการมันเลย มันเป็นความโชคร้ายของบุญมาแท้ๆทีเดียว รถเลยตลาดราชบุรีมาแล้วผมบอกกระเป๋ารถว่า ถ้าถึงทางแยกหนองบางงูก็จอดรถให้ผมลงด้วย รถวิ่งต่อมาอีกไม่ถึง ๒๐ นาทีก็ถึงแยกหนองบางงู ผมลงจากรถแล้วเรียกรถสามล้อที่รอลูกค้า อยู่แถวบริเวณปั๊มน้ำมันตราม้าบินนั้น ผมโดดขึ้นนั่งบนสามล้อเร่งให้เขาปั่น เข้าไปในตลาดอย่างเร็ว คนขับสามล้อนั้นเป็นเด็กใหม่ ลูกหลานใครก็ไม่รู้ซึ่งผมไม่รู้จัก ได้รับคำสั่งจากผมแล้ว ก็เกร็งกล้ามเนื้อเหยียบบันไดพาผมลิ่วเข้าไปที่ตลาดเจ็ดเสมียนทันที ถึงบ้านแล้วแม่และน้องๆของผม ดีใจที่ผมได้กลับมาบ้าน เกือบ ๒ เดือนเต็มๆแล้วที่ผมไม่ได้กลับมาบ้านเลย แม่ผมบอกว่า " ไอ้เส็ง มันกลับมาบ้านเมื่อสองอาทิตย์ก่อนนั้น แม่ถามมัน มันก็บอกว่าเอ็งสบายดี แม่ก็เลยไม่ห่วงอะไร แล้วนี่เอ็งจะกลับเมื่อไร ลามาได้กี่วัน " แม่ของผู้เขียนกำลังทำกับข้าวอยู่หลังบ้าน
ผมบอกว่า " ไม่ได้ลามาหรอกแม่ พอดีเพื่อนที่ไปเป็นทหารด้วยกัน ที่ชื่อบุญมานั้นเขาไม่สบายมาก เจ้านายฉันก็เลยให้ฉันมาตาม พ่อกับแม่ของไอ้มามันให้รีบลงไปดูโดยด่วน ฉันจึงรีบมาแล้วก็จะรีบกลับในเช้ามืดวันพรุ่งนี้แหละ " แม่ผมพยักหน้าว่า เข้าใจที่ผมบอกแล้ว แล้วก็เข้าไปในครัวทำอะไรง่วนอยู่ เย็นวันนั้นผมถีบรถจักรยานไปที่บ้านของบุญมา หลังจากพักเหนื่อยที่บ้านนิดหน่อยแล้ว เมื่อไปถึงพบพ่อและแม่ของบุญมาอยู่บ้านพอดี ผมยกมือไหว้ พ่อแม่ของบุญมาดีใจมากที่เห็นผมมาหา แต่ก็ทำหน้าแปลกใจอยู่ที่ไม่เห็นบุญมากลับมาพร้อมกับผม แล้วก็ถามผมว่า " ไอ้มามันไม่ได้มาด้วยหรือ " ผมบอกว่า " บุญมาไม่สบายมากเจ้านายเขาจึงให้ผมมาตามพ่อกับแม่ หรือว่าญาติพี่น้องไปที่ค่ายทหารโดยด่วนเลย ในตอนเช้ามืดพรุ่งนี้นะครับ เพราะว่าวันนี้มืดเสียแล้วไม่มีรถไปถึงค่ายได้" พ่อแม่ของบุญมาดูท่าไม่ค่อยประหลาดใจเท่าไร คงจะรู้อยู่แล้วว่าบุญมานั้น เมื่ออยู่ที่บ้านในระยะหลังๆมา ก็มีอาการป่วยไข้ตัวร้อนอยู่บ่อยๆ ไปหาหมอก็ไม่หายขาดสักที แต่ก็คงจะไม่วายคิดว่า มันเป็นร้ายแรงถึงขนาดต้องมาตามกันไปดูด้วยหรือ แต่แกก็ไม่เอ่ยปากถามออกมา เมื่อได้นัดแนะกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในเช้ามืดวันรุ่งขึ้น ผมพร้อมด้วยพ่อแม่และญาติของบุญมาอีก ๒ คน ก็นั่งสามล้อออกจากตลาดเจ็ดเสมียน ขึ้นรถยนต์ บขส. มุ่งไปสู่ค่ายธนะรัชต์ปราณบุรีทันที กว่าจะเข้าไปในค่ายได้ก็ต้องเสียเวลาอยู่ที่ป้อมยามของทหารสารวัตรอยู่เป็นนานจึงมีรถผ่านมาเข้าไปในค่าย กว่าจะถึงกองร้อยได้ ก็บ่ายแล้ว ผมบอกให้พ่อและแม่ของบุญมา นั่งรอตรงไต้ถุนกองร้อย ผมตามหานายสิบเวรซึ่งก็เป็นหมู่มงคลอีกนั่นแหละ ผมบอกให้หมู่ มงคลไปบอก ผู้บังคับกองร้อยมาด่วน บอกว่าญาติของบุญมา ๆถึงแล้ว ไม่นานนักร้อยเอกพิเชษฐ ผู้บังคับกองร้อยก็มาถึง และก็มาพร้อมด้วยนายร้อยตรีคนหนึ่งคือ ร้อยตรี ศักดิ์ศรี แข็งแรง ซึ่งเป็นผู้บังคับหมวดของผมในขณะนั้น ในเวลาเดียวกันก็มีนายทหารนายจ่าและนายสิบอีกหลายคนเดืนมาเป็นกลุ่มใหญ่เพื่อมาดูเหตุการณ์ เวลานั้นมีคนมามุงเป็นกลุ่มใหญ่ ผมจึงถอยออกไปยืนห่างๆ เพราะว่าต่อจากนี้ไปก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขาจะต้องคุยกัน
หมายเหตุของผู้เขียน
ร้อยตรีศักดิ์ศรี แข็งแรง เป็นนักเรียนนายร้อย จปร.ซึ่งในปี พ.ศ.๒๕๐๗ ท่านจบใหม่ๆมาฝึกงานที่ในค่ายธนะรัชต์ เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น โดยฝึกทำหน้าที่เป็นผู้บังคับหมวดกองร้อยที่ ๔ กรมฝึกเบื้องต้นที่ ๑ แต่ไม่ทราบว่าท่านจะอยู่ที่นี่นานเท่าไร เมื่อผมได้ย้ายออกไปจากกองร้อย ๑ แล้วผมก็ไม่ได้ทราบข่าวของท่านอีกเลย
และเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้ทราบข่าวทางหนังสือพิมพ์ว่า ร.ต.ศักดิ์ศรี แข็งแรง ท่านนี้ ก็ทำหน้าที่ป้องกันประเทศ โดยยศของท่านเป็นนาย พันโท.เป็นผู้บังคับกองพัน ร.๑๑ พัน.๑ รอ. สนับสนุน กองทัพภาคที่ ๑ ในการป้องกันประเทศชายแดนด้านทิศตะวันออกของ จังหวัดปราจีนบุรี
ในเวลาต่อมาผมยังได้ทราบข่าวของท่าน จากทางหนังสือพิมพ์ ว่าท่านได้มีตำแหน่งใหญ่โตในกองทัพ และมียศสูงขึ้นไปเป็นลำดับ สุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ ยศของท่านได้เป็น พล.อ ถ้าผิดก็ขออภัยด้วย เพราะว่านานมากแล้ว
ผมเห็นนายร้อยเอก พิเชษฐ ผู้บังคับกองร้อยของผม บอกอะไรบางอย่าง ผมเดาเอาว่าคงจะแจ้งให้พ่อแม่และญาติของบุญมา ที่มาด้วยกันนั้นทราบว่าเวลานี้ บุญมาได้เสียชีวิตไปแล้ว ไม่สามารถจะแก้ไขอะไรได้ทัน
แล้วผมก็เห็นพ่อแม่ของบุญมา ร้องไห้โฮขึ้นมาแม่ของบุญมานั้น ถึงกับเป็นลมไปพักใหญ่ๆ ขณะนั้นมีนายทหารอีกหลายนายเดินเข้ามาสมทบด้วย เป็นนายทหารระดับสูงของกองพัน และของค่ายทั้งนั้น ทำให้พวกผมซึ่งเป็น พลทหารเข้ามาดูเหตุการณ์ใกล้ๆไม่ได้เลย
ผู้บังคับกองร้อยคุยกับพ่อและแม่ของบุญมา รวมทั้งญาติๆด้วยเป็นเวลานาน จึงได้เข้าใจและยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุญมา การกำหนดการที่จะทำงานเกี่ยวกับศพของบุญมานี้ ได้ถูกกำหนดขึ้น
โดยในเย็นวันนี้ศพของบุญมาจะนำไปที่วัดเขาน้อย และก่อนที่จะบรรจุลงไปในโลงก็จะมีการรดน้ำศพกันเสียก่อน ทางค่ายรับจัดการในเรื่องเกี่ยวกับงานศพของบุญมาทั้งหมด ให้มีการสวดศพนี้ ๓ คืน แล้วก็จะเผาที่วัดนี้เลย
พ่อและแม่ของบุญมานี้ก็เห็นดีด้วย ซึ่งถ้านำศพกลับไปบ้านก็จะไปอย่างลำบาก เพราะว่าระยะทางที่จะนำศพกลับนั้นไกลมาก เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ศพของบุญมาก็ถูกลำเลียงโดยรถ ยีเอ็มซีของทหาร มีรถตามอีก ๒ คัน ก็ออกจากค่ายไปที่วัดเขาน้อย
พวกของผมที่ยังเหลืออยู่ไม่ได้ลากลับบ้านด้วยในอาทิตย์นี้ ก็ไปกับรถด้วยโดยคำสั่งของผู้บังคับกองร้อย ให้ทุกคนไปที่วัดช่วยกันจัดสถานที่ ทำความสะอาดศาลาที่ตั้งศพ กวาดถูศาลา จัดเก้าอี้ของทางวัดมาตั้งไว้ให้เป็นแถว เผื่อในคืนแรกนี้ จะมีผู้บังคับบัญชาชั้นผู้ใหญ่มาร่วมฟังสวดศพด้วย
ตกเย็นมีรถยนต์ของทหารหลายคัน เป็นรถของผู้ใหญ่ในค่ายวิ่งเข้ามาที่บริเวณวัดเป็นแถวเพื่อมารดน้ำศพ พวกผมจัดแจงสิ่งของต่างๆเสร็จแล้วก็มาเข้าแถวเพื่อรดน้ำศพบุญมาด้วย
ผมและเพื่อนๆอีกหลายคน ติดรถกลับไปกองร้อยด้วย ก่อนที่จะกลับนั้นผู้บังคับกองร้อยบอกว่า พวกเราควรจะแต่งตัวทหารในชุดฝึก แล้วไปอยู่เวรยามรอบๆบริเวณศาลาที่ตั้งศพ เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา ที่ได้อาสามาเป็นทหาร ซึ่งพวกผมก็เต็มใจอย่างยิ่ง
สามคืนที่สวดนั้นกำลังผ่านพ้นไป พลทหารร่วมรุ่นของบุญมาคือพวกผมนี้ เฉพาะพวกที่ไม่ได้ถูกเวรยามที่กองร้อยได้มาอยู่เวรยามเพื่อเป็นเกียรติแก่ พลฯบุญมา ทรัพย์สินอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
ไอ้โทนมันลากลับบ้านตั้งแต่คืนวันศุกร์ และกลับมาในวันอาทิตย์นั้นมัน ตกใจมากเมื่อได้รู้ว่าบุญมาเสียชีวิตแล้ว แม้ว่าไอ้โทนจะเพิ่งมารู้จักกับบุญมาที่นี่ น้ำตามันไหลพรากด้วยความสงสารเพื่อนที่เห็นกันอยู่หลัดๆ และได้จากไปเสียแล้ว ไอ้โทนมาอยู่เวรยามให้จนจบงาน
ในวันเผาศพบุญมานั้น มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในค่าย หลายคนมาเป็นเกียรติในวันนี้ด้วย ท่ามกลางกองทหารเกียรติยศ ซึ่งก็เป็นพวกพลทหารรุ่นเดียวกับบุญมา ที่กลับมาจากการลากลับบ้านกันหมดแล้ว
แล้วก็ถึงวันที่ร่างกายของบุญมาต้องจากไปชั่วกัลปาวสาน มีทำบุญเลี้ยงพระเพลทั้งวัดซึ่งมีเพียงไม่กี่องค์ บ่ายสองโมงเศษพิธิการทางสงฆ์ก็เริ่มขึ้น มีการเทศนา ๑ ธรรมมาส และพิธีอย่างอื่นเรื่อยๆไป
บ่ายสี่โมงวันนั้นพลฯแตรก็เริ่มเป่าแตรนอน เสียงของแตรดังโหยหวลในทำนองเพลงนอน แม้ผมจะเคยได้ยินทุกวันที่มาอยู่ที่นี่ ยังอดสะเทือนใจไม่ได้น้ำตาพาลไหลออกมา
นายทหารยศพันโทผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้บังคับกองพัน มาเป็นประธานเผาศพในครั้งนี้ ได้วางดอกไม้จันทร์ที่หน้าโลงศพของบุญมา ต่อจากพระสงฆ์ที่วางดอกไม้จันทร์เป็นองค์สุดท้ายแล้ว จากนั้นนายทหารหลายๆชั้นยศก็เข้าคิววางดอกไม้จันทร์กันอย่างถ้วนทั่ว พวกสุดท้ายคือพวกทหารร่วมรุ่นของบุญมารวมทั้งผมและไอ้โทนด้วย
ผมวางดอกไม้จันทร์ต่อหน้าโลงศพของบุญมา พลางบอกว่า "ขอให้บุญมาเพื่อนรักจงไปสู่สุคติเถิด ถ้าชาติหน้ามีจริงเราจงเกิดมา เป็นเพื่อนกันอีกเหมือนในชาตินี้ " เมื่อถึงเวลาเผาจริงสัปเหร่เริ่มจุดไฟ ท่ามกลางเสียงร้องไห้ของพ่อแม่พี่น้องของบุญมาระงมไปในที่นั้น
ไม่นานนักศพของบุญมาก็เป็น เถ้าธุลี ที่เชิงตะกอนวัดเขาน้อยนั่นเอง การจากไปของบุญมา เป็นที่โศกเศร้าของพ่อแม่ และญาติพี่น้องของบุญมา รวมทั้งเพื่อนๆ และผู้บังคับบัญชา ที่เคยอยู่ด้วยกันเป็นอย่างมาก รวมทั้งตัวผมเองด้วย.
ผู้เขียนก่อนมาเป็นทหาร ภาพนี้ถ่ายที่ ห้องภาพวิจิตร ประตูน้ำ
หมายเหตุของผู้เขียน
การเขียนเรื่องราวเก่าๆที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเมื่อสมัยกว่า ๔๕ ปีมาแล้วนั้น เป็นเรื่องที่เขียนยากที่จะให้เรื่องถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะว่าไม่ได้มีการบันทึกไว้ อาศัยเพียงความจำของผู้เขียนเท่านั้น อีกประการหนึ่ง ไม่สามารถจะหารูปมาลงให้สอดคล้องกับเรื่องได้ เพราะว่าผู้เขียนเป็นเพียงพลทหาร ไม่มีกล้องเป็นของตัวเองจึงไม่ได้บันทึกภาพในตอนนั้นไว้ได้ จึงขออภัยต่อท่านผู้อ่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย
นายแก้ว ผู้เขียน บุญมา ทรัพย์สิน ๙ (สุดท้ายที่วัดเขาน้อย)