ใต้ถุนศาลาวัดเจ็ดเสมียนในอดีต
ศาลาใหญ่หรือศาลาที่ทำพิธีต่างๆของวัดเจ็ดเสมียน ในสมัยก่อนนั้นก็คือศาลาหลังนี้เอง ต่อมามีการซ่อมแซมต่อเติมหลายครั้งหลายหน ตัวศาลาปรับปรุงทั้งภายในและภายนอก ทางด้านนอกรอบๆนั้น ด้านหน้ามีการสร้างมุข มีบันใดสองข้าง ด้านหลังสร้างเมรุเผาศพติดกับศาลาเพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้ายศพเข้าเตาเผา ปัจจุบันมีการสร้างสิ่งต่างๆข้างศาลานี้อีกมาก..
ก้าวแรกที่ผมกับไอ้ธรมุดเข้ามาที่ ใต้ถุนศาลานี้ ก็มองเห็นเหยื่อเสียแล้ว วิ่งกันให้เกรียวไปหมด ก็จิ้งจกนะซี ไอ้ธรมันบอกผมว่า เตรียมตัวกันได้แล้วโว้ยทำไมมันชุมอย่างนี้วะ ผมบอกว่ามันเป็นสัตว์ที่ชอบแอบชอบอยู่ในที่มืด เหมือนๆกับสัตว์อีกหลายๆชนิด รวมทั้งพวกตุ๊กแกด้วย นี่นะเราอาจจะเจอตุ๊กแกบ้างก็ได้ ถ้าเจอก็ดีนะซี ไอ้ธรว่า
แล้วมันก็เดินนำหน้าผมในมือกำลำไม้ซางแน่น ทำหัวงุดๆก้มๆเงยๆเข้าไปอีก เพราะกลัวจะไปชนเอาคานไม้เข้าจะหัวแตก ถ้าหัวแตกแล้วก็จะหมดสนุกกันทันที แล้วก็จะพลอยเดือนร้อนถึงหมอละออง รวมทั้งจะโดนแม่ด่าอีกต่างหาก หาว่าซนจนได้เรื่องสักครู่หนึ่งก็เข้ามาลึกพอสมควรแล้วมันก็หยุด อากาศใต้ถุนศาลานี้ก็มืดๆเสียด้วย ผมทำย่อตัวเดินตามมันทันพอดี มองไปทางที่มันมองไป ก็เห็นจิ้งจกตัวหนึ่ง เกาะตรงคานข้างหน้าสงบนิ่ง และมันก็คงจะพยายามเปลี่ยนสีตัวของมัน ให้กลมกลืนกับไม้คานอันนั้น เพื่อป้องกันภัยอันตรายที่จะมาถึงตัวของมันนั่นเอง
ไอ้ธรยกไม้ซางขึ้นเล็งไปยังจิ้งจกตัวนั้น แล้วสูดลมเข้าปอดแรงๆแล้วพ่นผ่านกระบอกไม้ซางออกไป เสียงดัง ผุด ลูกดอกออกจากปากกระบอกไม้ซางของไอ้ธรอย่างแรงและรวดเร็ว การยิงในครั้งแรกของมันไม่ยักกะถูกตัวจิ้งจก ปลายเข็มลูกดอกนั้นพุ่งตรงไปปักจึ๊กตรงใกล้ๆกับตัวจิ้งจก ทำให้จิ้งจกตัวนั้นตกใจวิ่งหนีไปหลบในซอกคาน
" ไม่ถูกว่ะ " ไอ้ธรบ่นออกมาเบาๆ " กูจะตามตัวนี้ไป " พร้อมกับเดินไปดึงลูกดอกออกจากไม้คานนั้น ส่วนผมก็หาที่ทดลองไม้ซางของผมเหมือนกัน แต่จิ้งจกมันก็เหมือนจะรู้ว่าเราคอยทำอันตรายมัน เมื่อมันเห็นเรามันก็กรูเกรียววิ่งเข้าซอกไม้กันไปหมด
สภาพส่วนหนึ่งบนศาลาวัดเจ็ดเสมียนทางด้านทิศตะวันออก ภาพนี้นายวิรัช พ่อของคุณสาธร วงษ์วานิช เป็นเจ้าภาพทอดกฐิน ณ วัดเจ็ดเสมียน วันเสาร์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๙
ในตอนนี้ผมกับไอ้ธรจึงเอาตาแนบส่องกับช่องไม้ ตรงไหนมีซอกมีรูเราก็ส่องดู สักพักหนึ่งเสียงไอ้ธรตะโกนว่า " เสร็จกูแล้ว " ผมหันไปดูเห็นมันเอามือจับสำลีที่พันโคนลูกดอกเอาไว้ชูขึ้นมา มีจิ้งจกตัวหนึ่งโดนลูกดอกของไอ้ธรเสียบทะลุตรงคอ หงายท้องสีเหลืองอ๋อยดิ้นกระแด่วๆอยู่
ผมก็เลยเสริมว่า " มึงยิงแม่นนี่หว่า เดี๋ยวกูลองมั่ง " ว่าแล้วผมก็เอาปลายกระบอกไม้ซาง จรดกับรอยแตกของกระดานพื้นแผ่นหนึ่งซึ่งมีรอยแตก ที่จิ้งจกตัวหนึ่งหนีผมเข้าไปแอบตรงนั้น
เมื่อจ้องได้ท่าดีแล้วผมก็อัดลมเข้าท้อง (ที่จริงปอด) แล้วก็พ่นออกมาทางปากเข้าลำไม้ซางเสียงดังผุด ลูกดอกของผมวิ่งเข้าเจาะตรงท้องจิ้งจกตัวนั้นพอดี ขอบอกให้ทราบว่าในวันนั้นผมกับไอ้ธรยิงจิ้งจกกันได้หลายตัว
แต่อย่าเข้าใจผิดนะครับว่าผมกับไอ้ธรจะล่าจิ้งจกไปให้แม่ทำอาหารกิน แต่จริงๆแล้วเมื่อยิงได้ถูกและจับมาแล้วก็ปล่อยไป เหมือนกับว่าเราฉีดยาให้มันนั่นเองก็ไม่เห็นมันตายอะไร มันจะตายหรือเปล่าก็ไม่รู้ คงจะไม่ตายละมั๊ง พอปล่อยลงไป มันก็วิ่งแนบเข้าไปแอบที่ซอกไม้ทันที
ผมกับไอ้ธรไล่เป่าจิ้งจกกันอย่างสนุกสนาน และเพลิดเพลินอยู่ใต้ถุนศาลานั้น ก็ได้ยินเสียงคนเดินมาตรงที่เรือยาวจอดอยู่ แล้วก็ต้องตกใจอย่างฉับพลัน เมื่อได้ยินเสียงคนๆหนึ่งตะโกนถามเข้ามาดังลั่น ว่า ใครน่ะ ใครน่ะ มาทำอะไรในนี้ แล้วทำท่าเอามือป้องหน้าผาก ก้มตัวลงมองเข้ามาในไต้ถุนศาลาที่ผมกับไอ้ธรยืนอยู่ แล้วทำท่าจะมุดไต้ถุนศาลานี้เข้ามาดู
นายแก้วและคุณสาธร ที่อุทยานเมืองเก่าจังหวัดสุโขทัย เมื่อไม่นานมานี้
อ๋อ..! เสียงนี้คุ้นๆกันอยู่เด็กตลาดทุกคนก็ต้องรู้จัก นายฟื้น หรือลุงฟื้น สัปเหร่อแห่งวัดเจ็ดเสมียนนี่เอง ลุงฟื้นผู้นี้ บ้านอยู่ทางหมู่ ๒ (ตัวตลาดเจ็ดเสมียนเป็นหมู่ ๓) นอกๆออกไปแต่ว่าไม่ถึงหัวหนอง (หนองบางงู) ได้ทราบมาว่าเคยบวชพระอยู่ที่วัดนี้ ตั้งแต่เมื่อตอนหนุ่มๆ เมื่อครั้งหลวงตาหุ่นเจ้าอาวาสวัดเจ็ดเสมียน เพิ่งจะย้ายมาจากวัดสมถะใหม่ๆโน่น
ลุงฟื้นบวชมาตั้งนานนึกว่าแกจะไม่สึกเสียแล้ว ในตอนหลังก็มาสึกเสียจนได้ แต่ก็ยังป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่ที่วัดเจ็ดเสมียนนี่เอง ไม่ค่อยได้กลับบ้านช่อง ภรรยาก็ไม่มี
แกได้เลื่อนขั้นมาเป็นสัปเหร่อที่วัดนี้เมื่อไรผมก็ไม่ทราบ เดี๋ยวนี้แกเป็นสัปเหร่อเต็มขั้นตัวจริงเสียงจริงแล้ว เวลามีงานศพทีผมเห็นแกวางก้ามใหญ่โตไม่ใช่เล่น ออกเสียงสั่งใครต่อใครในงานนั้นจนลั่นไปหมด สิ่งที่แกทำเป็นกิจวัตรอีกอย่างหนึ่งก็คือ กินเหล้าทั้งวันแกกินเป็นระยะๆจิบเป็นระยะๆจึงไม่ค่อยเมาเท่าไร แต่ก็กรุ่นตลอดทั้งวัน
มีคนเคยถามแกว่า " ทำไมต้องกินเหล้าทั้งวันมากมายขนาดนั้นด้วย " แกบอกว่า " เป็นสัปเหร่อก็ต้องอย่างนี้แหละ บางทีก็ต้องอยู่กับคนตายทั้งวันบ่อยๆ ก็ต้องกินเหล้าข่มความกลัวเอาไว้ แต่ก็ต้องไม่ให้เมาจนจำคาถาอาคมไม่ได้นะ เวลาในขณะทำหน้าที่นั้นก็ต้องท่องบ่นอาคมเพื่อกำกับวิญญาณให้ได้ ไม่งั้นมันจะย้อนมาเข้าตัวเราเราก็จะแย่ " แกว่า
เขาว่ากันว่าคนที่มีอาชีพเป็นสัปเหร่อจริงๆเช่นลุงฟื้นนั้น มีคนป่วยมากป่วยน้อยที่ไหน ใกล้ตายเพียงใดเขาก็ห้ามไม่ให้แกไปเยี่ยมใครๆทั้งนั้น แม้แต่ พ่อ แม่ พี่น้อง ของตัวเองป่วยนิดหน่อยก็ห้ามไปเยี่ยม
เหตุผลก็เพราะว่ากลัวคนที่เป็นสัปเหร่ออย่างลุงฟื้นนี้ จะนำเอาผีติดตัวมาด้วย ผีพวกนี้จะมาชวนคนป่วยคนนั้นไปด้วยกัน คนป่วยเหล่านั้นก็จะไม่รอด ทั้งๆที่ตัวเองชื่อ ฟื้น แต่ถ้าได้ไปเยี่ยมคนป่วย แล้วเขาก็กลัวว่าจะไม่ฟื้นอยู่นั่นเอง
แต่ก่อนที่สัปเหร่อฟื้นแกจะมุดเข้ามาที่ใต้ถุนศาลา ผมก็ตะโกนบอกไปว่า " ฉันเองลุง ไอ้เก้ว กับไอ้ธรไงล่ะ " อ๋อ...! แกว่า ไอ้ที่ลุงฟื้นแกร้องอ๋อนั้นเพราะว่าแกรู้จักพวกผมดี และรู้จักพ่อแม่พี่น้องของพวกเด็กตลาดเจ็ดเสมียนทุกๆคนด้วย " แล้วพวกมึงมาทำอะไรที่ไต้ถุนศาลานี้ หา "....! แกก็ยังสงสัยอีก เพราะร้อยวันพันปีถ้าไม่มีธุระอะไรในไต้ถุนนี้จริงๆ ก็จะไม่มีใครเข้ามาหรอก มันเหม็นอับสาปสางสารพัดกลิ่น และน่ากลัวอยู่ไม่ใช่น้อยเลย
นอกจากไอ้พวกลักเล็กขโมยน้อยเช่น พวกเล่นการพนัน พวกติดเหล้าขาว จะมาขโมยเอาของบางอย่างที่ขายได้เอาไปขายซื้อเหล้ากิน เพราะว่าที่ไต้ถุนศาลานี้จะเป็นเหมือนโกดัง ที่เก็บของไว้ของสารพัดของวัด แต่เป็นของเก่าๆเสียๆทั้งนั้น
แม้แต่โลงศพเก่าๆที่เจ้าภาพเขาไม่เอาแล้ว ทางวัดก็มาเก็บมาทิ้งไว้ที่นี่ชั่วคราวก่อน พวกผ้าม่าน ฉากกั้น ดอกไม้สดและดอกไม้ปลอม ผ้าริบบิ้นต่างๆ อีกทั้งของชำร่วยในงานศพที่เหลือเล็กๆ น้อยๆ เช่นผ้าเช็ดหน้าถูกๆ ยาหม่อง ยาดม ที่ใช้ในงานศพแต่ละครั้งและเจ้าภาพไม่ได้เอากลับไปก็ไม่ยักเอาไปทิ้ง ดันเอามาเก็บไว้อีกจนมันแห้งกรอบไปหมดแล้ว
"ฉันกับไอ้ธรเข้ามาหาจับจิ้งจกเล่น " ผมบอกลุงฟื้นไปอย่างนี้ ผมเห็นลุงฟื้นทำหน้างงๆคงจะคิดว่ามันยังไงกันแน่วะ อยู่ๆพวกมึงจะมาจับจิ้งจกไปทำอะไรกัน แต่แกก็ไม่ว่าและไม่ถามอะไรอีก ได้แต่บอกว่า " ระวังงูจะกัดเอานะโว้ย เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีคนมาเอาโลงศพไปใส่คนตายที่บ้านใน เจองูเห่าขี้เรื้อนไต้โลงตั้งหลายตัว " แล้วแกก็เดินก้มหน้างุดๆไปทางตลาด คงจะไปหาเหล้าขาวเติมพลังที่ร้านแป๊ะอู๋เป็นแน่
แป๊ะอู๋ ต้นตระกูลชาญชาติณรงค์ เป็นเจ้าของร้านกาแฟของใช้ของกินต่างๆ ร้านของแป๊ะอู๋ยังอยู่ในตลาดเจ็ดเสมียนที่เดิมจนปัจจุบันนี้ แต่เปลี่ยนผู้บริหารมาหลายรุ่นแล้ว
ลุงฟื้นแกเป็นสัปเหร่อประจำที่วัดเจ็ดเสมียนนี้ดังที่ได้บอกมาแล้ว แกก็ทำตัวเหมือนผู้ดูแลวัดไปเหมือนกัน วันนี้แกเดินผ่านมาทางศาลานี้ ได้ยินเสียงผิดสังเกตคิดว่าคนเข้าไปลักของๆวัด แกก็เลยแวะเข้ามาถามดู เมื่อเห็นว่าเป็นพวกผมซึ่งแกก็รู้ว่าเป็นลูกหลานใคร และรู้จักกับพ่อแม่ของพวกผมดี ก็เลยไม่ได้สนใจอะไร
บ่าย ๓ โมงกว่าๆแล้ว ผมบอกไอ้ธรว่า " วันนี้พอแค่ก่อนนี้ดีกว่า คืนนี้เราไปเป่าปลากันที่ริมตลิ่งท่าใหญ่กัน ถ้าเจอไอ้เหม่งก็ชวนมันให้ไปด้วยกันนะ " แล้วเราสองคนก็เดินแบกลำไม้ซางผ่านข้างๆโบสถ์ ไม่เห็นพวกไอ้วี ไอ้โห้เอาไม้ซางมาซ้อมเป่าลูกมะละกอกันแล้ว
ไอ้ธรมันเดินเลยตรงไปบ้านมัน ส่วนผมเลี้ยวซ้ายผ่านบ้านตาโหงวตีมีด ข้างต้นโพธิ์ใหญ่ไป ก่อนเข้าบ้านผมเห็นไอ้เหม่งมันนั่งอยู่หน้าบ้าน ผมเลยเดินเข้าไปหามัน บอกมันเรื่องชวนมันให้ไปเป่าปลากันในตอนค่ำๆวันนี้ที่ท่าใหญ่
ไอ้เหม่งมันบอกว่ามันก็อยากไปกับพวกผมเต็มที่เลย เพราะว่าเรื่องไปจับปลาไปหาปลากันนี่ ไอ้เหม่งมันชอบนัก มือมันขึ้นมาตั้งแต่มันเป็นเด็กน้อยแล้ว เมื่อตอนมันเป็นเด็กที่เล็กกว่านี้ ผมเคยเห็นมันไปลงเบ็ดไว้ที่ใกล้ท่าใหญ่แถวๆริมตลิ่งบ้านป้าฮุ้นริมน้ำ ดวงมันเฮงปลาค้าวตัวยาวกว่าตัวไอ้เหม่งเสียอีกมากินเบ็ดมัน
มันเอาขึ้นไม่ไหวต้องผูกเบ็ดไว้อย่างนั้น แล้วรีบวิ่งมาตะโกนเรียกผมที่กำลังกินข้าวเย็นที่หลังบ้าน ให้ไปช่วยมันกู้เบ็ด กว่าจะเอาขึ้นได้ไอ้ค้าวตัวใหญ่ยาวกว่าเมตร ก็ดิ้นโผงผางฟาดน้ำเข้าหน้าผมกับไอ้เหม่งเปียกไปหมด
นั่นเป็นครั้งหนึ่งแต่ในเรื่องดวงเฮงๆ ของไอ้เหม่งนั้นมีหลายครั้ง ทั้งที่ผมรู้แล้วก็ไม่รู้..!
โปรดติดตามตอนต่อไป เตรียมการไปล่าปลาที่ท่าใหญ่ ได้เลยครับ
เล่าเรื่องโดยนายแก้ว เด็กท่าใหญ่