เมื่อผมไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนครั้งแรก ๓

alt

คุณชัยพร (พี่เชน) กำลังจะชึ้นรถ เมื่อรถที่เช่าไว้มาถึง คนที่เห็นหน้าชัดเจนนั้นคือเจ้าของรถเช่าคันนี้

บ่ายโมงตรงรถตู้ที่พี่เชนไปเช่ามาก็มาถึงโรงแรมที่พวกเราพัก รถตู้คันนี้เป็นรถตู้ของบริษัทที่รับจ้างพานักท่องเที่ยวไปชมสถานที่ต่างๆภายในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอนเท่านั้น

พวกเราเตรียมตัวกันอยู่แล้วพอรถตู้มาถึง พี่เชนก็ก้าวขึ้นรถเป็นคนแรกนำพวกเราขึ้นไปทันที เรียบร้อยแล้ว รถก็เคลื่อนที่ออกจากโรงแรมมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาว ซึ่งตลอดระยะทางรถต้องวิ่งผ่านป่าไม่รกทึบเท่าไรนักเป็นช่วงๆ มี ลำธารน้ำตื้นๆไหลผ่านตัดถนนเป็นระยะๆ บางแห่งมีช้างที่ทำงานในป่าเดินข้ามถนนด้วย


พวกเรามองดูทัศนียภาพข้างทางด้วยความตื่นเต้นเพราะต่างคนต่างก็มากันเป็นครั้งแรก คนขับรถก็ทำหน้าที่ขับเสียจริงๆ ไม่ได้คุยอะไรหรือเล่าอะไรเกี่ยวกับหมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาวที่เราจะไปเยี่ยมกันนี้เลย รถตะลุยวิ่งฝ่าถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นดินลูกรังแดงๆฝุ่นคลุ้งมาตลอด ไม่มีทางตอนไหนดีเลย นี่เรียกว่าเป็นถนนในป่าโดยแท้จริง ผู้โดยสารหัวสั่นหัวคลอนกันไปหมด

ถึงแล้ว พี่เชนรีบโดดลงไปยืนข้างรถพร้อมกับบิดตัวไปมาเสียงกระดูกลั่นดังกรอบแกรบ คล้ายกับว่านั่งรถมานานเมื่อยเสียเหลือเกิน
พี่อ้วนภรรยาของพี่เชนลงจากรถตามพี่เชนมาติดๆ เพราะว่านั่งอยู่ข้างๆกัน ต่อจากนั้นพวกผมก็ลงจากรถตามมากันทั้งหมด
ตรงที่จอดรถนี้เป็นลานกว้าง ระดับของลานนี้สูงกว่าหมู่บ้านของพวกกระเหรี่ยงคอยาวเล็กน้อย พวกเราจึงต้องเดินตามทางที่ลาดลงไปในหมู่บ้าน

 

alt

รถจอดในที่จอดแล้ว พวกเราก็เดินเข้าไปในหมู่บ้าน ทางเดินเป็นทางลาดลงไปไม่ไกลนัก

หมู่บ้านของกระเหรี่ยงนี้ส่วนใหญ่ปลูกเป็นโรงเพิงแหงนด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยจาก หรือต้นหญ้าอะไรสักอย่าง (ไม่ได้มุงด้วยสังกะสีหรือกระเบื้องเหมือนในสมัยนี้ – ผู้เขียน )ผมว่าที่จริงบ้านของกระเหรี่ยงพวกนี้น่าจะอยู่ข้างในป่าเข้าไปลึกกว่านี้อีก ตรงนี้น่าจะเป็นสถานที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่เข้ามาชมและซื้อของฝากต่างๆกลับไปบ้านเท่านั้น

 

alt

พี่เชนกำลังหยิบกล้องขึ้นมาเล็งถ่ายรูปภายในหมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาว

พี่เชนเดินนำหน้างุดๆๆ เข้าไปชมสินค้าและกระเหรี่ยงคอยาวที่แต่งตัวด้วยชุดแต่งกายของพวกเขา และถ่ายรูปไปด้วย สัญลักษณ์ของเขาก็คือ สวมห่วงไว้ที่คอกันทุกคน ซึ่งผมไม่ได้หยิบดูว่าทำมาจากอะไร เห็นแต่เป็นโลหะเหลืองๆคล้ายทองเหลือง บางคนสวมมาก บางคนสวมน้อย แล้วแต่ว่าคอใครจะยาวกว่ากัน และจะมีเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น

ตอนนี้พวกเราแตกกลุ่มกันแล้ว เพราะว่าไม่จำเป็นต้องเดินตามพี่เชนสถานเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีวันหลงเป็นแน่ ผมและคุณหวานก็ยังเดินตามกลุ่มของพี่เชนอยู่ ผมก็ถ่ายวีดิโอไปเรื่อยๆ พี่เชนแกแวะร้านนั้นร้านนี้ไปเรื่อยๆ กระเหรี่ยงหญิงส่วนใหญ่พูดไทยเป็นและพูดรู้เรื่อง จึงคุยถามไถ่กันมายากนัก

 

alt

ผู้เขียนกำลังเจรจากับสาวกระเหรี่ยงคอยาวคนหนึ่ง ชื่อ มะมิ พยายามให้เขาเซ็นชื่อในรูปของเขาให้ จำได้ว่ารูปนี้ราคา ๒๐๐ บาทเท่านั้น

ผมซื้อรูปวาดซึ่งฝรั่งนักท่องเที่ยวคนหนึ่งได้วาดให้กับกระเหรี่ยงคนหนึ่งไว้นานแล้ว ผมขอซื้อและพยายามจะให้คุณ มะมิเซ็นชื่อให้ เจรจากันอยู่นานสุดท้ายแกไม่ยอมเซ็นให้ครับ ผมก็ไม่รู้จะบังคับแกอย่างไรได้ ก็เลยได้มาแบบไม่ต้องมีลายเซ็นของคุณ มะมิครับ (ปัจจุบันนี้คิดว่ารูปนี้น่าจะยังอยู่ที่บ้านปากเกร็ด)

เดินดูร้านค้าของกระเหรี่ยงคอยาวที่บ้านแม่ส่วยอูนี้เสียจนเหงื่อชุ่มได้ที่แล้ว เพราะเป็นหน้าร้อนสงกรานต์พอดี

 

alt

ภายในบริเวณหมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาว มีลักษณะเป็นอย่างในภาพ ภายในบ้านมีสินค้าต่างๆของพวกกระเหรี่ยง วางขายอยู่ทุกหลัง

alt

กระเหรี่ยงคอยาว แต่งตัวแบบในภาพนี้ครับ

พวกอื่นๆที่แยกตัวไปก็พากันเดินขึ้นไปรอที่รถจอดอยู่แล้ว เพราะเดินรอบเดียวก็ไม่รู้จะดูอะไร พี่เชนถ่ายรูปแทบจะทั่วทุกซอกมุมจนพอใจแล้ว จึงบอกพวกผมว่า

“ไม่มีอะไรหวะ แต่ก็ดีที่ได้ชื่อว่ามาที่นี่แล้ว ไปขึ้นรถกันเถอะปะ ”

แกว่าพลางก็เดินนำหน้าพี่อ้วนและพวกผม ก้มหน้าเดินงุดๆๆๆ ตามทางที่เดินลงมาเมื่อตอนแรก ขากลับนี้อืดหน่อยเพราะว่า เป็นทางเดินลาดขึ้นไป

คนขับรถเห็นพวกผมมาแล้วก็จัดแจงติดเครื่องรถทันที เพราะว่ากว่าเครื่องปรับอากาศในรถจะทำงานให้เย็นก็ต้องใช้เวลาพอสมควร

ตอนนี้บ่าย ๓ โมงกว่าๆแล้วรถวิ่งออกมาจากถนนทางเข้าไปหมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาว พี่เชนบอกให้คนขับรถตรงไป พระธาตุดอยกองมู ซึ่งวัดพระธาตุดอยกองมูนี้อยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองเท่าไรนัก

วัดพระธาตุดอยกองมู ตั้งอยู่บนภูเขาลูกเล็กๆไม่สูงมากนัก แต่ทางขึ้นนั้นสูงชันน่ากลัวพอสมควร ถ้าคนที่ไม่เคยนั่งรถขึ้นภูเขามาก่อนเลยก็จะน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ขณะที่รถกำลังเร่งเครื่องดังสนั่นเพื่อออกแรงขึ้นเขา ถ้าเรามองลงมาก็อดที่จะวาบหวิวใจไม่ได้ถ้าเป็นโรคกลัวความสูง

ไม่นานนักก็ขึ้นมาถึงยอดเขาซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของวัดพระธาตุดอยกองมู
สำหรับประวัติต่างๆ หรือเกร็ดที่ควรรู้ต่างของวัด ผมจะไม่ขอกล่าวถึงเพราะว่ามีเสนอตามเว็บไซด์ทั่วไปแล้ว คุณหวานไปซื้อธูปเทียนของทางวัดมา ๒ ชุด เพราะมาไหว้พระธาตุและปิดทองด้วย ส่วนคนอื่นๆที่มาด้วยกันก็ต่างคนต่างซื้อ ถือกันว่าถ้าคนอื่นซื้อมาให้แล้วจะไม่ได้บุญ จึงต้องซื้อเองจึงจะได้บุญเต็มๆ

ไหว้พระเสร็จแล้วเดินดูสถานที่ของวัด แล้วก็ถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก ว่าครั้งหนึ่งเคยได้มาที่นี่ ถ้าไม่เชื่อจะได้เอารูปมายืนยัน ให้รู้แล้วรู้รอดไป ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่นี่นั้น มักจะเดินไปชมทัศนียภาพข้างล่าง ซึ่งมองเห็นได้ไกล ที่เห็นชัดที่สุดก็คือสนามบินแม่ฮ่องสอน ถ้าตรงกับเครื่องบินจะขึ้นหรือลงก็จะเห็นเครื่องบินร่อนขึ้นหรือลงอย่างชัดเจน
ที่นี่เสียเวลาไม่มากนักเพราะว่าวัดพระธาตุดอยกองมูนี้ สถานที่ไม่กว้างขวางเท่าไร

ลงจากวัดพระธาตุดอยกองมูก็เย็นแล้ว พี่เชนเห็นว่าไหนๆก็เช่ารถมาแล้ว จึงอยากให้พวกเราไปเที่ยวกันอีกสักที่หนึ่ง นั่นก็คือวัดจองคำ ก็อยู่ไม่ห่างกันกับวัดพระธาตุดอยกองมูมากนัก รถวิ่งประเดี๋ยวเดียวก็ถึง

วันนี้เป็นวันสงกรานต์ที่วัดนี้ซึ่งมีบึงใหญ่อยู่ที่หน้าวัด กำลังมีการแข่งเรือยาวกันด้วย มีคนดูกันแน่นบริเวณริมบึงหน้าวัด ส่งเสียงเชียร์เรือยาวที่กำลังแข่งกันอยู่ และเชียร์เรือที่ตนเองชอบ คนมาเที่ยวที่วัดนี้กันเยอะมากครับ น่าจะมีทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวด้วย
พวกเราเดินเล่นที่วัดนี้กันนานพอสมควร พี่เชนจึงบอกว่า “กลับกันเถอะพวกเรา ไปหาข้าวกินกัน แล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้จะต้องเดินทางกลับกันไปอีกไกล ” ทุกคนเห็นด้วยคิดว่าทุกคนคงหิวข้าวกันแล้ว

รถตู้เช่าคันนี้จึงกลับไปส่งที่ร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆโรงแรมนั่นเอง มื้อนี้พี่เชนบอกว่า “ใครกินอะไรสั่งมาได้เลย มื้อนี้พี่เลี้ยงไม่อั้น อ้าวเฮ้ยอย่าช้าสั่งมา สั่งมา ” พี่เชนหยิบเมนูขึ้นมาดูแล้วพึมพำว่า ที่นี่อะไรอร่อยกันหว่า “ ว่าพลางเอานิ้วชี้กวาดรายการอาหารเรื่อยลงมา หน้านี้ไม่มีก็เอาอีกหน้าหนึ่ง ไม่มีอาหารที่ต้องการพี่เชนเลยสั่งอาหารที่มีชื่อแปลกๆ มาลองดู

ว่าพลางหยิบถุงกระดาษที่ห่อเหล้าขึ้นมาแล้วล้วงเอา รีเยนซี่ มาตั้งไว้บนโต๊ะ พร้อมกับสั่งอาหารและสั่งน้ำแข็ง โซดามาด้วย อาหารมื้อนี้ผมว่าพี่เชนแกคงมีความสุขที่สุด เพราะว่าการเจรจาเรื่องงานก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เรียกว่างานปูพื้นถนนที่หน้าโรงแรมที่จะสร้างใหม่ในตลาด แม่ฮ่องสอนนี้ พี่เชนแกได้ทำเป็นที่แน่นอนแล้ว

อาหารมาพร้อมแล้วพวกเราทุกคนตักใส่ปากกันด้วยความหิว พี่เชนนั่งละเลียดรีแจนซี่ของแกไปด้วยความสบายใจเป็นยิ่งนัก พวกที่มาด้วยกันนั้นไม่มีใครกินเหล้า ก็เลยขอตัวกลับโรงแรมไปก่อน คงอยากจะอาบน้ำชำระร่างกายอย่างเต็มที่แล้ว

เหลือพี่เชน พี่อ้วนภรรยาพี่เชน ผม คุณหวาน และนายโรเบิร์ต กับภรรยาของเขาคือยายหมูเท่านั้น ที่จริงทุกคนที่กล่าวมานี้ก็อิ่มกันหมดทุกคนแล้ว แต่ที่ยังกลับไม่ได้ก็คือพี่เชนยังนั่งละเลียด “รีเจนซี่”อยู่ก็ต้องคอยกันหน่อย

สักพักหนึ่งพี่เชนคงจะรู้ตัวว่าคนอื่นๆ เขาอยากกลับไปที่โรงแรมกันแย่แล้ว แกจึงจัดแจงเหล้าแก้วที่ชงไว้แล้วอัดเข้าไปทีเดียวหมด ชื่นใจของพี่เชนเป็นยิ่งนัก

“ไปกลับก็กลับ” พี่เชนว่า พร้อมกับเรียกบริกรของทางร้านมาคิดเงิน พี่เชนควักเงินในกระเป๋าออกมาจ่ายไปโดยไม่รีรอ นายโรเบิร์ตคว้าขวด “รีเจนซี่” ของเจ้านายยัดใส่ถุงกระดาษ แล้วพากันลุกออกจากร้านไป

เนื่องจากโรงแรมและร้านอาหารร้านนี้อยู่ใกล้ๆกัน จึงพากันเดินไปโดยไม่ได้เรียกรถรับจ้างให้ไปส่ง ในระหว่างที่เดินไป พี่เชนบอกว่า
“เอางี้พี่แก้ว เราไปส่งพวกผู้หญิงที่ห้องก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวพี่แก้วกับผมและไอ้เบิร์ต ออกไปข้างนอกต่อกันอีกหน่อย ดีไม๊ ”

พี่เชนพูดพลางหันมาทางผม ผมคิดว่าพี่เชนแกคงจะไม่ได้ที่ของแกที่แกเคยเป็นอยู่ เพราะว่าเมื่อสักครู่ที่ร้านอาหาร พี่เชนแกไม่ได้กินเท่าไรเลยพวกเราก็อยากกลับไปพักผ่อนกันที่โรงแรมแล้ว

ผมคิดแล้วก็ให้เห็นใจพี่เชนแกหนักหนา และก็เกรงใจด้วย ผมคิดในใจว่า ที่จริงพี่เชนแกอยากดื่มต่อก็ไปดื่มในห้องที่โรงแรมก็ได้ แต่พี่เชนแกไม่ชอบดื่มเงียบๆคนเดียวครับ อย่างน้อยก็มีเพื่อนสักคนสองคนก็ยังดี และแกก็ไม่ชอบสถานที่เงียบๆเสียด้วย

“เอาไปก็ไปกัน ไหนๆมาถึงแม่ฮ่องสอนทั้งทีแล้ว ” ผมบอกพี่เชนทั้งๆที่เหนียวตัวจะแย่อยู่แล้ว อยากจะอาบน้ำชำระร่างกายและนอนพักผ่อนเสียที เอาแรงไว้ให้ร่างกายสดชื่นเพื่อจะได้ขับรถกลับกรุงเทพฯในเช้าวันพรุ่งนี้

เมื่อผมบอกว่าไปก็ไปกัน นายโรเบิร์ตก็บอกว่า “ผมไปด้วยครับเฮีย” เท่านี้เองก็ได้ผู้สนับสนุนรายการนี้แล้ว พี่เชนยิ้มแช่มชื่นขึ้นมาทันที ผมแยกกับพี่เชนตรงหน้าห้องพัก เสียงพี่เชนพูดกับพี่อ้วนภรรยาของเขาแว่วๆผมฟังไม่ถนัด เพียงแต่ได้ยินว่า “เดี๋ยวมา เดี๋ยวมา ” เท่านั้น

ผมมาส่งคุณหวานที่ห้อง ไขกุญแจเปิดประตูห้องแล้วดันประตูเข้าไป กลิ่นอับๆโชยออกมาจากห้องภายในห้องมืดทึบ ผมกับคุณหวานเข้าไปแล้วควานหาสวิทซ์ไฟฟ้าที่ข้างผนังห้องตรงประตู พบแล้วก็เปิดไฟขึ้นสว่างจ้า

คุณหวานพอรู้ว่าผมจะไปกับพี่เชนแน่นอนแล้วก็อิดออดบ่นขึ้นมาเบาๆ
“ไม่รู้ว่าจะไปกินอะไรกันนักหนา วันๆเหนื่อยจะแย่แล้วไม่รู้จักพักผ่อนกันมั่ง ”
แล้วคุณหวานก็หยิบกระเป๋าเดินทางลูกไม่ใหญ่นัก รูดซิปส์ออกคว้าเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัวพร้อมด้วยเสื้อผ้าชุดนอนที่จะใส่ในคืนนี้ออกมา

ผมยืนมองดูเฉยๆไม่พูดอะไร คุณหวานจึงพูดต่อ “แถวนี้เป็นถิ่นของเราหรือก็เปล่า ไปส่งเดชเดี๋ยวโดนปล้นโดนจี้เอาจะเดือดร้อน ”
“ไม่มีอะไรหรอกหวาน” ผมพูดขึ้นมาบ้าง
“ผมจำเป็นต้องไปเป็นเพื่อนพี่เชนเขา ผมไปไม่นานหรอกจะรีบกลับมา อีกอย่างคงไม่มีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นหรอกน่า ที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่เขาคงจะคอยดูแลเป็นพิเศษ ไม่ต้องกังวลไปเลย ”
“แล้วก็อย่าไปกินเสียเมามายล่ะ พรุ่งนี้เช้าจะขับรถกลับไม่ไหว ไปเถอะป่านนี้พี่เชนคงรอแล้วละ”

ผมขยับตัวมองออกไปที่หน้าประตูซึ่งเปิดแง้มไว้อยู่ แสงไฟที่หน้าประตูสลัวๆเนื่องจากหลอดไฟมีแรงเทียนน้อย ทำให้มองเห็นพี่เชนและนายโรเบิร์ต สลัวๆมารออยู่ก่อนแล้ว

ผมสงสารคุณหวานมาก ที่ผมทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวในบรรยากาศ ที่เงียบๆแบบนี้ เพราะว่าตรงนี้เป็นลักษณะเรือนแถวชั้นเดียวที่เก่าแก่มาก ไม่เหมือนกับห้องพักตามโรงแรมอื่นๆโดยทั่วๆไป (ซึ่งผมบรรยายไว้บ้างแล้วในตอนก่อน)

แต่จะทำอย่างไรได้เรามาถึงที่นี่ ก็มืดเกินกว่าที่จะไปตระเวนหาโรงแรม หรือที่พักอื่นๆแล้ว เมื่อเขามีห้องว่างอย่างนี้เราก็ต้องจำใจ เอาไว้นอนพักสักคืนหนึ่ง

ผมออกไปกับพี่เชนและนายโรเบิร์ตแล้ว (เรื่องต่อไปนี้ที่เกิดกับคุณหวานในขณะที่ผมออกไปข้างนอกกับพี่เชน ซึ่งคุณหวานเล่าให้ผมฟังในภายหลัง)

ผมออกไปกับพี่เชน เพื่อจะไปหาร้านกินเหล้ากัน ๓ คน ที่ร้านไม่ไกลจากโรงแรมเท่าใดนัก เมื่อผมออกพ้นประตูไปแล้ว คุณหวานก็เริ่มรื้อค้นกระเป๋าเสื้อผ้าอีก เพื่อจะเอาสบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน แปรงสีฟันที่ได้นำเอามาจากบ้าน

ได้แล้วก็นุ่งผ้าเช็ดตัว ถอดเสื้อผ้าออก เดินเข้าห้องน้ำไป แต่ไม่ได้ปิดประตูเพราะเห็นว่าอยู่คนเดียวไม่มีใครแล้วในห้องนี้ ห้องน้ำนี้ไม่มีน้ำอุ่นมีแต่ก็อกน้ำเย็นเท่านั้น แต่ไม่เป็นไรเดือนเมษายนนี้เป็นหน้าร้อน อากาศกำลังร้อนจัดทีเดียวจึงไม่ได้ห่วงเรื่องน้ำอุ่นเท่าไรนัก
คุณหวานเปิดน้ำที่ก๊อกอ่างล้างหน้า เอาแก้วของโรงแรมที่มีไว้ให้มารอน้ำ แล้วก็จัดแจงแปรงฟันก่อน แปรงฟันไปดูกระจกเก่าๆซึ่งปรอทที่ฉาบไว้ข้างหลังกระจกเงาบานนี้ ลอกออกไปเกือบหมดแล้ว

แปรงฟันไปเพลินๆพลันก็ต้องตกใจ ในขณะที่ตามองดูที่กระจกเงานั้น คุณหวานเห็นว่ามีอะไรอย่างหนึ่งผ่านแว๊บ ไปอย่างรวดเร็ว ผ่านหน้าห้องน้ำไป ซึ่งมองได้จากกระจกเงาเก่าๆนั้น คุณหวานชะงักหยุดแปรงฟันประเดี๋ยวหนึ่ง

แล้วคิดว่าตาคงจะฝาดไปแน่นอน เพราะวันสองวันมานี้เหนื่อยมากกับการนั่งรถระยะทางไกลๆกันทั้งวัน ทำให้ประสาทผิดปกติไปได้ คิดได้ดังนั้นแล้ว จึงแปรงฟันต่อไป และอาบน้ำจนเสร็จโดยไมมีอะไรเกิดขึ้น

เหตุการณ์ครั้งนี้แม้ว่าจะรวดเร็วเพียงแวบเดียวเท่านั้น คุณหวานก็แน่ใจว่า เห็นมีอะไรผ่านหน้าห้องน้ำไปจริงๆ เมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้ว ก็คอยมองซ้ายขวาเผื่อว่าจะมีแมวหรือตัวอะไรที่เข้ามาอยู่ก่อนแล้ว วิ่งผ่านประตูห้องน้ำไปคุณหวานจึงได้เห็นแบบนั้นได้ แต่ทุกอย่างก็เงียบเชียบเป็นปกติ

เมื่อมีสิ่งที่สะกิดใจที่จะเป็นลางบอกเหตุเกิดขึ้นแล้วนี้ แม้จะไม่น่ากลัวแต่คุณหวานก็อดที่จะกลัวความเงียบไม่ได้ คุณหวานใส่เสื้อผ้าชุดนอนแล้วก็คิดว่าจะเอนตัวลงนอนสักหน่อย แต่คิดแล้วก็นอนไม่ลง เมื่อมองไปรอบๆห้องอย่างละเอียดจึงเห็นได้ชัดเจนกว่าเมื่อมาเปิดห้องตอนแรก

ของที่ประดับในห้องเช่าห้องนี้มีลักษณะเป็นของเก่าๆโบราณทั้งนั้น ตรงข้างห้องน้ำนั้นก็เป็นตู้ไม้สักโบราณลูกใหญ่ สำหรับแขวนเสื้อผ้าของแขกผู้มาพัก ตู้ใบนี้ฉลุลวดลายต่างๆสวยงามมาก แม้จะเป็นตู้ที่เก่าแก่แล้ว แต่ฝีมือของคนสร้างนั้นงดงามหาที่ติมิได้ คงจะสร้างมานานแล้วทีเดียว

ที่ริมผนังข้างๆชุดรับแขก เป็นตู้ไม่ใหญ่มากนัก ตัวตู้เตี้ยๆเป็นที่วางพวกเครื่องสำอางเวลาจะประแป้งแต่งหน้า มีกระจกบานใหญ่เป็นรูปวงกลมรีๆ ที่เคยเห็นอยู่ทั่วไป ที่เรียกกันว่าโต๊ะเครื่องแป้ง นอกจากนั้นยังมีสิ่งอื่นๆอีก

เช่นภาพในกรอบไม้สักโบราณกรอบใหญ่ ติดไว้ข้างผนัง เป็นรูปของใครก็ไม่รู้ แต่งตัวชุดไทยห่มผ้าสไบเฉียง มองมาข้างหน้า เหมือนว่าจะสบตากับคนที่มองเขา ในบรรยากาศเงียบๆอย่างนี้มองดูก็น่ากลัวพอสมควร

คุณหวานเมื่อยเพลียจากการเดินทางในวันนี้ทั้งวันแล้ว ก็อยากจะเอนตัวนอนก็นอนไม่หลับ และนึกว่าเมื่อไรพวกที่ออกไปข้างนอกจะมาสักที จิตใจไม่เคยกลัวอย่างนี้เลยก็กลัวขึ้นมาได้ ยิ่งกลัวก็ยิ่งระแวงสิ่งต่างๆตลอดเวลา

มองดูอะไรก็เหมือนมันจะเคลื่อนไหวได้ นอนคิดอะไรไปเพลินๆ สายตาก็สอดส่ายไปมา พลันก็ไปจ้องเอารูปวาดที่เป็นผู้หญิงห่มสไบเฉียงเข้า นาทีที่คุณหวานมองไปก็เหมือนว่าสบสายตากับเขาพอดี
คุณหวานคิดว่า เอ๊ะ.. ! เราตาฝาดไปหรือเปล่า ที่ภาพนั้นก็ส่งสายตามาสบตากับคุณหวานพอดี และกระพริบตาช้าๆ แต่ไม่มีส่วนใดของใบหน้าเคลื่อนไหว คุณหวานบอกว่าจะร้องให้คนช่วยก็ร้องไม่ออก ในหัวสมองคิดว่าในห้องนี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว

มิหนำซ้ำกระจกเก่าคร่ำคร่าที่โต๊ะเครื่องแป้ง อยู่ๆก็เหมือนมีหน้าคนในรูปวาดนั้นอยู่ในกระจกมองเห็นรางๆ กำลังสางผมอยู่ คนหวานคิดว่าวันนี้โดนผีหลอกแน่แล้ว ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยโดนแบบนี้เลย ที่ว่ากันว่าผีไม่มีจริงในโลกนี้ วันนี้ได้มาเห็นกับตาตัวเอง บอกใครเล่าให้ใครฟังจะมีใครเเชื่อหรือไม่หนอ

ภาพในกระจกปรากฏอยู่ในกระเงานั้นไม่กี่วินาทีก็เลือนหายไป แม้แต่ปวดปัสสาวะคุณหวานก็ไม่กล้าเข้าห้องน้ำ อุตส่าห์ทนอดกลั้นเพื่อรอให้ผมกลับมา และภาวนาให้ผมกลับมาเร็วๆด้วยเถิด

ตอนนี้คุณหวานไม่กล้ามองอะไรอีกแล้ว นอนคลุมโปงตัวแข็งทื่อไม่กระดุกกระดิก ปวดปัสสาวะก็ไม่กล้าลุกออกไปห้องน้ำ ในใจก็คิดด่าพวกที่ไปหาเหล้ากินกันไม่รู้เวลาล่ำเวลา ปล่อยให้กลัวอยู่คนเดียว เสียงอะไรก๊อกแก๊ก ก็ไม่กล้าเปิดผ้าห่มดูเลย อกสั่นขวัญแขวนเป็นอันมาก และคิดว่าตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะมาเจอของจริงในคืนนี้เอง


เมื่อผมกับพี่เชนและนายโรเบิร์ต ออกจากโรงแรมมาแล้ว ก็เดินกันไปตามถนนหน้าโรงแรม คิดว่าคงจะมีร้านค้าร้านขายอาหารที่โอ่อ่าใหญ่ๆหน่อย ใกล้ๆแถวนั้นบ้าง เดินจนสุดถนนหน้าโรงแรมแล้ว ร้านค้าร้านขายอาหารใหญ่ๆแถวๆใกล้ๆโรงแรมนี้ไม่มีเลย ร้านอาหารเล็กๆที่เรานั่งกินกันเมื่อตอนเย็นนั้นก็ปิดเสียแล้ว

ขณะนี้ก็เกือบจะสามทุ่มเข้าไปแล้ว ผมจึงบอกพี่เชนว่า
“พี่เชนครับ ผมว่าเราซื้อกับแกล้มที่ร้านค้ารถเข็นข้างถนนนี้ กลับไปกินที่ห้องที่โรงแรมดีกว่า เอาไว้คราวหน้าเราไปสำรวจกันก่อนว่า มีร้านอาหารที่ไหนดีๆ เราค่อยไปกินกัน ดีไม๊ครับ ”

พี่เชนได้ยินผมออกความเห็นอย่างนั้น ก็เลยบอกผมว่า “ก็ดีเหมือนกัน สั่งอาหารใส่ถุงไปกินที่ห้องที่โรงแรมก็ดี ขี้เกียจเดินหาร้านแล้ว ” ว่าแล้วพี่เชนกับนายโรเบิร์ตก็พากันเดินไปยังรถเข็นซึ่งขายอาหารตามสั่งอยู่ สักพักหนึ่งก็หิ้วของหลายถุง พากันเดินกลับไปยังโรงแรม

ผมคิดว่าจะไปดูคุณหวานสักหน่อยว่าเขาหลับหรือแล้วยัง เปิดประตูเข้าไปโดยกุญแจที่ผมเอาติดตัวไปด้วย โผล่เข้าไปเห็นไฟเปิดสว่างโร่อยู่

เห็นคุณหวานนอนคลุมโปงตัวสั่น ผมจึงเรียกเบาๆ คุณหวานแง้มผ้าห่มที่คลุมโปงนั้นออกดูเมื่อได้ยินเสียงผม คุณหวานทำหน้าจะร้องไห้เมื่อเห็นผม สงบสติอารมณ์กันดีแล้ว คุณหวานจึงเล่าให้ผมฟังสิ่งที่ประสบมาดังที่ผมเล่ามาข้างต้นแล้ว

คืนนั้นผมไม่ได้ไปที่ห้องพี่เชนเลย เขาคงกินกันสองคนกับนายโรเบิร์ตในห้องของเขา พี่เชนคงสงสัยว่าทำไมผมจึงไม่ออกไปที่ห้องของเขา เพื่อไปกินเหล้ากับเขาด้วย เอาไว้พรุ่งนี้เถอะผมจะเล่าให้เขาฟังแน่นอน

คืนนั้นเมื่อผมเข้ามาที่ห้องแล้วก็นอนไม่หลับ คุณหวานก็เช่นเดียวกัน นั่งคุยกันระแวงไปต่างๆนานา แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งรุ่งเช้า

วันนี้เป็นวันที่จะกลับกรุงเทพฯ ผมกับคุณหวานรีบอาบน้ำ แล้วก็แต่งตัวเก็บเสื้อผ้าและของใช้เล็กน้อยที่เป็นของเรา ยัดใส่กระเป๋า หน้าร้อนอย่างนี้อากาศสว่างเร็ว

ผมสองคนช่วยกันหิ้วกระเป๋าคนละใบ เดินไปใส่ที่รถเอาไว้ก่อน แล้วจะออกจากโรงแรมเมื่อไรก็ได้ ก่อนออกไปจากห้อง ผมไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ กล่าวกับภาพนั้นว่า ผมและคุณหวานต้องขอโทษต่อท่านด้วย ที่อาจจะมีบางอย่างที่ได้ล่วงเกินท่านไป ขอให้ท่านให้อภัยแก่ข้าพเจ้าทั้งสองคนด้วย และขอให้ท่านจงดลบันดาลให้ข้าพเจ้าเดินทางกลับบ้านโดยปลอดภัยด้วยเทอญฯ

ผมกล่าวแล้วก็ออกมาจากห้อง แล้วก็เอากุญแจห้องไปคืนที่เคาเตอร์ของโรงแรม โดยไม่ได้พูดไม่ได้ถามอะไรใครที่หน้าเคาเตอร์เลย

ผมเห็นมีคนที่ไปด้วยกันตื่นและแต่งตัวกันเสร็จแล้ว ไปยืนอยู่ที่รถของใครของมัน พวกเขาคงอยากจะกลับบ้านเหมือนกันละน่า ต่างก็พากันหิ้วกระเป๋าไปที่รถ ผมกะว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้พี่เชนฟัง แต่คิดว่าให้กลับไปกรุงเทพฯเสียก่อนดีกว่า

ผมรอคุยกับพี่เชนก่อนว่าเขาจะออกไปจากแม่ ฮ่องสอนพร้อมๆกันหรือไม่ เพราะเมื่อวานพี่เชนบอกว่า เขาจะย้อนกลับเข้าเชียงใหม่ไปหาเพื่อนของเขาคนนั้นอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงกลับบ้าน

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็จะไปก่อนหรือจะไปพร้อมๆกันก็ได้ แล้วจึงไปแยกกันที่ อำเภอฮอด เพราะว่าขากลับนี้ตกลงกันว่าจะกลับทาง ขุนยวม แม่สะเรียง ฮอด ไม่ได้กลับทางเดิมที่เราไป คือทางอำเภอ ปาย ปางมะผ้า

ผมรอพี่เชนนานพอสมควร แล้วตกลงกันว่าจะวิ่งตามๆกันไปก่อนดีกว่า แล้วค่อยไปแยกกันดังที่ผมได้บอกมาแล้ว วันนั้นผมจึงขับรถทั้งวันผ่านอำเภอแม่สะเรียง จนไปแยกกันกับพี่เชนที่อำเภอฮอด

พี่เชนก็แยกเข้าเชียงใหม่กับพวกลูกน้องของเขา ส่วนผมกลับกรุงเทพฯเลย โดยวิ่งไปทางอำเภอดอยเต่า ผ่านดอยเต่าแล้วมุ่งหน้าไปผ่านอำเภอลี้แล้วผ่านที่ต่างๆมากมายจำไม่หมด

ออกถนนพหลโยธินที่อำเภอเถิน ซึ่งทางนี้มีคนบอกว่า เป็นทางลัดใกล้ไปอีกหลายร้อยกิโล และรถก็ไม่ค่อยมีด้วย

ก็จริงอย่างว่า แต่ทางสุดโหดมีแต่ขึ้นเขาลงเขาทั้งนั้น (เมื่อ ๑๐ กว่าปีที่แล้ว) เปลี่ยวมากที่สุด นานๆจะมีรถสวนมาสักคัน ผมขับตะบึงไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต เขาก็เขาเถอะผมเร่งรถอย่างไม่กลัวอันตราย เพราะว่ากลัวจะมืดกลางทางมากกว่าจะกลัวอันตราย


ผ่านอำเภอลี้ มาโผล่ที่อำเภอเถิน ซึ่งเป็นจุดเชื่อมกับถนนใหญ่ที่จะไปกรุงเทพฯ ก็เกือบค่ำ แต่ก็โล่งอกที่รอดมาได้ จากนั้นไม่นานผมก็เข้าจังหวัดตาก ผ่านกำแพงเพชร เข้านครสวรรค์ และกลับถึงกรุงเทพฯโดยปลอดภัยในที่สุด

ขณะที่ถึงบ้านแล้วยังคิดอยู่ว่า ป่านนี้พี่เชนกับพรรคพวกไปถึงไหนกันแล้วหนอ... !

 

alt

ปฏิพัทธ์ ปลาทอง ผู้เขียน ๗ มกราคม ๒๕๕๖

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้295
เมื่อวานนี้746
สัปดาห์นี้2656
เดือนนี้8914
ทั้งหมด1328248

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online