คำถามที่ตอบไม่ได้

    ก่อนที่ผมจะมาตั้งร้านค้าขายดำเนินธุรกิจ เล็กๆน้อยอย่างในปัจจุบันนี้ ผมรับราชการอยู่ในกรมกองแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีคนรู้จักมากมายอาจจะเป็นเพราะว่าผมเป็นคนคุยสนุก กันเอง ไม่ชอบขัดคอขัดใจใคร

    ผมจึงมีเพื่อนมาก คนรู้จักก็เยอะ ตั้งแต่คนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ไปจนถึงระดับใหญ่ๆในวงราชการและการเมือง เมื่อผมเกษียณอายุราชการแล้วหลังจากที่อยู่ในกรุงเทพฯ และทำงานอยู่ในกรุงเทพฯมาหลายสิบปี

   ผมจึงเบื่อก็เลยได้ย้ายที่อยู่ มาอยู่ที่ต่างจังหวัดดังเช่นทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าผมจะอายุมากแล้ว แต่นิสัยใจคอของผมก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่นานเท่าไรผมก็รู้จักคนในชุมชนที่ผมมาอยู่ใหม่นี้มากมาย

  สถานที่ผมทำการค้าขายนี้เป็นตึกสองชั้น ๒ คูหา ก็มีรายได้จากการค้าขายนี้พอเลี้ยงตัวเองโดยไม่ขัดสน ชุมชนแห่งนี้ใกล้ๆกับที่ตั้งของ มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง มีนักศึกษาที่อยู่ในจังหวัดนี้และจังหวัดใกล้เคียงมาเรียนกันมาก ข้างๆมหาวิทยาลัยแห่งนี้จึงเป็นคล้ายตลาดเล็กๆ มีคนเดินผ่านไปมาหน้าร้านตลอดเวลา

   เมื่อไม่นานมานี้มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ดูแล้วน่าจะมีอายุไม่เกิน ๒๕ – ๓๐ ปีทั้งคู่ มาขอเช่าหน้าร้านซึ่งยังว่างอยู่ เขาคงจะเห็นว่าตรงนั้นไม่มีคน มาตั้งแผงขายของเขาจึงแวะมาถามดู

   เรื่องที่หน้าร้านนั้นผมไม่เคยคิด จะให้ใครมาเช่าทำอะไรหรอก มีหลายคนแล้วที่มาถามขอเช่าหน้าร้าน ผมจะไม่ให้เช่าเด็ดขาด เพราะเพียงได้เงินจากค่าเช่าเพิ่มรายได้อีกเล็กน้อย มันจะไม่ค่อยคุ้มกับความไม่สบายใจ ที่ผู้เช่าทำสถานที่สกปรกรกรุงรัง และหน้าร้านที่แคบลงซึ่งผมไม่ชอบเลย

  เมื่อสองคนมายื่นความจำนง และได้คุยกันเรียบร้อยแล้วทุกคนในร้านผมนี้ก็เห็นดีด้วย ที่จะให้เขาเช่าโดยคิดค่าเช่าไม่แพงนัก จากนั้นมาเมื่อเขาได้มาตั้งร้านขายขนม(วอฟเฟิล)แล้วภรรยาของเขาจึงเป็นผู้ขายอยู่คนเดียว  นานๆวันเข้าก็เลยได้คุยกันบ่อยๆ เรื่องที่ผมเสนอมานี้ก็จะเริ่มต้นจากตรงนี้ครับ...

   บ่ายวันหนึ่งคุณเอ๋ (ชื่อเล่น) คนที่ได้เช่าที่หน้าร้านของผมนี้ได้บอกผมว่า “แฟนหนูบอกว่า ที่ตรงนี้ (หมายถึงตรงที่ผมค้าขายอยู่นี้) เขามองเห็นมีเจ้าที่เป็นผู้หญิงคอยเฝ้าอยู่ ถ้าเราทำดีก็จะไม่มีอะไรจะอยู่ได้นาน แต่ถ้าทำไม่ดีก็จะอยู่ได้ไม่นาน” (ที่ดินตรงนี้เป็นที่ดินของราชพัสดุ ที่ให้คนทั่วไปเช่าที่ปลูกบ้านหรือตึก )

      ผมบอกว่า “เอ้า..! แล้วแฟนคุณเอ๋รู้และเห็นได้อย่างไร ลุงอยู่ที่นี่มานานหลายปีแล้ว ยังไม่เคยเจออะไรเลย”

    “นั่นแหละ นั่นแหละก็เขาบอกแล้วไง ถ้าเป็นคนดีทำดีก็จะไม่มีอะไร อยู่ได้นานทำมาค้าขึ้นด้วย” คุณเอ๋บอกแล้วบอกต่อว่า

   “แฟนหนูเขาเป็นหมอดูแบบเข้าทรง แฟนหนูเขาเป็นร่างทรงเมื่อเข้าทรงแล้ว มองอะไรก็จะเห็นและก็แม่นเสียด้วย ”

    ผมสนใจในเรื่องที่คุณเอ๋บอกนี้เป็นอันมาก และผมยังได้คุยกันกับคุณเอ๋ถึงเรื่องนี้ไปอีกยืดยาว จากที่ได้คุยกับคุณเอ๋ ในวันนั้นแล้ว ผมก็มีความคิดว่าอยากจะคุยกับ นายสกล ศรีนาค ซึ่งเป็นเจ้าของร่างทรง และเป็นสามีคุณเอ๋

    ที่เป็นดังนี้ก็เพราะว่า เรื่องแบบนี้ผมก็เคยรู้เคยเห็นมามากแล้ว ขนาดว่าหลายปีมาแล้ว ผมกับเพื่อนคนหนึ่งเคยชวนกันขับรถไปดูเจ้าเข้าทรงคนหนึ่ง ที่หนองแค สระบุรี

   ไปถึงอาศรมเจ้าตั้งแต่ ๓ ทุ่ม อยู่กับเจ้าที่เข้าแล้วก็เต้นโครมครามถึงสว่างคาตาและยังมีที่ตื่นเต้นอีกหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้คุยกับเจ้าของร่างทรงที่แท้จริงเลย

    มาตอนนี้น่าจะเป็นโอกาสดีของผม จึงมีความคิดที่จะเชิญนายสกลคนนี้ มาคุยมาเล่าเรื่องต่างๆให้ผมฟังเป็นการส่วนตัว จะได้หรือไม่ผมก็ยังไม่แน่ใจ

    เพราะว่านายสกลสามีของคุณเอ๋นั้น จะมาที่นี่เป็นบางครั้งเท่านั้น และมาแต่ละครั้งผมก็ไม่เคยได้คุยกับเขาเลย เพียงแต่ทักกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    ผมคิดอยู่หลายวัน แล้วก็เลยตัดสินใจว่าจะคุยกับเขาให้ได้ เพราะว่าคิดว่าแค่คุยกันคงไม่ทำให้เขาเสียหายแน่ๆ

   ผมจึงลองๆถามคุณเอ๋ ซึ่งมาขายของอยู่ที่หน้าร้านผมทุกวัน ถึงสิ่งที่ผมต้องการคุณเอ๋บอกว่า

   “จะถามดูให้  “

  แล้วเมื่อไม่กี่วันมานี้เองนายสกล ก็ขับรถมาหาผมมาคุยกับผมและได้ถามถึงความต้องการของผม เมื่อทราบความต้องการแล้ว จึงบอกผมว่า

   “เรื่องมันมากครับคุณลุง ผมจะเล่าด้วยปากเปล่ามันก็จะยาว แล้วคุณลุงก็จะจำไม่ได้ ผมจะเขียนบันทึกมาให้คุณลุงลองอ่านดูดีกว่า ตรงไหนเอาตรงไหนไม่เอาก็ตัดออกไป ”

    ผมมองดูนายสกลแล้ว เป็นคนที่มีลักษณะเปิดเผยจริงใจเป็นคนดีคนหนึ่งทีเดียว 

   ”อีกสักวันสองวันผมจะเอาบันทึกมาให้คุณลุงนะครับ ผมขอไปคิดและเรียบเรียงก่อน”  นายสกลพูดก่อนที่จะลาผมกลับไป

   สองวันต่อมานายสกลก็มาหาผมที่ร้าน เอากระดาษที่เขาเขียนไว้แล้วมายื่นให้ผมๆอ่านดูคร่าวๆ ซึ่งเขียนด้วยลายมือที่สวยงาม เป็นบันทึกย่อๆ ถึงความเป็นมาของการที่จะเป็นร่างทรงนี้ ให้ผม

   นายสกลเป็นคนเปิดเผย นอกจากจะเอากระดาษบันทึกมาให้ผมแล้ว ก็ยังนั่งคุยให้ผมสอบถามเรื่องราวต่างๆเป็นเวลานาน สิ่งที่เขาคุยมานั้นทำให้ผมเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ตามประสาของคนที่ไม่ค่อยชอบในเรื่องนี้มาก่อน

  เรื่องที่นายสกลบันทึกมาให้ผมนี้ผมได้อ่านดูแล้ว เป็นเรื่องของอาการเบื้องต้นเท่านั้นเองที่เขาจะได้มาเป็นร่างทรง

    ผมเองก็ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าเป็นอะไร เขาบอกว่าเขามีอาการเป็นเหมือนคนเป็นโรคจิต หรือที่เรียกว่าคนบ้านั่นเอง (เคยถูกพาไปโรงพยาบาล ศรีธัญญามาแล้ว) 

      ถ้าถามผมว่าเขาเป็นอะไร ผมตอบไม่ได้และ ผมไม่มีคำตอบครับ ขอให้ดูบันทึกของเขาหน่อยเพราะว่าเขาบอกว่า “ผมไม่ได้บ้านะครับ” มีต่อ

เขียนโดย บุญเชิด ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้64
เมื่อวานนี้706
สัปดาห์นี้2620
เดือนนี้11867
ทั้งหมด1341751

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online