ชีวิตต้องสู้ อยู่เป็นตัวอย่าง ตอน ๑

   

 ในวัยเด็ก ประเสริฐ มุนินทร์สาคร  มีชื่อเล่นว่า โต (บางคนเรียก ตาโต,หัวโต)  เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน 2487 ตรงกับวันแรม 2 ค่ำ เดือน 11 ปีวอก ณ บ้านหน้าโรงเจ  ตลาดโพธาราม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี โต เป็นลูกคนที่ 2 ของอาปั้กจุ่น - อาเมเจายิน แซ่ลี้ (อาปั้กจุ่นมีอาชีพเป็นช่างตัดเสื้อสูท) มีพี่น้องรวม 5 คน ดังนี้

    1.นายวรวัฒน์ (วิรัตน์) มุนินทร์สาคร  ประกอบอาชีพธุรกิจค้าขาย,  อุตสาหกรรมน้ำดื่มและเป็นผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดราชบุรี
    2. นายประเสริฐ (โต) มุนินทร์สาคร ผู้วายชนม์
    3. นางสุจินดา(โม้ย)วรสหวัฒน์
    4. นายประสิทธิ์(เล็ก)มุนินทร์สาคร ข้าราชการบำนาญกระทรวงกลาโหม
    5. นายเหรียญ(นิด)มุนินทร์สาคร ประกอบอาชีพค้าขาย

    วัยเด็กและวัยเรียน โต เป็นเด็กที่ค่อนข้างจะเลี้ยงยาก อาปั้ก อาเม จึงยกให้เป็นลูกบุญธรรมป้าเง็ก หมอกวาดยาข้างบ้านตั้งแต่เด็ก เป็นเด็กที่ไม่ค่อยยอมนอนง่าย ๆ บ่อยครั้งที่อาเมต้องไกวเปลเห่กล่อมทั้งคืน แต่ก็เรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย ไม่เกเร

    พอเติบโตขึ้นมีแรงพอที่จะช่วยทำงานบ้านได้ ก็จะช่วยโพงน้ำจากบ่อหลังบ้าน ซึ่งเป็นบ่อน้ำรวมใช้กันหลายบ้าน ทำเป็นกิจวัตรประจำวันกับพี่ชาย เช็ดบ้าน ถูบ้าน ขยันตั้งแต่เด็ก ไม่งอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ

    เมื่ออายุราว 8 ขวบ อาปั้ก อาเม ก็พาไปเข้าเรียนชั้น ป.เตรียมในสมัยนั้น กับครูทองย้อยที่โรงเรียนวัดไทรอารีรักษ์ 1 ปี ในปีถัดมาโตก็ขึ้นเรียนชั้น ป.1 อาเมจึงเริ่มทำขนมแคะขาย (ขนมแคะทำจากแป้งและน้ำด่าง ใส่ลงในถ้วยใบเล็ก ๆ นำมานึ่ง เวลาจะกิน ต้องใส่หัวไช้โป๊วสับเป็นชิ้นเล็กๆโรยหน้า ตามด้วยน้ำตาลเชื่อมสีคล้ำตามด้วยน้ำซีอิ๊ว ใช้ไม้พายเล็กๆตัดขนมออกเป็น 4 ส่วน แล้วแคะกินทีละส่วน)

    คนขายก็คือพี่ชายหาบนึงโตและน้องสาว 2 คนอีกหาบนึง หาบไปขายในตลาดโพธาราม ทุกวันเสาร์อาทิตย์และวันที่โรงเรียนหยุด เพื่อช่วยหารายได้มาจุนเจือครอบครัว และเพื่อการศึกษา หาบขนมแคะขายกันอยู่หลายปี 
     นอกจากนี้ตอนอยู่ ป.2  โตกับน้องสาวยังไปช่วย อาโผ่ว (ยาย) ซึ่งมีบ้านอยู่ริมน้ำติดกับโรงพิมพ์สุขพันธ์โพธารามในสมัยนั้น ไปขายกวยจั๊บที่วัดคงคาราม ในเทศกาลแข่งเรือยาวประเพณีประจำปีหลังออกพรรษาปีละครั้ง
     ยายหลานทั้ง 3 คนหาบวัสดุอุปกรณ์กวยจั๊บเดินจากบ้านกว่าจะถึงวัดเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตรเศษตามริมทางรถไฟ ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีถนนให้ความสะดวกสบายเช่นทุกวันนี้

   พอจบ ป.4แล้วโตก็หยุดเรียนไปปีหนึ่ง ไปขายสลากกินแบ่งรัฐบาลโดยเร่ร่อนไปเรื่อยๆ ในที่ๆไปได้เช่นที่ตลาดนัดเจ็ดเสมียนก็ไปขายแทบทุกนัด โดยนั่งรถจักรยานซ้อนท้ายอาปั้ก (เตี่ย) ไป เพื่อเก็บเงินไว้เรียนหนังสือในโอกาสข้างหน้า

   ในปีต่อมาโตเห็นว่าตัวเองถ้ามีความรู้เพียงชั้นป.4 ไม่ดีแน่ จึงได้เข้าเรียนชั้น ม.1 ที่โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ ชั้นเดียวกับน้องสาว (โม้ย)

    ในช่วงนี้พี่ชายทำทองม้วนขายโตมีหน้าที่ม้วน นอกจากนี้สองคนพี่น้องยังทำฉลากขาย (เป็นฉลากเบอร์ ใครจับได้เบอร์อะไร ก็จะได้ของที่ตรงกับเบอร์นั้นไป) ส่วนอาเมก็ทำข้าวตู ถั่วทอด มะม่วงดอง ฝรั่งดอง โดยมีอาปั้กช่วยปอกเปลือก ส่วนคนขายก็คือโม้ย น้องสาว ทำหน้าที่หาบกระจาดของเดินขายไปตามร้านค้าย่านตลาด ทุกคนในบ้านต่างก็ช่วยกันทำมาหากินอย่างแข็งขัน

    โตชอบเล่นกีฬาโดยเฉพาะอย่างยิ่งฟุตบอล เล่นหลังเลิกเรียน เล่นเสร็จต้องรีบกลับไปช่วยทำงานบ้าน โพงน้ำ ปัดกวาดเช็ดถูบ้าน จัดการเรื่องตัวเอง และเตรียมพร้อมเพื่อไปเรียนในวันรุ่งขึ้น 
    โตเป็นคนสนุกสนาน รักเพื่อน ไปไหนไปด้วย เฮไหนเฮด้วย แต่ก็ค่อนข้างเจ้าระเบียบ ไม่เจ้าชู้ประตูดิน การเรียนอยู่ในเกณฑ์ปานกลางเอาตัวรอดได้  ระหว่างเรียนมัธยมในวันหยุดเสาร์อาทิตย์และวันหยุดอื่นๆ ก็ยังไปขายสลากกินแบ่งรัฐบาลอยู่ตลอด  เรียนอยู่ที่โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์จนจบชั้น ม.ศ.3ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนในสมัยนั้น

     พี่ชายซึ่งจบมัธยมศึกษามาก่อนหน้านี้ 3 ปี  ได้ออกมาปักหลักค้าขายตั้งชื่อร้านว่า แสงเจริญ   อยู่หน้าวัดโพธาราม  โตเมื่อจบ ม.ศ.3 ออกมาก็ไม่ได้เรียนต่อ จึงอยู่ช่วยพี่ชายขายของที่ร้านของพี่ชาย ช่วยกันค้าขายเรื่อยมา

    จนปี พ.ศ. 2509 เกิดไฟไหม้ใหญ่ที่ตลาดโพธาราม ถึงกับทำให้ครอบครัวหมดเนื้อหมดตัว เก็บข้าวของออกมาไม่ทันเพราะเป็นบ้านไม้ใกล้กับบ้านต้นเพลิง  ชีวิตจึงเริ่มลำบากต้องเริ่มต้นใหม่ ต้องระหกระเหินไปอยู่บ้านพักชั่วคราว ใกล้ที่ว่าการอำเภอโพธารามที่ทางเทศบาลจัดให้ อยู่เป็นปีโดยเปิดร้านขายของป็น 2 ร้าน 2 ที่

    ต่อมาพอมีเงินเก็บบ้างก็ไปซื้ออาคารตึกพาณิชย์ 3 ชั้นครึ่ง บนถนนหน้าอำเภอ ของโรงพิมพ์สุขพันธ์โพธารามที่ชวนไปอยู่ด้วย ซึ่งเป็นทั้งที่อยู่ที่กินที่ค้าขายยาวนาน มาจนถึงทุกวันนี้โดยการผ่อนส่ง 
    พอกิจการเริ่มดีขึ้นก็ขยายกิจการขายโดยการขายส่งด้วย  พี่ชายไปขายส่งต่างอำเภอ ส่วนโตขายส่งที่ตลาดโพธาราม   น้องสาวโม้ยขายอยู่ที่บ้าน (ระยะหลังไปขายส่งกับพี่ชายด้วย)

   มอบดอกไม้ให้แม่ เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของแม่

    ชีวิตผกผัน - สูญเสีย   ในช่วงปี พ.ศ. 2515 โตกำลังเป็นหนุ่มใหญ่ อายุ 28 ปี อาปั้ก (เตี่ย) ก็มาจากไปด้วยโรคหัวใจวาย หลังกลับจากไปเลือกตั้งกรรมการงานประจำปีโพธาราม  ถัดมาน้องนิดไปเป็นทหารเกณฑ์ที่ราชบุรี

     แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันครั้งสำคัญของชีวิตก็เกิดขึ้น  ค่ำวันนั้นค่ำแห่งความเลวร้าย วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2516 ขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง  เวลาประมาณทุ่มเศษ หลังจากโตอาบน้ำเสร็จเตรียมตัวจะออกจากบ้าน ก็ได้ยินเสียงใครสักคนในบ้านบอกว่าอาเมเตะถูกแป๊บเสาทีวีที่วางไว้รอเก็บชั้นดาดฟ้าอยู่เป็นประจำ ได้ยินเช่นนั้นโตก็ตัดสินใจที่จะย้ายเสาทีวีขึ้นไปเก็บไว้บนดาดฟ้าดังกล่าวในทันที
    โดยให้คนที่อยู่ชั้นล่างเป็นคนส่งแป๊บหน้าบ้าน ส่วนตัวเองและเล็กขึ้นไปบนดาดฟ้า โรยสายไฟลงมาแทนเชือกให้พี่ที่อยู่ชั้นล่างผูกเข้ากับแป๊บ แล้วโตกับน้องเล็กก็ค่อย ๆ ดึงสายไฟที่ผูกติดกับแป๊บขึ้นไป สูงขึ้นไป  สูงขึ้นไป โดยไม่มีลางสังหรณ์บอกเหตุว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ตนเองจะต้องสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต

    และแล้ววินาทีนั้นก็มาถึง เมื่อน้องเล็กซึ่งยืนอยู่ที่กันสาดดาดฟ้านอกกำแพงดึงแป๊บขึ้นมาได้ระยะ ก็กระดกแป๊บเข้ามาในดาดฟ้าให้โตจับ จังหวะนั้นเองแป๊บเข้าใกล้สายไฟเปลือยแรงสูงขนาด 22,000 โวลต์  (ไฟแรงสูงขนาดนี้สามารถกระโดดผ่านอากาศได้) กระแสไฟแรงสูงกระโดดผ่านอากาศเข้าสู่แป๊บเหล็กที่ทั้งสองพี่น้องจับอยู่

     บัดดล เกิดเสียงเปรี้ยงดังสนั่นพร้อมกับแสงไฟสว่างวาบทาบท้องฟ้าแข่งแสงจันทร์ ทั้งคู่ถูกไฟดูดร่วงผล็อยล้มทั้งยืนกองอยู่บนพื้นดาดฟ้า  แม่ พี่ชายและน้อง ๆ ที่อยู่ชั้นล่างต่างก็ตกอกตกใจ รีบขึ้นไปบนดาดฟ้า  เมื่อได้เห็นภาพแทบเป็นลม

    สภาพของโตที่ถูกกระแสไฟเข้าเต็มๆ เป็นแผลไปทั่วตัวด้วยฤทธิ์ของกระแสไฟ ประทุออกตามจุดต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะที่ศีรษะและข้อพับทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา ขาหนีบ ถูกไฟไหม้ดำเป็นตอตะโก นอนกองไม่รู้สึกตัวอยู่บนดาดฟ้าพร้อมแป๊บเสาทีวีที่หล่นอยู่

   ส่วนน้องเล็กบาดเจ็บเล็กน้อย (ต้องหามส่งโรงพยาบาลรักษาตัวอยู่เป็นอาทิตย์) ทั้งหมดรีบนำคนทั้งสองลงมาแล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลโพธารามในทันที และปรึกษากันว่าอาการของโตสาหัสอย่างนี้ น่าจะส่งไปรับการรักษาให้ทันท่วงทีที่กรุงเทพฯ

   ในช่วงนั้นไม่ว่าจะไปที่โรงพยาบาลศิริราช หรือวชิรพยาบาล รวมไปถึงโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ต่างก็รับคนบาดเจ็บจากเหตุการณ์จลาจล 14 ตุลา เต็มกำลังแล้ว  ไม่อาจจะรับคนไข้เพิ่มได้ เลยต้องส่งโตไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลมิชชั่น กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชน

   กว่าจะได้ถึงมือหมอก็ราวตี 3 โดยการติดต่อนำเข้าของ พ.อ.ประยูร ซึ่งเป็นแฟนของเพื่อนรักอาเม จากเวลาที่ล่วงเลยมาหลายชั่วโมงทำให้เซลล์เนื้อเริ่มตาย ในที่สุดหลังจากนอนอยู่ในห้องไอซียูนานเป็นอาทิตย์  หมอก็ลงความเห็นว่าจะต้องตัดแขนทั้ง 2 ข้างของโตออกเพื่อรักษาชีวิตไว้ โดยตัดต่ำกว่าข้อศอกลงไป 10 เซนติเมตรทั้ง 2 ข้าง โชคดีที่สามารถเลี้ยงเซลล์ขาไม่ให้ตายได้  จึงไม่ต้องตัดขา

   วันรุ่งขึ้น หลังจากถูกตัดแขนทั้ง 2 ข้างไปแล้ว โตตื่นขึ้นมาตกใจมากที่เห็นแขนตัวเองทั้ง 2 ข้างหายไป พยาบาลต้องมาคอยปลอบใจ ให้กำลังใจ พูดให้โตปลงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีแผลทั้งตัวจากไฟฟ้าประทุ ซึ่งเป็นแผลที่รักษาให้หายได้ยาก ต้องใช้เวลาและการดูแลอย่างใกล้ชิด  วันใดที่ต้องทำแผล จะต้องลงไปแช่ในน้ำแร่ทุกครั้งด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส เป็นเช่นนี้กว่า 3 เดือน

   ช่วงนั้นคมสิทธิ์ (ใหญ่) ซึ่งต่อมาได้สมรสกับโม้ย น้องสาวโต กำลังเรียน ปวช.อยู่ที่โรงเรียนดุสิตพณิชยการ(ปัจจุบันคือวิทยาลัยอาชีวศึกษาดุสิตพณิชยการ) ข้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ปี 3 มาคอยดูแล ป้อนข้าวป้อนน้ำ เช็ดตัว ในตอนเย็นให้ทุกวัน กับทั้งยังคอยรับคอยส่งอาเมที่มาพักอยู่บางลำภู เพื่อดูแลโตในตอนกลางวัน

   ระหว่างที่นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมิชชั่น กรุงเทพฯ มีพยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล มาเป็นแฟนคลับ มาคุยมาช่วยดูแล เวลาหวยใกล้ออก  โตจะใบ้หวยให้ถูกกันบ่อยหลายงวด มีเงินใช้กันถ้วนหน้า  พอเริ่มจะหายดี คมสิทธิ์ก็พาไปเที่ยววัดพระแก้วบ้าง ไปเที่ยววัดไผ่โรงวัวที่สุพรรณบ้าง โดยทางโรงพยาบาลอนุญาตให้ไปได้..... (มีต่อตอน ๒)

   

ขียนโดย  ธีรศักดิ์ ลิขิตวัฒนเศรษฐ 

จากคำบอกเล่าของ คมสิทธิ์ - สุจินดา วรสหวัฒน์


          หมายเหตุ ๑       สรุปว่าคุณโตสามารถรอดชีวิตจากอุบัติเหตุร้ายแรงครั้งนี้ได้ แต่คุณโตจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อหมอได้ตัดมือทั้งสองข้างซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกายออกไปแล้ว มาติดตามดูการต่อสู้ชีวิตของคุณโตกันต่อไป ในตอนหน้าที่นี่ที่เดียวครับ (นายแก้ว )

          หมายเหตุ ๒      บทความเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของคุณ ประเสริฐ มุนินทร์สาคร ที่ได้ประสบกับเหตุการณ์ร้ายแรงนี้ และผู้จัดทำได้รับอนุญาติจากเจ้าของบทความนี้ให้ลงเผยแพร่ได้  (นายแก้ว )

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้76
เมื่อวานนี้449
สัปดาห์นี้905
เดือนนี้7072
ทั้งหมด1336956

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online