ละม่อม เทพหัส ๔ (เตรียมจับผีกะสือ)

ประมูล กุลบุปผา กับโอฬาร ลักษิตานนท์เมื่อครั้งยังเด็ก เหตุการณ์ในเรื่องนี้ ประมูลโตกว่านี้แล้ว      

   ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆก็มีคนมาตบที่ไหล่ โดยที่ผมไม่ได้ยินเสียงเดินเข้ามาเลย คงจะเป็นเพราะผมมัวแต่มองหาพี่แกละอย่างใจจดจ่อนั่นเอง

   ผมหันไปเห็นไอ้มูลยืนยิ้มเผล่ให้ผม แล้วถามผมซ้ำว่า “มึงมายืนทำอะไรอยู่แถวนี้วะไอ้เก้ว กูยืนอยู่ที่หน้าบ้านเห็นมึงมายืนอยู่ตั้งนานแล้ว ” 

   มันคงจะแปลกใจที่ไม่เคยเห็นผมมายืนแถวนี้บ่อยๆ ไอ้มูลนี้มันเป็นเพื่อนกับผม และเป็นเพื่อนกับเด็กตลาดเจ็ดเสมียนรุ่นผมทุกคน ถึงแม้ว่าบ้านมันจะไม่ได้อยู่ในตลาดเหมือนพวกผมก็ตาม

พ่อของประมูลคือลุงเกีย (ซ้ายสุด) ถัดมานั้นคือพี่ประกาศ พี่ชายของประมูล ป้าแจ่มแม่ของประมูลคนที่ยืนกลาง (คนเตี้ย) เด็กที่ยืนหน้าพี่ประกาศนั้นคือ น้องชายของประมูล (ผมลืมชื่อไปแล้ว) ภาพนี้เมื่อคราวพี่ประกาศกับภรรยา (สวมแว่นดำ) กลับไปสหรัฐอเมริกาหลังจากกลับมาเยี่ยมบ้าน พ่อแม่และญาติสนิทไปส่งที่สนามบินดอนเมือง ภาพนี้ประมูลไม่ได้มา คงจะติดราชการที่สัตหีบครับ (ภาพนี้ได้รับการเอื้อเฟื้อจากคุณ อาภรณ์ อุสาหะ)

   มันเป็นลูกลุงเกียป้าแจ่มขายขนมจีนแห่งตลาดเจ็ดเสมียนนั่นไง  พ่อแม่มันสนิทสนมกับพ่อแม่ผมยี่งนักและบ้านของมันก็อยู่ใกล้กับบ้านพักของนายตรวจทางฉุย เพียงแต่ว่ามีบ้านของ นายสมศักดิ์ ศรีดารานนท์ (ไอ้ตี๋) ซึ่งเป็นเพื่อนผมอีกคนหนึ่งเหมือนกันคั่นอยู่หนึ่งหลัง

  พ่อของไอ้ตี๋ก็ทำงานอยู่กับนายตรวจฉุยนั่นเอง ไอ้ตี๋ (สมศักดิ์ ศรีดารานนท์) เป็นศิษย์จบมัธยมปีที่ ๖ จากโรงเรียนวัดสนามชัย เป็นทหารบก ยศ จ่าสิบเอก ประจำอยู่ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง ที่อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ปัจจุบันนี้เสียชีวิตไปแล้ว

       ผมบอกไอ้มูลมันไปว่า มาหาพี่แกละ จึงมามองๆอยู่แถวนี้ ไม่รู้ว่าพี่แกละแกจะอยู่หรือเปล่า แล้วผมก็เล่าเรื่องผีกระสือให้มันฟัง แล้วถามมันว่ามึงเคยได้ยินเรื่องนี้บ้างหรือเปล่าเล่า ในตลาดเขาคุยกันให้แซดไป 

เหม่ง (คะนอง คุ้มประวัติ) คนทางขวา หาภาพที่โตแล้วที่เหมาะสมกับเรื่องนี้ไม่ได้) และคนทางซ้ายคือ ศักดา วงศ์ยะรา

       แล้วผมก็เล่าเรื่องที่ผมกับไอ้เหม่ง ไปดูลาดเลากันมาแล้วที่บ้านป้าม่อมข้างโรงสีและพอจะรู้สาเหตุแล้ว ที่ผีกระสือมันมาที่บ้านป้าม่อมถี่เหลือเกิน แล้วผมก็เล่าแผนของผมให้ไอ้มูลฟังอีก 

      ไอ้มูลมันก็สนใจฟังผมเล่าเสียเหลือเกิน พอผมเล่าถึงแผนการของผมอย่างคร่าวๆให้มันฟังจบแล้ว มันก็พูดขึ้นว่า “แล้วทำไมมึงต้องเป็นตัวเจ้ากี้เจ้าการมาจัดการเรื่องนี้ด้วยวะ มึงไม่กลัวเลยหรือไง ผีกระสือน่ะ ได้ยินคนผู้ใหญ่เขาเคยพูดกันว่า ถ้าใครไปทำมันให้เจ็บละก้อมันอาฆาตนะโว้ย”

       แล้วผมก็บอกมันว่า “ไอ้เรื่องกลัวนั้นกูไม่กลัวหรอก เพราะกูไม่ได้ไปคนเดียว และที่กูทำไปนั้นเพราะเห็นว่าป้าม่อมแกสนิทสนมกับแม่กู แกก็อยู่บ้านคนเดียวกลางค่ำกลางคืน ไอ้แดงลูกแกก็ไม่ค่อยจะกลับบ้าน บางทีมันก็ไปนอนกับไอ้โปรดที่วัด เจ๊จรัสลูกสาวแกก็ค้างอยู่ที่ร้านทำผมในตลาด กูจึงอยากจะรวมพวกเรานี้จัดการให้มันสิ้นซากไปเลย”

       “ก็ดีว่ะ พอดีวันนี้กูก็ไม่ได้ไปไหน กูเอาด้วยคนนะ ไปเราไปหาพี่แกละกัน แต่มึงรอกูเดี๋ยวนะ ” แล้วไอ้มูลมันก็วิ่งตื๋อย้อนกลับเข้าบ้านมัน สักครู่หนึ่งจึงได้ออกมาหาผมอีก พร้อมกับสวมเสื้อกันหนาวทับมาอีกตัว ที่กระเป๋ากางเกงมันพกหนังสติ๊กมาด้วย เห็นเส้นยางห้อยอยู่ แล้วมันก็บอกผมว่า มากูเรียกพี่แกละเอง

       แล้วมันก็ป้องปากตะโกนเรียกคนในนั้น คนในนั้นหันมามอง ไอ้มูลก็บอกว่าฉันมาหาพี่แกละ พี่แกละอยู่หรือเปล่าหือน้าจวบ คนชื่อน้าจวบบอกว่า ไอ้แกละมันอยู่นะเมื่อกี้นี้ยังเห็นอยู่เลย เดี๋ยวเรียกให้  ว่าแล้วแกก็ผลุบเข้าไปทางด้านหลังบ้าน

พี่แกละตัวจริงปัจจุบันนี้ยังอยู่ที่เจ็ดเสมียน อายุ๗๐ เศษๆแล้ว

       ผมกับไอ้มูลรออยู่ไม่นานนัก ก็เห็นพี่แกละโผล่ออกมา แล้วเปิดประตูรั้วออกมาหาผม ผมดีใจที่ได้เจอพี่แกละตามต้องการ แล้วผมก็เล่าเรื่องต่างๆให้พี่แกละฟัง พี่แกละบอกว่าเรื่องนี้ก็ได้ยินคนงานที่บ้านคุยกันเหมือนกัน ผมขอให้พี่แกละช่วยชวนพี่กี๋ และพี่หนอมไปด้วย (พี่หนอม อายุไร่เรี่ยกับพี่กี๋ เป็นลูกชายนายฉุยเหมือนกันแต่คนละแม่)

        พี่หนอมนี้เป็นคนลุย รูปร่างล่ำสัน เคยกระโดดลงจากรถไฟที่วิ่งเร็วเต็มที่มาแล้ว ขนาดอีเต้อที่สำหรับขุดไม้หมอนที่รางรถไฟ พี่หนอมมีกำลังแข็งแรงสามารถโยนให้ข้าม สายโทรเลขได้ พี่หนอมแกตาเสียข้างหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าแกเป็นอะไรตั้งแต่เกิดหรือว่าตั้งแต่ตอนไหน

        พี่แกละนึกสนุกเห็นดีและรับปากจะไปชวนพวกเหล่านี้ด้วย พร้อมทั้งจะจัดเตรียมของต่างๆในการล่าผีกระสือในค่ำคืนวันนี้ให้พร้อมด้วย เช่นเต็นท์ สำหรับไปกางนอนกัน ไฟฉายแบบใหญ่ มีดใหญ่มีดเล็ก และอีกหลายอย่าง อุปกรณ์เหล่านี้สำนักงานของนายตรวจทางมีอยู่พร้อมแล้ว

        ผมบอกพี่แกละว่าแล้วตอนเย็นเจอกันที่บ้านป้าม่อมเลยนะ พี่แกละแกก็รับคำไม่ได้ถามอะไรอีก ผมกับไอ้มูลก็เลยกลับเข้าตลาดด้วยความดีใจที่สำเร็จไปส่วนหนึ่งแล้ว

      ผมกับไอ้มูลเดินเข้าไปหาเพื่อนๆที่ท่าใหญ่ เวลานี้ใกล้เพลแล้ว เห็นพวกไอ้ธร ไอ้โล ไอ้วี กำลังเล่นน้ำกันอยู่ที่ท่าใหญ่ พวกมันเห็นผมกับไอ้มูลเดินมาดูมัน พวกมันก็กวักมือเรียกกันใหญ่ ผมกับไอ้มูลสั่นหน้าแล้วตะโกนบอกมันว่า ไม่เอาหรอกน้ำเย็นจะตายห่า พวกมึงทำไมถึงเล่นกันอยู่ได้

       ผมเดินขึ้นมาจากท่าใหญ่แล้วหันมาปรึกษา กับไอ้มูลว่าเวลามันอีกนานสู้กลับบ้านกันก่อนดีกว่า ไปนอนพักเอาแรงเสียสักหน่อยก็ดี คืนนี้พวกเราคงอาจจะนอนดึกกันบ้าง  ไอ้มูลมันก็คิดไว้แล้วว่าจะกลับบ้านก่อนเหมือนกัน เพราะว่าเพลแล้วมันหิวข้าว มันบอกผมว่าสักสี่โมงกว่า ห้าโมงเย็นไปเจอกันที่บ้านป้าม่อมเลยนะโว้ย ผมพยักหน้าตกลงแล้วผมก็เดินเข้าบ้านไป

       แม่ผมเห็นผมเดินเข้าบ้านมาก็ถามผมถึงเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องที่พวกผมจะไปจับผีกระสือ เพื่อช่วยป้าม่อมให้หายรำคาญกัน แม่บอกว่า เมื่อตอนสายๆนี้ป้าม่อมแกมาที่บ้านเรานี้แล้วเล่าให้แม่ฟังถึงเรื่องต่างๆ จนแม่รู้เรื่องหมดแล้ว แม่ผมก็ไม่ว่าอะไรหรือห้ามอะไร แต่ก็บอกผมว่าให้ระวังไว้ให้ดีด้วยก็แล้วกัน เรื่องผีๆมันไว้ใจไม่ได้ แล้วแม่ก็เดินไปที่ร้านอี๊น้อยได้ยินแม่บอกว่าจะไปซื้อสบู่กรดมาล้างจานสักหน่อย

       เหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงที่ผมจะต้องเตรียมตัวสู้ศึกครั้งนี้ ผมไม่รู้ล่วงหน้าหรอกว่าจะเป็นงานยากหรืองานง่ายๆ งานนี้ผมไม่ได้บอกหรือชวนเพื่อนคู่หูคนอื่นๆเลย นอกจากไอ้เหม่งคนเดียว

      เพราะเหตุว่าในตอนแรกๆนั้น ผมก็เที่ยวได้เดินไปชวนเพื่อนๆของผมในตลาดนี้ที่เคยไปผจญภัยด้วยกันหลายคน เช่นไอ้ธร ที่เคยไปผจญภัยกันมาเสียหนักหนาแล้ว ชวนกันไปลักมะม่วงวัด จนกำนันโกวิทไล่กวดตีวิ่งหนีกันกระเจิงมาแล้วก็เคย และไปชวนเพื่อนคนอื่นๆอีก แต่ไม่มีใครเล่นด้วยเลย ต่างก็บอกเหตุผลต่างๆนาๆจนผมขี้เกียจฟัง ผมจึงไม่ได้สนใจและไม่ได้บอกพวกเขาอีกเลย

สาธร วงษ์วานิช (ขวา) งานนี้ไม่ได้ไปด้วยกัน ภาพนี้หลังเหตุการณ์นั้นมานานแล้ว

       ผมคิดว่า ผมได้พวกพี่แกละและพี่น้องของเขาสองสามคนก็ดีแล้ว อุปกรณ์เขามีพร้อม ที่สำคัญคือเขาเอาเต็นท์นอนไปด้วย เต็นท์นอนนี้เป็นของการรถไฟ พี่แกละเขาไปยืมพ่อของเขา คือนายตรวจทางฉุยมาได้ไม่มีปัญหาอะไร

      เหตุที่ต้องเอาเต็นท์ไปกางนอนนั้น เพราะว่าจะต้องไปนอน ไปนั่งเฝ้าซุ่มดูผีกระสือแบบเงียบๆ ไม่ให้มันรู้ตัว เราไม่รู้เวลาที่มันจะมา บางทีจะผลัดกันนอนพักกันก่อนก็ได้ และอีกอย่างไม่อยากขึ้นไปอยู่บนบ้านป้าม่อมแก เป็นการรบกวนเอะอะโวยวายส่งเสียงดังให้แกรำคาญ แล้วหมาก็จะเห่ากันไม่หยุดด้วย เดี๋ยวผีกระสือมันจะรู้แกวเสียก่อน

       ผมเตรียมรองเท้าผ้าใบลูกเสือร้อยเชือกเอาไว้เรียบร้อย รองเท้าคู่นี้เป็นรองเท้าสีน้ำตาลสำหรับใส่วันมีลูกเสือ ส่วนรองเท้าหลักที่ใส่ทุกวันนั้นเป็นสีดำ ถุงเท้าขาว รองเท้าลูกเสือนั้นผมซักแล้วตากเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานเย็น จึงได้ดึงเชือกผูกรองเท้าออกหมด แล้วเพิ่งมาร้อยใส่เตรียมพร้อมเอาไว้ในวันนี้เอง

      เสื้อกันหนาวผ้าสำลีสีแดงคล้ำ ถ้ามองกลางคืนมืดๆจะเห็นเป็นสีดำ ลายตาหมากรุก อีกตัวหนึ่งเอาไว้กันหนาวในตอนดึกๆ อากาศตอนนี้หนาวมากเสียด้วย แล้วก็มีดพกอีกเล่มหนึ่ง ยาวประมาณ ๑ คืบเท่านั้น มีดอันนี้ 

       นายสุนน้าเขยของผมที่เป็นลูกจ้างตีมีดที่บ้านนายโหงว เป็นคนตีแล้วเอามาไว้ที่บ้านผมนานมาแล้ว ตีมาจากเหล็กอย่างดี คมกริบ แข็งแกร่งไม่ร่อยง่ายด้วย เห็นแม่เอาไปใช้ปอกมะม่วง และเอาไปปาดอะไรต่างๆก็ไม่ทื่อสักที (มีดเล่มนี้ปัจจุบันก็ยังอยู่ที่ผม ไม่ได้ใช้อะไรผมเก็บเอาไว้เฉยๆ)  ในคืนนี้ผมต้องพกพาติดตัวไปด้วยเพื่อจำเป็นต้องใช้ คิดไปอีกทีไม่ต้องเอาไปก็ได้ แต่เอาไปจะดีกว่า สุดท้ายก็เอาไปด้วยจนได้

        ส่วนไฟฉาย และอุปกรณ์อื่น  ผ้าห่มนอนนั้นไม่ต้องเพราะว่า พี่แกละแกจะจัดการให้เสร็จเรียบร้อย
ผมกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว มานั่งอยู่ที่หน้าบ้านแล้วก็คิดถึงไอ้เหม่ง พอถึงวันสำคัญอย่างนี้มันดันไปกรุงเทพฯเสียได้ แต่ก็ไม่เป็นไรมีพวกพี่แกละมาช่วยแล้ว ผมก็สบายไปหน่อย 

       ดีไม่ดีผมอาจจะไม่ต้องทำอะไรในคืนนี้เลยก็ได้  นั่งคิดไปคิดมาเกิดอาการง่วงนอนเลยคิดว่านอนเสียสักหน่อยก็ดี ก็เลยล้มตัวอากาศเย็นๆอย่างนี้ งีบหลับอยู่ที่ร้านในบ้านนั่นเอง
นอนพักผ่อนเอาแรงไปได้สักพักหนึ่ง ก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาดูนาฬิกาโบราณ ตรงข้างฝาจึงรู้ว่าเวลานั้น ๔ โมงเย็นเข้ามาแล้ว

      (นาฬิกาเรือนที่แขวนอยู่ที่ข้างฝานั้น เป็นแบบมีลูกตุ้ม แกว่งไกว ต้องไขลานด้วย พ่อผมบอกว่า ซื้อมาตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒  ราคา ๑.๕๐ บาทเท่านั้น)

       ผมรีบผลุดลุกขึ้นเข้าไปที่หลังบ้านเอาน้ำขึ้นมาลูบหน้าล้างตาเสียหน่อย
 เสร็จแล้วเข้าไปในครัว คดข้าวในหม้อที่เหลือเมื่อตอนกลางวัน ตักปลาตะเพียนต้มเค็มขึ้นมาครึ่งตัว (ปลาตะเพียนต้มเค็มนั้น แม่ผมทำได้อร่อยจริงๆ ปัจจุบันนี้ผมก็เคยซื้อมากินจากตลาดสามชุกบ่อยๆ แต่ไม่ค่อยอร่อยเท่าของแม่ผมเลย)

       เอาน้ำต้มเค็มมาราดข้าวพอเปียกๆ แล้วก็นั่งกินข้าวในครัวนั้น ที่จริงแล้วข้าวเย็นนั้นผมเคยกินแต่ในตอนค่ำๆ วันนี้มันเป็นกรณีพิเศษผมจึงต้องกินเสียก่อน

       นั่งกินข้าวไปก็คุยกับแม่ ซึ่งกำลังทำกับข้าวมื้อเย็นเอาไว้ให้พวกน้องๆของผมกินไป แล้วผมบอกแม่ว่า กินข้าวเสร็จแล้วฉันก็จะไปบ้านป้าม่อมแล้วนะ ป่านนี้พวกพี่แกละและไอ้มูลมันคงไปรอกันแล้ว 

      เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วผมก็รีบใส่รองเท้าผ้าใบ หยิบเสื้อกันหนาวผ้าสำลีซึ่งมีตัวเดียวนี้แหละขึ้นมาใส่ เอามีดพกมาเหน็บไว้ที่เข็มขัดลูกเสือที่คาดเป็นประจำ แล้วเดินออกจากบ้านไป

      เด็กตลาดทั้งหญิงและชายรุ่นเล็กบ้าง รุ่นใกล้ๆกับผมบ้างต่างหันมามองดูผม ผมทำเป็นไม่สนใจ เดินผ่านพวกเขาไปทางริมน้ำ ผ่านบ้านตาโหงวแล้วเลี้ยวขวาไปทางหลังโบสถ์ ผ่านศาลา ออกสนามหน้าโรงเรียน แล้วเดินผ่านเรือนหุ่น ไปบ้านป้าม่อมทันที..........

 

โปรดอ่านตอนต่อไปเลย คลิ๊ก   ป้าม่อม ๕   พวกพี่แกละรออยู่ครับ

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้321
เมื่อวานนี้736
สัปดาห์นี้1057
เดือนนี้10304
ทั้งหมด1340188

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online