ละม่อม เทพหัส ๕ (มันมาแล้ว)

    ผมผ่านประตูใหญ่ของโรงสี เข้ามาในบริเวณบ้านป้าม่อม ก็เป็นเวลา ๕ โมงเย็นพอดี เห็นป้าม่อมแกกำลังยืนง่วน กับการทำปูนของแก ที่ตรงโอ่งมังกรเก่าๆ ที่เรียงกันเป็นตับ

     ป้าม่อมละสายตาจากปูนของแกมองมาทางผม เมื่อผมเดินมาถึงแกก็ถามผมว่า คืนนี้เอาแน่นอนเลยหรือ ผมบอกว่าเอาแน่นอนเลยป้า ผมเตรียมการไว้หมดแล้วป้าไม่ต้องเป็นห่วง ป้าไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นอยู่อย่างไร ทำอะไรอยู่ก็ทำไป ปฏิบัติไปเหมือนเดิมก็แล้วกัน

   แล้วผมก็เล่าให้ป้าม่อมฟัง ว่าจะมีใครมาบ้าง แล้วจะทำกันอย่างไรต่อไป ป้าม่อม ก็ไม่ว่าอะไร แต่ก็ไม่วายบอกว่า มึงบอกแม่มึงแล้วแน่นอนนะ แล้วแกก็ทำงานของแกไปดังเดิม
   จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้มีแผนอะไรที่ลึกซึ้งมากมายหรอกครับ เพียงแต่ว่าเราจะมาซุ่มกันที่บ้านป้าม่อมนี้อย่างเงียบๆ ไม่ให้มีอะไรผิดสังเกต อย่าให้ผีกระสือตัวนี้ไหวตัวทัน ต่อจากนั้นแล้วพี่แกละและน้องๆของเขาจะจัดการเอง

   ไม่นานนักไอ้มูลมันก็เดินทางมาถึง มันตรงลิ่วเข้ามาหาผมตรงที่ผมยืนอยู่ มันเหลือบไปเห็นป้าม่อมมันก็ยกมือไหว้ แล้วหันมาถามผมว่า มึงมานานแล้วหรือ กูมาช้าไปหน่อยนะ มัวแต่หาข้าวกินอยู่ ผมบอกมันว่าไม่เป็นไรหรอก มึงมาได้อย่างนี้ก็ดีแล้ว พวกพี่แกละพี่กี๋ยังไม่เห็นโผล่หัวกันมาสักคนเลย นี่ก็ ๕ โมงครึ่งกว่าๆแล้ว เดี๋ยวก็มืดเสียฉิบ หน้าหนาวนี้มืดเร็วจะตายไป

   ผมพูดกับไอ้มูลยังไม่ทันขาดคำ สายตาก็เหลือบออกไปข้างนอก เห็นคนเดินกันมาพร้อมกับหามผ้าใบม้วนกลมๆเอาไว้ม้วนหนึ่ง พันมาด้วยเชือกรุงรังเรี่ยดินมา พี่แกละเดินนำหน้าเข้ามายังบ้านป้าม่อม เห็นป้าม่อมยืนอยู่ก็ทักทายป้าม่อมเสียก่อนตามธรรมเนียม พี่แกละถามผมว่า มานานกันแล้วหรือ แล้วบอกว่า กูมาช้าไปหน่อย มัวแต่รอไอ้หนอมมันนั่นนะซี มันมัวแต่กินข้าวเย็นอยู่ไม่อิ่มสักที

   “ไม่ช้าหรอกพี่ “  ผมบอกพี่แกละ  “แต่จะมาช้าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร ผมกลัวว่าพี่จะไม่มานะซี “ พี่แกละหัวเราะ แล้วช่วยกันหามผ้าใบผืนขนาดไม่ใหญ่นัก ผ่านบ้านป้าม่อมเข้าไปใกล้ชายป่า แถวๆต้นไผ่ป่าซึ่งขึ้นกันอยู่เหนียวแน่น

   พี่หนอมบอกว่าเอาตรงนี้แหละ ห่างจากบ้านป้าม่อมหน่อย พี่กี๋ก็จัดแจงวางอุปกรณ์ต่างๆลงตรงที่พื้นเรียบๆนั้น กวาดใบไผ่ออกเสียหน่อย เพราะว่ากลัวพวกตะขาบ แมงป่องมาซุกอยู่ มันจะออกมาเล่นงานเราในตอนกลางคืนได้

   กางผ้าใบออกแล้ว พี่กี๋หยิบไม้สำเร็จที่เอามาด้วย มายันผ้าใบ ทำเป็นกระโจม มีเชือกสี่เส้นยึดทั้งสี่ด้าน ตัดไม้มาเป็นท่อนๆละประมาณ ๑ ศอก มาเสี้ยมให้แหลม ตอกลงไปในดินแล้วเอาเชือกที่ผูกโยงกับหลังคากระโจมนั้น มามัดไว้ที่หลักนี้อย่างแน่นหนา

   กางกระโจมกันเรียบร้อยแล้ว เอาผ้าใบอีกผืนหนึ่งมาปูพื้น แล้วเอาเสื่อที่แบกมาด้วยผืนหนึ่งมาปูทับ เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว เต็นท์หรือกระโจมหลังนี้นอนได้อย่างน้อย ๕ คนขึ้นไป

   มันเป็นเต็นท์ของการรถไฟซึ่งอยู่ในความดูแลของนายฉุย เอาไว้ใช้เมื่อมีเหตุฉุกเฉิน ที่คนงานของนายตรวจทางฉุย จะต้องไปซ่อมทางรถไฟ ในที่ไกลๆ ก็เอาเต็นท์นี้ไปพักกันชั่วคราวกันทั้งแดดและฝนได้ดี

   วันนี้นายแกละแกไปหยิบมาจากคลังพัสดุ ไม่รู้ว่าจะได้บอกนายตรวจฉุยพ่อของแกหรือเปล่า แต่คงไม่เป็นไร พรุ่งนี้เช้าพี่แกละแกก็คงจะเอาไปคืนอยู่แล้ว
   พี่แกละพี่กี๋และพี่หนอมสามคนพี่น้อง (คนละแม่ นายฉุยมีหลายแม่) ช่วยกันขนเอาผ้าห่มผืนไม่ใหญ่นัก เข้าเต็นท์ไป พร้อมกับอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ไฟฉายสนามอันใหญ่ๆ มีดตัดไม้

   และที่ผมแปลกใจคือมีแหปากไม่ใหญ่เท่าไรนักด้วย ผมคิดว่าพอเสร็จงานแล้ว ในวันพรุ่งนี้แกคงจะหาปลาที่ท่าน้ำบ้านป้าม่อมด้วยเลย

   แต่ผมคิดผิด ผมถามพี่แกละว่า จะเอาแหมาทำไม จะมาทอดแหที่ท่าป้าม่อมหรือ พี่แกละแกบอกว่า

   "ไม่ใช่ เก้วไม่รู้อะไรแหนี่แหละสำคัญมากทีเดียว ถ้าผีกระสือมันมาเราไม่รู้ว่าจะจับมันอย่างไร ก็เอาแหนี่แหละคลี่ๆให้ดี ขึ้นเข่าเอาไว้ก่อน พอมันเข้ามาได้ระยะก็จัดการทอดมันเสียเลย คิดว่าคืนนี้จับมันได้แน่ มันจะเป็นใครรู้กันอีกไม่นานนี้หรอก แล้วพี่แกละก็หัวเราะก๊ากใหญ่ ราวกับว่าขำเสียเต็มประดา

   ผมเห็นพี่แกละยิ่งพูดยิ่งเสียงดัง ผมก็เอานิ้ว จุ๊ๆ ที่ปาก แล้วบอกพี่แกละว่า เราอย่าพูดแรงหรือพูดอะไรที่เกี่ยวกับ ผีกระสือ ขอให้เงียบๆไว้ อย่าให้มีพิรุธได้ ถ้าหากมันรู้แกวว่าพวกเราจะจับมัน คืนนี้เห็นท่าพวกเราจะไม่เห็นมันมาเลยก็ได้

   กางกระโจมเสร็จเอาของเข้าเสร็จ พวกเรา ๕ คนก็เดินสำรวจไปรอบๆ เวลานี้อากาศเริ่มมืดแล้วพี่แกละและน้องทั้งสองคน ล้วงใบจากมาจากกระเป๋าเสื้อ เอามาคลี่แล้วหยิบยาเส้นมาวางบนใบจาก มวนเสร็จแล้วหยิบไม้ขีดมาจุดยาสูบใบจากสูบกันควันโขมง อากาศในหน้าหนาวก็อย่างนี้เอง ไม่ทัน ๖ โมงเย็นดี ก็ทำท่าจะมืดเสียแล้ว

  ประมาณ ๖ โมงครึ่งก็จะมืดสนิททีเดียว พวกเราเดินไปทางริมตลิ่ง ห่างจากบ้านป้าม่อมไปตรงชายป่า ไปดูตรงที่ป้าม่อมแกบอกว่า มันจะมาทางนี้ทุกที พวกผมดูตรงนั้นเสร็จแล้วก็เดินย้อนกลับมาตามริมตลิ่งจนถึงส้วมหลุมของป้าม่อม ที่อยู่ริมน้ำใกล้ๆบ้านป้าม่อม ดูลาดเลาที่เราจะซ่อนตัวกัน

  พี่แกละบอกว่า แผนของเราก็คือ เมื่อมันปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว อย่ารีบไปกระโตกกระตากอะไรทั้งสิ้น ใจเย็นๆให้มันล่องลอยไปเรื่อยๆก่อน ถ้ามันทำท่าจะเข้าไปในส้วมละก้อ ให้พวกเราเตรียมตัวเลย และพอมันเข้าไปแล้ว ให้พวกเราแบ่งหน้าที่กันดังนี้

  พี่กับไอ้กี๋ จะลุกพรวดมายืนอยู่ที่ข้างประตูที่เปิดอ้าไว้ ไอ้เก้วกับไอ้มูล คอยอยู่ด้านหลังส้วมเผื่อมันลอดสังกะสีข้างล่างออกไปได้ ให้ไอ้เก้วกับไอ้มูลจัดการมันเลย โดยการเอากิ่งหนามต้นพุทรา ที่ตัดเอาไว้แล้วเอามากันมันไว้ มันจะกลัวหนามพุทธาเกี่ยวไส้มัน แล้วมันก็จะไม่ออกทางหลังส้วมเด็ดขาด

  ส่วนไอ้หนอมมึงต้องเป็นคนทอดแห เพราะมึงแข็งแรงกว่าใคร เมื่อมันเข้าไปในส้วมแล้วให้มึงก็ขึ้นแหเตรียมไว้ พร้อมที่จะทอดได้ทันที พอมันเข้าไปได้สักครู่ กูก็จะเป็นคนร้องเอะอะให้มันตกใจแล้วมันจะหนีโดยลอยออกมาทางประตู

   เมื่อนั้นไอ้หนอมเห็นมันจะออกทางประตู ก็ซัดแหเข้าหามันทันที มันไม่น่าจะรอดไปได้หรอก เท่านี้ก็เสร็จเราแล้ว แล้วพี่แกละก็หัวเราะก๊ากใหญ่ แล้วย้ำว่าไอ้หนอมมึงต้องทอดให้แม่นนะโว้ย อย่าเกร็งจนเกิดอาการชักกระตุกล่ะ

   เมื่อซักซ้อมกันเป็นที่เข้าใจแล้วอากาศก็มืดพอดี พวกเราทั้งหมดเดินกลับไปที่กระโจม เพื่อเข้าไปคุยกัน และหลบยุงด้วย หน้าหนาวอย่างนี้ยุงมันชุมเหลือกำลัง ทุกคนกินข้าวมื้อเย็นมาแล้วจึงไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกิน

   พระจันทร์วันขึ้น ๙ ค่ำเริ่มส่องแสงสว่างขาวนวล แต่ก็ยังสว่างไม่เต็มที่นัก เพราะดวงจันทร์ยังแหว่งอยู่ ถ้าจะสว่างเต็มที่ก็จะเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำนั่นแหละ

   ดังนั้นความสว่างนอกกระโจมในเวลานี้จึงยังสลัวๆอยู่ แต่ก็ดีแล้วเพราะว่าเราไม่ต้องการแสงสว่างมากนัก ถ้าสว่างมากๆเจ้าผีกระสือตัวนั้นอาจจะเปลี่ยนใจไม่มาคืนนี้ก็ได้ พวกเราก็จะเสียเวลาเปล่าๆ คงจะอีกหลายวันกว่าจะตั้งหลักใหม่ได้อีก

   สักสามทุ่มกว่าแล้ว บรรยากาศแถบแถวบ้านป้าม่อมก็เงียบสงัด แสงจันทร์สลัวๆมองอะไรที่อยู่ห่างออกไปหน่อยก็เห็นไม่ชัดแล้ว จิ้งหรีด จิ้งโกร่ง โก่งคอขันกันให้ระงม นกกลางคืนออกหากินกันเสียงดังพึบผับ นานๆสักครั้งจะได้ยินสียงหมาของ ป้าม่อมซึ่งมีอยู่สองสามตัว เห่าหอนเรียกพวกมันสักที

    ป้าม่อมแกคงขึ้นบ้านไปนานแล้ว แต่จะนอนหรือยังนั้นมองไม่รู้ เห็นแสงตะเกียงกระป๋องแดงๆไหววูบวาบอยู่  ไอ้แดงลูกคนเล็กของป้าม่อมนั้น มันก็ช่างไม่ได้เป็นห่วงแม่ของมันบ้างเลย มืดค่ำอย่างนี้มันก็ยังไม่กลับมาบ้านอีก บ้านนี้เขาคงเคยชินแล้ว ไอ้แดงคงไปอยู่กับเด็กวัดที่วัดนั่นแหละ ส่วนเจ๊จรัสนั้นก็ไม่ได้กลับมานอนที่บ้านนานแล้ว อยู่ประจำที่ร้านดัดผมในตลาดนั่นเลย

   ไม่มีอะไรมาทำให้แกเกิดความกลัวได้ แม้แต่ผีกระสือมาที่บ้านแกบ่อยๆแกก็ยังไม่กลัว แกเพียงแต่รำคาญมัน และรำคาญหมามันเห่านั้นเอง เสียงหมาเห่าและกัดกันผสมกันไปกับเสียงหอนดูวังเวงชอบกล นอกจากเสียงเหล่านี้แล้วไม่มีเสียงอื่นๆอีก บรรยากาศก็เงียบสงัด

   ในแถบแถวนี้ก่อนถึงบ้านป้าม่อมก็คือโรงสี แล้วก็บ้านป้าม่อมซึ่งเป็นโรงเลื่อยเก่าของเถ้าแก่เต็ง ก่อนที่แกจะย้ายโรงเลื่อยไปอยู่ที่หัวหิน ถัดจากบ้านป้าม่อมไปก็เป็นที่ของใครก็ไม่รู้ ปล่อยรกร้างต้นไม้ขึ้นเป็นเหมือนป่าทึบ ถัดไปจึงเป็นไร่กล้วยที่ของซ้อดั่ว แล้วก็อีกไม่ไกลนักก็จึงถึงอาณาเขตุของวัดสนามชัย สรุปแล้วจากบ้านป้าม่อมไปถึงวัดสนามชัย ไม่มีคนมาปลูกบ้านอยู่อาศัยเลย ทำให้ดูน่ากลัวมาก

   ตัวผมพร้อมทั้งทุกคนที่มานี้ เคยแต่อยู่ในที่ชุมชน ไม่เคยอยู่ในที่เงียบสงัดอย่างนี้ ก็เกิดความวังเวงจับจิตขึ้นมาบ้างเหมือนกัน ผมนั่งนิ่งเงียบรอเวลาตามคำสั่งของพี่แกละ ทุกคนก็เช่นเดียวกัน

   ผมมาคิดในใจคนเดียวว่า คนเรานี่นะทำไมจะต้องเกิดความกลัวด้วย และก็ความกลัวมันเกิดจากอะไร ผมคิดแล้วผมก็ตอบให้ตัวเองไม่ได้ และคิดว่าทุกคนที่เกิดมาแล้วก็ต้องเกิดอย่างนี้ทุกคนอย่าไปคิดอะไรให้มากเลย

   เวลาผ่านไปอากาศยิ่งหนาวเย็น เรา ๕ คนนั่งคุยกันในกระโจมอย่างเงียบๆ พี่แกละพี่กี๋และพี่หนอม เพื่อนรุ่นพี่ของเราทั้งสามคนนั้น ได้ควักเอากะแป้ (ขออภัยผมเรียกไม่ถูก) ที่เป็นเหมือนกระติกใส่น้ำของทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่บางกว่าและเล็กกว่ามาก ทำด้วยอลูมิเนียมอย่างดีทาสีเขียว

   คงเป็นของนายฉุยพ่อแก พี่แกละแกใส่เหล้าขาวมาด้วยมากน้อยเท่าไรผมไม่รู้ แกยกขึ้นมาจิบแล้วยื่นให้น้องของแกทั้งสองคน คงจะเป็นการแก้เครียดและสงบสติอารมณ์ให้ได้ในเหตุการณ์อย่างนี้

   เสียงป้าม่อมด่าหมาดังลั่น ไม่รู้ว่าหมามันขึ้นไปกินอะไรข้างบนตรงชานบ้านหรือเปล่า ก็เลยทำให้รู้ว่าป้าม่อมแกก็ยังไม่นอน พี่แกละพลิกนาฬิกาปลุกเรือนเล็กๆ ที่เอามาจากบ้าน แนบกับหน้าเพื่อจะดูพรายน้ำสีเรืองๆที่ติดมากับเข็มนาฬิกา

   พี่แกละลดนาฬิกาลงแล้วบอกพวกเราเบาๆว่า ร่วมห้าทุ่มแล้วโว้ย ทนนั่งเงียบๆอีกไม่ถึงสองชั่วโมง กูว่ามันต้องเข้ามาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆแน่นอน แล้วพี่แกละก็จิบเหล้าอีกทีหนึ่งพร้อมกับเงียบเสียงไป

   ตั้งแต่เย็นมาแล้ว ไอ้มูลที่มันมาที่นี่ด้วยมันไม่ค่อยคุย ไม่ค่อยพูดค่อยจาเลย ปกติแล้วมันก็คุยเก่งไม่เบาเหมือนกัน งานนี้มันคงเครียดเหมือนกัน ดูมันตื่นเต้นอยู่ไม่ค่อยสุข

   ผมถามมันเมื่อตอนหัวค่ำว่า ไอ้มูลมึงไม่สบายหรือเปล่าวะหรือมึงกลัว กูไม่เคยเห็นมึงกลัวอะไรเลยนี่หว่า ถ้าถอนตัวกูจะบอกให้พี่กี๋กับพี่หนอมไปส่งมึงที่บ้านก่อนก็ได้นะโว้ย ไฟฉายเขาก็มี

   ไอ้มูลมันรีบชิงพูดเสียก่อนที่ผมจะพูดจบ มันว่า ไม่มีอะไรหรอกกูสบายดี แต่ตื่นเต้น นิดหน่อยเท่านั้นเอง มึงไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอกนะ

   ในตอนนี้ผมเดาเอาว่าพี่แกละพี่กี๋และพี่หนอมคงจะอยากสูบบุหรี่แล้ว ผมจึงบอกว่า พี่แกละถ้าอยากจะสูบบุหรี่ก็ได้นะแต่ต้องออกไปสูบข้างนอกกระโจมนี่ ถ้าสูบในนี้ควันมันไม่มีทางออกมันจะมาอบพวกเราตายคากระโจมแน่ๆ

   พี่แกละว่านี่มันก็จะเข้าเที่ยงคืนแล้วมั๊ง คิดว่าอีกไม่นานมันคงโผล่มา ตอนนี้ขอสูบบุหรี่ก่อนเถอะวะ ว่าแล้วก็ปลดกระดุมช่องประตูของกระโจมออกไปทีละเม็ดจนหมด ด้วยความอยากบุหรี่จนกลั้นไม่อยู่ พี่แกละกะว่าจะสูบให้เต็มปอดก่อนแล้วค่อยมารบกับผีกระสือ

   พี่กี๋ กับพี่หนอมจัดแจงจะคลานตามไปบ้าง ฉับพลันหมาที่บ้านป้าม่อมก็เห่ากันลั่นอีกไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกันขึ้นมา เสียงตะโกนของป้าม่อมที่อยู่ในบ้านโหวกเหวกดังลั่น เพราะเงียบสงัด

   พี่กี๋ได้ยินเสียงหมาเห่ากันลั่นก็หยุดชะงัก ทั้งๆที่หัวก็โผล่ออกไปนอกกระโจมได้ถึงคอแล้ว มีอะไรวะ พี่แกละบ่นเบาๆพอได้ยิน อารามอยากบุหรี่จัดก็จัดแจงคลานออกไปอีก หัวโผล่ออกไปแล้วพี่แกละแกก็มองซ้ายมองขวา แต่แล้วก็ร้องอุ๊บหัวหดเข้ามาในกระโจม

   พี่หนอมกระซิบถามพี่แกละว่า อะไรพี่ พี่แกละไม่ตอบแต่บอกว่า เตรียมตัวเถอะพวกเรา เวลาที่รอคอยมาถึงแล้ว ผมได้ยินพี่แกละพูดอย่างนั้นก็ขนหัวลุกตั้งชันขึ้นมา ขนตามแขนก็ลุกชันขึ้นมาโดยมิได้นัดหมาย เออมันเป็นไปได้อย่างไร ในใจก็บอกว่าไม่กลัว จะไปกลัวมันทำไม แต่ขนหัวขนแขนเสือกลุกตั้งชันไปได้

   อากาศเย็นข้างนอกกระโจม พัดไหลลอดทางช่องตามพี่แกละเข้ามา หน้าหนาวที่เจ็ดเสมียนตามชายน้ำอย่างที่บ้านป้าม่อมนี้หนาวจัดเหมือนกัน พวกผมลูบคลำเสื้อกันหนาวของแต่ละคนให้เข้าที่ เพื่อความมั่นใจยิ่งขึ้น

   ผมถามพี่แกละว่า พี่แกละเห็นมันมาแล้วหรือ พี่แกละบอกเบาๆพอได้ยินว่า กูเห็นมีดวงไฟแวบๆอยู่ในดงต้นข่อยทางด้านเหนือนั้น และประกอบกับหมาที่บ้านป้าม่อมก็เห่ากันใหญ่ด้วย กูเดาเอาว่าคงใช่ๆมันคงจะมาแล้วแหละ

   ว่าแล้วพี่แกละก็ค่อยๆแหวกประตูกระโจมผ้าใบให้เปิดอ้าออกเล็กน้อย เพื่อให้พวกผมมองไปข้างนอกได้ถนัดตา ไอ้มูลรีบมองออกไปข้างนอก ผมบอกว่าเห็นอะไรหรือเปล่าวะมูล ไอ้มูลไม่ตอบแต่เอามือกดตรงไหล่ผมให้มองไปทางนั้น และพี่กี๋กับพี่หนอมก็มองไปข้างนอกเหมือนกัน

สิ่งที่ผมและพรรคพวกเห็นนั้นก็คือ แสงไฟสีขาวมัวๆ ดวงกลมๆลอยวนเวียนฉวัดเฉวียน อยู่แถวๆไต้ต้นข่อยซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก.........!

 

                รีบเข้าไปดูที่นี่ คลิ๊ก      ละม่อม เทพหัส ๖

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้141
เมื่อวานนี้485
สัปดาห์นี้2115
เดือนนี้8282
ทั้งหมด1338166

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online