งานคนเจ็ดเสมียนพบกัน ครั้งที่ ๒ / ๑

ต้นโพธ์ใหญ่หน้าศาลาเอนกประสงค์ที่เราจะไปพบกันที่ศาลาแห่งนี้      

     หลังจากที่ได้กำหนดวันจัดงาน  “งานวันคนเจ็ดเสมียนพบกัน ครั้งที่ ๒” และได้ข้อสรุป เห็นพ้องต้องกันแล้วว่า ควรจัดในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๒ แล้วนั้น

   ต่อจากนั้นมา คุณอาภรณ์ ลักษิตานนท์ น้องสาวของคุณรังสฤษดิ์  ลักษิตานนท์ ก็รีบดำเนินการ ติดต่อฝ่ายต่างๆ อย่างเหน็ดเหนื่อย เพื่อให้ได้งานที่จะออกมานี้ดีกว่าเมื่อครั้งที่แล้ว

       คุณอาภรณ์ได้ติดต่อมายังผมบอกว่า เฮียเก้ว ช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้หน่อย เพราะเมื่อครั้งที่แล้ว (ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๐) นั้น มีคนเจ็ดเสมียนที่ไม่ทราบเรื่องนี้เลยเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นในครั้งนี้จึงต้องให้รู้กันทั่วทั้งหมด ส่วนใครจะมาหรือไม่มานั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง

        จะเป็นเพราะว่าติดธุระหรือทำหน้าที่ต้องเลี้ยงหลาน หรือว่าเป็นห่วงหมาซึ่งแยกกันไม่ได้เลยจึงมาไม่ได้หรืออะไรอื่นๆ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งและก็แล้วแต่เขาซึ่งเราก็ไม่ว่ากันอยู่แล้ว ผมก็เลยถามถึงรายละเอียดต่างๆ เมื่อคุยกันเรียบร้อยแล้ว จึงได้ออกประกาศ ล่วงหน้ามาหลายวันดังที่ท่านผู้อ่านและสมาชิก คงจะทราบกันดีอยู่แล้ว

         ต่อจากนั้นคุณอาภรณ์ก็ไปติดต่อ คุณธีระ ชาญชาติณรงค์  ซึ่งเวลานี้เป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลเจ็ดเสมียนอยู่ และเป็นเด็กเจ็ดเสมียนตัวจริง ให้พยายามโทรศัพท์ไปบอกข่าวในเรื่องนี้กับคนเจ็ดเสมียน ที่เมื่อครั้งที่แล้วมาลงทะเบียน “คนเจ็ดเสมียนพบกันครั้งที่ ๑” เอาไว้แล้ว และ คุณธีระเป็นผู้เก็บรายชื่อเหล่านี้เอาไว้ ซึ่งก็ได้ข่าวว่าคุณธีระก็ช่วยเหลือกันเต็มที่ รีบโทรไปหาคนที่มีเบอร์เอาไว้แล้วบอกเรื่องต่างๆตามจุดประสงค์  (ได้ข่าวว่าหมดค่าโทรศัพท์ไปเยอะเหมือนกัน )

         กว่าจะสำเร็จหลายๆอย่าง ทั้งเรื่องอาหารที่จะมาเลี้ยงคนที่มาในงานนี้ ในเรื่องอาหารนี้ มีผู้ยินดีช่วยเหลือหลายราย ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ใหญ่คนเก่าแห่งเจ็ดเสมียนนี้ทั้งสิ้น    กำหนดคนที่จะเหมาะสมกับการเป็นพิธีกรบนเวที (สุดท้ายได้คุณ จินตนา แววทอง เด็กเจ็ดเสมียนตัวจริง เสียงจริง)

        และทุกอย่างก็สำเร็จลงด้วยดี แล้วก็รอคอยที่จะถึงวันอาทิตย์ที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๒ ซึ่งเป็นวันงาน  แต่ในระหว่างที่จะถึงวันงานนั้น ผู้ที่ได้รับข่าวแล้ว ก็โทรหากัน ถามกัน บางท่านก็นัดกันเอาไว้

    อย่างเช่นผมเป็นต้น ก็นัดกับคุณสาธรเอาไว้   คุณสาธรนี้ช่วงหลังๆนี้งานยุ่งมาก จึงไม่ค่อยได้เปิด เน็ต ดูประกาศเกี่ยวกับกำหนดงานนี้ จึงไม่ทราบกำหนดงานนี้มาก่อนเลย ปกติแล้ว คุณสาธรนี้จะเปิดเน็ตดูทุกวัน บางทีวันละ ๒ -๓ เวลาก็มี

         ผมบอกกับคุณสาธรว่า  เราไปเจอกันที่ เจ็ดเสมียนสักเวลา ประมาณ ๔ โมงเย็นเพื่อที่จะได้เดินดูอะไรๆ สถานที่เก่าๆ ที่เราเคยอยู่กันก่อน เมื่อได้เวลาประมาณ ๖ โมงเย็นตามเวลาแล้ว เราค่อยเข้าไปในงานกัน คุณสาธรก็ตกลงตามนี้

      แล้วในวันที่ ๕  นั้น ประมาณเที่ยงกว่านิดหน่อย ผมก็ออกจากบ้าน เพียงสองคนเท่านั้นกับคุณสุพีพรรณภรรยาของผม ทีแรกนั้นพวกลูกๆของผมบางคนก็อยากจะไปเที่ยวไปดูไปเห็น สถานที่ และเพื่อนๆของพ่อในอดีตนั้นด้วย แต่พอถึงวันเข้าจริงๆก็ติดธุระกันจึงไม่ได้มาด้วย

      ก่อนถึงเจ็ดเสมียนเมื่อ ๔ โมงเย็น ผมก็ไปแวะหาญาติพี่น้องฝ่ายภรรยา ที่หลังวัดบ้านเลือกเสียเป็นเวลานาน เมื่อมาถึงบ้านคุณ สาธร ที่ปลูกอยู่ตรงข้ามตลาดใหม่ ติดๆกับ ร้านของแม่กิมฮวย เห็นรถยนต์ C-RV  ของคุณสาธรจอดอยู่ คุณสาธรมารอผมอยู่ก่อนแล้ว

      วันที่นัดพบกันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ ที่ตลาดเจ็ดเสมียนมีตลาดนัด ผมจึงชวนคุณสาธรและคุณวนิดาภรรยาของเขา ไปเดินดูของกันที่ตลาดนัดกันก่อนดีกว่า พวกเราเดินข้ามทางรถไฟเข้าทางสถานี พอโผล่ออกมาจากหลังสถานีก็มองเห็นตลาดนัด คนกำลังพลุกพล่าน  เป็นตลาดนัดที่ใหญ่มาก มีคนมากมายกำลังจับจ่ายซื้อของกันอยู่  พวกเราเดินเข้าไปในตลาดนัดนี้ อยู่ระหว่างห้องแถวสองข้างซึ่งมีลานกว้างนั้น

       มองเห็นแม่ค้าพ่อค้ามาขายของกันอย่างเนืองแน่น แต่ถ้านึกภาพตลาดนัดเจ็ดเสมียนของเรา เมื่อครั้งที่พวกผมยังเป็นเด็กๆกันนั้น จะไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ เขาจะไม่ตั้งแผงขายของกัน เมื่อก่อนนั้นสินค้าต่างๆเขาจะกองกันบนพื้น ดูเหมือนว่าจะปูผ้าพล๊าสติกเอาไว้  ส่วนพวกขนมหรือของกินทั้งหลายก็จะวางบนกระจาดหรือหาบ แล้วก็ไม่มีร่มกันแดดเลย เพราะเมื่อสมัยก่อนนั้น ตลาดนัดจะมีตอนเช้ามืด แล้วก็เลิกตอนสายๆ สัก ๑๐ โมงเช้า จึงยังไม่ค่อยร้อน และยังไม่ต้องการร่มเท่าไรนัก

      ในตลาดนัดเมื่อตอนเช้าๆในสมัยก่อนนั้นผมจำได้ว่า จะมีคนเดินขายของด้วย ที่แน่ๆจำได้ ๒ คน คือ นายเทพ หรือที่เรียกกันว่า หมอเทพ (คนละคนกับหมอเลื่อน คนนี้เป็นเลขากำนันโกวิทในอดีตครับ) แกเป็นคนทางวัดสนามชัย (ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่ ท่านผู้รู้บอกด้วย) จะเดินขายแทรกผู้คนเข้ามา แกขายยาน้ำเป็นขวด เป็นยาคล้ายๆกับพวกยาธาตุน้ำแดงในสมัยนี้

         ปากแกก็โฆษณาไปเรื่อย เท่าที่ผมจำได้แกว่ายานี้ แก้แน่นท้องเพราะว่า อาหารมันไม่ย่อยมีอาการจุกเสียด แน่นเฟ้อเรอออกมาเหม็นเปรี้ยว กินเข้าไปแล้วก็จะเหมือนยาเจริญอาหารด้วย ใครที่กินข้าวไม่อร่อยกินไม่ค่อยได้ กินยาขนานนี้เข้าไปแล้วก็จะกินข้าวได้ มีเท่าไรกินหมดกินเป็นพายุบุแคม กินแล้วจะอ้วนเป็นหมูตอน ยานี้ชื่อว่า ยาธาตุปัฐวี ดี๑ ขวดละเพียง ๓ บาทเท่านั้นแล้วแกก็เดินโฆษณายาของแกเรื่อยไป พอสายหน่อยแกก็หายตัวไปไหนก็ไม่รู้

        ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นไว้ผมเสียยาวเหมือนพวก ฮิปปี้ (hippy) แต่พวกฮิบปี้ทั้งหลายนั้นน่าจะเรียกแกว่าพี่  เพราะว่าแกไว้ทรงผมยาวๆรุงรัง อย่างนั้นก่อนพวก ฮิบปี้ที่เมืองนอกจะแพร่เข้ามาเมืองไทยหลายปี  นี่ยังดีนะ ที่แกขายหวีแล้วผมแกเยอะก็เข้าทีดีอยู่ แต่ถ้าแกหัวล้านหมดทั้งหัว แล้วมาขายหวีละก็ฮากันขี้แตกขี้แตนแน่ๆ ลองหลับตาแล้วนึกภาพดูซี แกสะพายย่ามใหญ่ไว้ที่บนบ่า ในย่ามนั้นคงจะมีสินค้าของแกอีกมาก

       แล้วที่ในมือแกนั้นก็มีหวีรูปร่างแปลกๆหลายอัน ปากแกก็ร้องโฆษณา เท่าที่จำได้ดังนี้ครับ หวีครับหวี หวีถูกๆออกมาจากโรงงานโดยตรง  แต่เจ้าของโรงงานไม่ได้มาเองนะครับ หวีคด หวีโค้ง หวีลงรูปสวย หวีปักผมมวย (คงหมายถึงหวีที่ด้ามแหลมๆยาวๆกระมัง) หวีคนสวยดัดลอน หวีซับ หวีซ้อน  ๒ อันบาทเดียว ผมจำได้ก็มีเท่านี้ แต่แกยังมีคำกลอนเกี่ยวกับหวีอีกเยอะ เสียดายที่ผมจำไม่ได้ และไม่ได้นึกว่าอีกกว่า ๕๐ ปีต่อมาจะต้องเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ใครฟัง

    แม่บ้านของคุณสาธรนั้นเลือกซื้อสินค้าได้หลายอย่าง  ส่วนใหญ่จะเป็นพวกพืชผัก ผลไม้ ส่วนพวกของกินนั้นไม่ได้ซื้อไปเลย เพราะว่ากลัวจะบูดเสีย กว่าจะได้กลับบ้านก็อีกหลายชั่วโมง (บ้านแกอยู่ถนนรามคำแหง ซอย ๘)  เดินตลาดนัดเจ็ดเสมียนเสียพอค่อนข้างจะเมื่อยแล้ว จึงออกจากตลาด เดินไปทางสถานีรถไฟ  ผมได้พบกับเพื่อนผมคนหนึ่งซึ่งไม่ได้พบกันมาเลย เป็นเวลา ๔๐ ปีเต็มๆ

     เขากำลังยืนโบกรถอยู่ที่ ถนนหลังสถานี แต่งตัว รักษาความปลอดภัยเสียเต็มยศ เพื่อนผมคนนี้คือ นายณรงค์  (หรือ ไอ้หร่ง เมื่อวันที่ผมแต่งงานเมื่อ ๔๐ ปีก่อนนั้น ได้มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้ผมด้วย)

    เมื่อได้ทักทายกันเรียกว่าจำกันได้แล้ว ก็ถามทุกข์สุขกันณรงค์เขาบอกผมว่า “กูจบ ป.๔ จากโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียนแล้ว ก็ไปเรียนชั้น ม. ที่โรงเรียนวัดสนามชัย จบม. ๖ แล้วกูก็ไม่ได้ไปทำงานที่ไหนเลยช่วยพ่อแม่ ทำไร่ไถนา ปลูกผักทำสวน ก็พออยู่พอกินมาตลอด “

  “แล้วได้แต่งงานแต่งการมีลูกมีเต้าหรือเปล่า” ผมถามนายณรงค์  นายณรงค์เพื่อนของผมบอกว่า “ก็มีลูกหลายคน คนโตก็เป็นเหมือนผมเป็น รปภ. ยืนโบกรถอยู่โน่นไง”   พลางชี้มือไปทางหน้าโรงเรียน ซึ่งกำลังชุลมุนวุ่นวาย ทั้งรถ ทั้งคนเดิน แน่นถนนหน้าโรงเรียน ซึ่งเป็นวงเวียน เต็มไปหมด


          ผมยืนคุยกับนายณรงค์ เพื่อนของผมในสมัยเด็กๆ ไม่นานเท่าใด เพราะว่าเกรงใจที่ทำให้เขาต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ จึงบอกเขาว่า แล้วค่อยเจอกันใหม่นะ แล้วผมกับพวกก็เดินไปที่บ้านนายสาธร ซึ่งอยู่ข้างๆ ร้านขายหัวใช้โป๊ว แม่กิมฮวย ตรงกันข้ามกับตลาดนอก
        แต่ในใจยังอยากจะถามเขาว่า แล้วมาทำงานอย่างนี้ เหน็ดเหนื่อยอย่างนี้ สังกัดอยู่กับใคร  มีเงินเดือนหรือค่าตอบแทนหรือไม่ ถ้าได้แล้วได้เท่าไร สมมุติว่าไม่มีเงินเดือน หรือค่าตอบแทน ที่ทำอย่างนี้เพราะอะไร หรือว่าทำด้วยใจรักอย่างเดียว ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมามีต้นสังกัด หรือใครทำประกันไว้ให้บ้างหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้ถามเขานะครับ ผมรีบไป เพราะเพื่อนๆรออยู่ ใครที่พอจะตอบได้ ช่วยตอบผมทีครับ

      ผมเหลือบดูนาฬิกาเวลานี้ก็ ๕  โมงเย็นกว่าๆแล้ว ที่บ้านคุณสาธรนั้นมีคนมารอเพิ่มเติมอยู่หลายคน คนที่เดินมาด้วยกันจากตลาดนั้น ต่างก็รีบไปอาบน้ำกันที่บ้านคุณสาธร คนที่อาบเสร็จก่อนก็แต่งตัวรอกัน

    เมื่อเรียบร้อยกันทั้งหมดแล้วก็ชวนกันออกเดินจากบ้านคุณสาธร ผ่านร้านขายผักกาด แม่กิมฮวย แล้วเดินข้ามทางรถไฟ ตรงไปยัง ประตูทางเข้าโรงเรียน ชุมชนเจ็ดเสมียน  ผ่านวงเวียนเล็กๆที่มีผู้คนหนาแน่น แล้วเดินผ่านวัด  มองดูท่าวัดหน่อยหนึ่ง แล้วผ่านเมรุ ไปที่ ศาลาประชาคม ริมแม่น้ำแม่กลองทันที......!

 ศาลาเอนกประสงค์นี้เป็นที่จัดงาน คนเจ็ดเสมียนพบกัน ครั้งที่ ๒  

 ติดตามตอนต่อไป   งานคนเจ็ดเสมียนพบกัน ครั้งที่ ๒/๒   ได้ที่นี่ครับ

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้71
เมื่อวานนี้449
สัปดาห์นี้900
เดือนนี้7067
ทั้งหมด1336951

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online