การเดินทางของกาลเวลา ตอน ไปมุกดาหาร

alt

 

   มีเพื่อนหลายๆคนถามว่าเดี๋ยวนี้ทำไมไม่เขียนเรื่องราวต่างๆลงในเวบ “เจ็ดเสมียน” บ้างเลยก็บอกว่า ก็ยังอยากเขียนเล่าอะไรต่างๆให้เพื่อนๆ หรือว่าท่านผู้อ่านที่คอยติดตามอยู่เสมอ แต่มาถึงตอนนี้ว่างเว้นมานานก็ยังไม่ได้เริ่มต้นสักที เหมือนกับว่าไม่ค่อยมีจิตใจที่อยากเขียน เวลาก็ล่วงเลยมาเรื่อยๆก็ยังไม่ได้เริ่มต้นสักที (คงเป็นเพราะว่าตอนนี้ชราภาพเสียแล้ว)

 

 

 มีเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาและมีเรื่องราวที่จะเขียนมากมาย จึงมาคิดว่าควรจะเริ่มต้นได้แล้ว ถ้าไม่เริ่มต้นเขียนก็จะเขียนอะไรไม่ออก แต่ถ้าได้เริ่มต้นสักครั้งหนึ่งหรือสักเรื่องหนึ่งก็คงจะเขียนไปได้เรื่อยๆกับเรื่องราวที่อยากจะเขียน

 

alt

คุณณรงค์ ศากยวงค์ และคุณสุชาติ สุขพันธ์

เมื่อวานนี้มีเพื่อนคนหนึ่งคือคุณณรงค์ ศักยวงค์ ที่ไม่ได้ติดต่อกันหรือได้พบกันมานานแล้ว ตั้งแต่เพื่อนคนนี้เขาไปอยู่ที่บ้านภรรยาของเขาคือ คุณวัชรี ศักยวงค์ที่จังหวัดมุกดาหาร ไปทำไร่ตั้งแต่เขาเกษียณอายุราชการมาก็ตั้งหลายปีแล้ว เมื่อก่อนนี้คุณณรงค์เขาทำงานเป็นทหารอากาศอยู่ที่กรุงเทพฯ และคุณวัชรี ทำงานเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลราชวิถี กทม.ก็ได้ติดต่อกันบ่อยๆ เมื่อทั้งคู่เกษียณอายุราชการแล้ว จึงได้กลับไปอยู่ที่บ้านของคุณวัชรี ที่จังหวัดมุกดาหาร ไปทำไร่ปลูกผลไม้จำนวนหลายสิบไร่เลี้ยงตัวเองเรื่อยๆมา

ไม่มานี้คุณณรงค์โทรมาหามาคุยกันตามปกติ ในตอนหนึ่งคุณณรงค์บอกว่าถ้าไปเที่ยวแถวๆภาคอิสาน หรือถ้าผ่านจังหวัดมุกดาหารก็ให้แวะไปที่บ้านเขาบ้าง ยินดีต้อนรับอยู่เสมอ ผมก็บอกและรับปากว่าถ้าได้มีโอกาสผ่านก็จะแวะหาอย่างแน่นอน ดังนั้นในเวลาต่อมาผมคิดได้ว่าอยากจะไปเที่ยวทางจังหวัดมุกดาหารดูบ้าง ผมจึงได้ถามเพื่อนๆอีกบางคนซึ่งเป็นเพื่อนที่สนิทกัน และได้เคยไปเที่ยวที่ไหนๆกันบ่อยๆ จึงตกลงปลงใจกันว่าถ้ามีเวลาว่างเมื่อไรเราก็ไปเที่ยวที่จังหวัดมุกดาหารก็แล้วกัน

ต่อมาไม่นานนักพวกเราก็พร้อมแล้วและออกเดินทางกันด้วยรถยนต์ โดยตกลงกันว่าเที่ยวนี้เราเอารถของเราไปกันเองไม่ได้ไปรถโดยสาร เพราะว่าจะได้มีเวลาแวะเที่ยวกันไปเรื่อยๆตามเส้นทางนี้ ผมจึงเอารถของผมไปเองและมีเพื่อนคนหนึ่งคือ คุณสุชาติ สุขพันธ์ และคุณวรรณวิมล ภรรยาของคุณสุชาติไปกับรถของผมด้วยซึ่งจะได้ไม่ต้องเอารถไปหลายๆคัน

นอกจากนี้ยังมีเพื่อนอีกครอบครัวหนึ่ง คือ คุณสละและคุณทัศนา ศรีพันธ์ บ้านอยู่ที่วงเวียนหลักสี่ บางเขนนี่เอง ซึ่งก็เป็นเพื่อนด้วยกันอยากจะไปด้วยและอยากจะเอารถไปเอง

 นอกจากนั้นก็มีเพื่อนอีกครอบครัวหนึ่งคือคุณสาธร วงษ์วานิช และคุณวนิดา ภรรยา จะไปด้วยแต่ก็จะออกล่วงหน้าไปก่อนหนึ่งวัน เขาต้องการที่จะเลยไปเที่ยวที่จังหวัดหนองคาย เพราะว่ายังไม่เคยขับรถไปเองเลย เขาจึงออกเดินทางล่วงหน้าไปหนึ่งวัน แล้ววันรุ่งขึ้นจึงจะกลับมาพบกันที่จังหวัดมุกดาหารในตอนเย็นๆ พวกเราก็ตกลงตามนั้น

สรุปแล้วขาไปนี้ผมและเพื่อนอีกคนหนึ่งจึงไปกันตามลำพังเพียง สองคันเท่านั้น

ในตอนเช้าผมและภรรยาของผมก็ออกเดินทาง ตามที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ บ้านผมอยู่สุพรรณบุรีจึงต้องออกเดินทางโดยลัดเลาะไปทางจังหวัดสิงห์บุรี  แล้วไปออกที่ถนนมิตรภาพ เพื่อไปพบกับคุณสละ คุณสุชาติพร้อมด้วยภรรยาของพวกเขาที่จะไปด้วยกันตามที่ได้นัดหมายกันเอาไว้แล้ว ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ไม่นานนักผมก็ได้พบกับเพื่อนที่ไปรออยู่ก่อนแล้ว

คุณสุชาติกับภรรยาคือคุณวรรณวิมล จึงได้้ย้ายรถมานั่งรถของผม

 จากนั้นจึงออกเดินทางมุ่งหน้าไปยัง จ.สระบุรี แล้วแยกขวาไปทางโคราช ผ่านจังหวัดโคราชแล้วก็เดินทางมุ่งตรงไปยังจังหวัดขอนแก่น ก่อนถึงขอนแก่นก็เลี้ยวแยกขวาไปจังหวัดมหาสารคาม

วันนั้นเราขับรถตามกันไปเรื่อยๆ กว่าจะถึง จ.มุกดาหารก็บ่ายมากแล้ว ไปรอรับเพื่อนอีกคนหนึ่งคือคุณสาธรและคุณวนิดาซึ่งเดินทางล่วงหน้ามาวันหนึ่ง และได้กลับมาจากหนองคาย ซึ่งได้นัดกันเพื่อเจอกันที่ในตัว จ.มุกดาหาร เมื่อพบกันแล้วก็เดินทางไปยังบ้านของเพื่อนทันที

ไม่นานนักก็ถึงบ้านคุณณรงค์และภรรยาของเขาก็รอรับด้วยความยินดี เขารีบออกมาต้อนรับเราถึงรั้วประตูบ้าน บ้านของเขาปลูกค่อนข้างใหญ่โต อยู่ท่ามกลางสวนมีต้นไม้ต่างๆขึ้นกันอย่างหนาแน่น เราขับรถตามกันมาเรื่อยๆผ่านต้นไม้ที่เขาปลูกไว้เป็นแถวๆ ที่สุดก็เข้ามาจอดที่บริเวณหน้าบ้าน

คุณณรงค์และคุณวัชรีต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี เรานั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน เพื่อนคนนี้เป็นคนพูดคุยเก่ง ภรรยาของเขาก็เช่นเดียวกัน ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา

alt

ที่บ้านของคุณณรงค์ คนที่ยืนนั้นคือคุณ วัชรี ภรรยาของคุณณรงค์

ค่ำวันนั้นเพื่อนเจ้าของบ้านก็ชวนไปทานอาหารที่ร้านอาหารในตัวเมืองซึ่งอยู่ริมแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ดีมาก อาหารก็อร่อย เราคุยกันอย่างมีความสุขที่นานๆได้มาพบกัน หลังจากไม่ได้พบกันมาเป็นเวลานาน

alt

รับประทานอาหารกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำโขง

คืนนั้นคุณณรงค์บอกว่าให้ค้างที่บ้านของเขาเลย เขาเตรียมที่หลับที่นอนไว้ให้แล้ว แต่พวกเราที่มาด้วยกันไม่อยากรบกวนเขาให้มากไปกว่านี้จึง ได้ปฏิเสธและได้ไปพักกันที่โรงแรมในตัวเมือง และบอกว่าตอนเช้าให้มารับพวกเราที่โรงแรมก็แล้วกัน คืนนั้นนอนพักกันที่โรงแรมอย่างสุขสบายและหลับเป็นอย่างดี เพราะว่าการเดินทางไกลๆนั้นทำให้ปวดเมื่อยกันพอสมควร

alt

 โรงแรม พลอย พาเลซ ที่พวกเราไปพักกันในคืนวันนั้น อยู่ในกลางใจเมือง

ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นคุณณรงค์และภรรยาจึงได้มาหาที่โรงแรมตั้งแต่เช้าเพื่อจะได้ออกไปเที่ยวกัน เมื่อมารวมกลุ่มกันที่หน้าโรงแรมเรียบร้อยแล้ว คุณณรงค์บอกว่าในตอนเช้าๆอากาศยังไม่ร้อนอย่างนี้เราควรไปเที่ยวกันที่ ”ภูผาเทิบ “กันเสียก่อน พวกเราทั้งหมดตกลง ดังนั้นเขาจึงนำทางพวกเรา ขับรถกันไปไม่นานนักก็ถึงที่หมายคือที่ “ภูผาเทิบ”

alt

 

alt

ทางเดินขึ้น "ภูผาเทิบ" ไม่ได้เป็นขั้นบันได แต่เป็นทางราบที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งสามคนนี้เป็นเพื่อนที่ไปด้วยกัน

ที่ภูผาเทิบนี้เป็นภูเขาลูกไม่สูงนักแต่จะกินพื้นที่กว้างใหญ่เท่าไรนั้นก็ไม่ทราบได้ ลักษณะเป็นทางขึ้นเป็นเนินราบๆ มองไปข้างหน้าดูสวยงามยิ่งนัก พวกเราเดินขึ้นกันไปแล้วก็ถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกได้หลายรูป เดินเล่นกันจนพอใจและเหนื่อยแล้วซึ่งใช้เวากันนานพอสมควร ก็ลงมารวมกลุ่มกันที่หน้าอุทยานแห่งนี้

alt

 ถ่ายรูปหมู่กันไว้เป็นที่ระลึก

 

alt

คุณสาธรและคุณวนิดา วงษ์วานิช เพื่อนทีี่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน

 

alt

สามสาวน้อย (แก่มาก) มีคุณนวลปรางค์ คุณวนิดา และคุณหวาน ที่บนภูผาเทิบ

 

alt

ที่บริเวณลานด้านหน้าอุทยาน "ภูผาเทิบ" มีร้านค้าขายของที่ระลึกรวมทั้งร้านขายเครื่องดื่มด้วย

 

alt

 คุณณรงค์ นั่งพักตรงร้านค้าขายของที่ระลึก หน้า "ภูผาเทิบ" ใกล้ๆกับลานจอดรถ สงสัยจะเหนื่อยพอสมควร

alt

ในขณะที่พักเหนื่อยและรอรวมกลุ่มกันที่ร้านค้า คุณวัชรี ก็เล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับ "ภูผาเทิบ" แห่งนี้ให้พวกเราทราบ

เมื่อนั่งพักกันหายเหนื่อยพอสมควรแล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ เพื่อนของพวกเราคือคุณณรงค์ซึ่งเป็นคนนำทาง บอกว่าที่เราจะไปต่อนี้ค่อนข้างจะไกลสักหน่อย ที่เรียกว่า “แก่งกะเบา” เราจะไปกินอาหารกลางวันกันที่นั่น ( ซึ่งผมคิดว่าบางท่านก็คงเคยไปกันมาแล้ว )

แต่ว่าก่อนจะไปถึงแก่งกระเบาเราไปที่สพานมิตรภาพ ไทย - ลาว กันเสียก่อนดีกว่าเพราะว่ายังมีเวลาทันก่อนอาหารกลางวัน ไหนๆก็มากันถึงที่แล้วไปดูกันเสียหน่อย พวกเราบอกว่าจะพาไปไหนก็ไปกันและที่จริงก็อยากจะเห็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงของจังหวัดมุกดาหารด้วย 

เมื่อตกลงเป็นเอกฉันท์แล้วคุณณรงค์ จึงขับรถออกนำทางไปเรื่อยๆไม่รีบร้อนมากนัก ไม่นานนักก็ถึงสพานมิตรภาพ ไทย-ลาว ซึ่งมองเห็นแต่ไกลๆแล้ว จริงๆแล้วสถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงสะพานอย่างเดียวเท่านั้น เพราะว่าก่อนที่คนจะข้ามสะพานไปยังฝั่งลาว หรือคนลาวจะข้ามมายังฝั่งไทย ก็ต้องมาทำเอกสารต่างๆขอผ่านแดนเสียก่อน จึงมีสำนักงาน ศุลกากร ภาคที่ ๒ ด่านพรมแดนมุกดาหาร (ด่านตรวจคนเข้าเมือง) ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเชิงสะพานมากนัก

 

alt

ถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกที่ตรงด่านพรมแดน ที่เห็นในภาพนี้คือทั้งหมดที่มาเที่ยวกัน แต่ว่าขาดผู้เขียนไปคนหนึ่ง เพราะว่าเป็นถ่ายรูปนี้ครับ

 alt

 มองออกไปจากด่าน เห็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงอยู่ลิบๆ พวกเราไม่ได้เดินไปหรอกครับ เพราะว่าอากาศร้อนเหลือเกินครับ

alt

สพานข้ามแม่น้ำโขงที่ จ.มุกดาหาร เป็นอย่างนี้ครับ เมื่อขับรถมาดูใกล้ๆที่ริมฝั่ง

เดินเที่ยวชมกันอยู่ตรงด่านจนพอใจแล้ว จึงได้เดินทางกันต่อไป จุดหมายก็คือที่ "แก่งกะเบา" ซึ่งจะไปกินอาหารกลางวันกันที่นั่น

พวกเราขับรถตามกันไปเรื่อยๆกว่าชั่วโมงจึงถึง “แก่งกะเบา” ที่ตรงนี้เป็นริมฝั่งแม่น้ำโขง มีร้านขายอาหารอยู่หลายร้าน มีคนมาเที่ยวและนั่งกินอาหารกันเยอะแล้ว มองดูแล้วก็คึกคักพอสมควร สมกับเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจจริงๆ

พวกเราเลือกร้านอาหารได้ร้านหนึ่ง เขามีที่นั่งในการกินอาหารอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งมองเห็นทิวทัศน์ได้เป็นอย่างดี ตอนที่ไปนั้นน้ำในแม่น้ำโขงมีตามปกติ ไม่ได้ขึ้นมามากมายเหมือนเมื่อตอนหน้าน้ำ มีคนเดินลงไปตามโขดหินริมน้ำเป็นหมู่ๆ มองดูทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงที่ไหลเอื่อยๆ ดูสวยงามยิ่งนัก

 alt

ทิวทัศน์ริมแม่น้ำโขงที่ "แก่งกะเบา" มองจากร้านอาหารริมฝั่ง 

 ไม่นานนักอาหารที่เราสั่งมาก็เริ่มลำเลียงมาเต็มโต๊ะ อาหารที่สั่งมานั้นเป็นจำพวกส้มตำ ข้าวเหนี่ยว แต่ไม่ได้สั่งไก่ย่างมาด้วยตามสูตร คุณณรงค์ได้สั่งหมูหันมาแทน หมูหันนี้เป็นอาหารยอดนิยมของทางนี้เลยทีเดียว คุณณรงค์บอกอย่างนั้น

หมูหันก็คือ เขานำลูกหมูตัวเล็กๆมาย่างหรือมาหันให้สุกดีแล้ว ก็มาสับเป็นชิ้นๆ แล้วก็จิ้มกับน้ำจิ้มรสเด็ด เพื่อนบอกว่าให้ลองกินดูแล้วจะรู้ว่ามันอร่อยขนาดไหน

 alt

 ที่ร้านอาหารริมฝั่งโขง "แก่งกะเบา" กินหมูย่างกันด้วยความอร่อย

alt

คุณสุชาติและคุณวรรณวิมล สุขพันธ์ มีความสุขกับการกินอาหารมื้อนี้ ทั้งสองคนนี้นั่งรถมาด้วยกันกับผู้เขียน

กินอาหารกันไปคุยกันไป พร้อมกับมองทิวทัศน์กันไป ท่ามกลางสายลมเย็นเอื่อยๆอย่างมีความสุข พวกเรากินอาหารมื้อนี้กันด้วยความเอร็ดอร่อย มีความรู้สึกว่าคุณณรงค์ก็ภูมิใจในอาหารที่เขาสั่งมาให้เรากินด้วย เราใช้เวลานานพอสมควรกับสถานที่แห่งนี้

จากร้านอาหารที่แก่งกะเบานี้ พวกเราคิดกันว่าจะเดินทางไปจังหวัดอุบลฯ เพื่อไปหาเพื่อนคนหนึ่งคือคุณเอนก คุ้มประวัติ ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆที่ตลาดเจ็ดเสมียน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี คุณเอนกซึ่งได้จากบ้านเกิดเมืองนอนมาทำงานที่จังหวัดนี้และได้ลงหลักปักฐาน มีภรรยาและลูกๆที่น่ารักที่นั่นมานานหลายสิบปีแล้ว

คุณณรงค์บอกว่าก่อนจะกลับไป จ.อุบลฯเขาอยากจะพาไปเที่ยวที่วัดแห่งหนึ่ง เที่ยวชมวัดแล้วแล้วค่อยแยกกันที่วัดนั้น วัดที่ว่านี้ก็คือ “วัดใหญ่ชัยมงคล” ซึ่งเป็นวัดที่สวยงามมาก แล้วเพื่อนก็บรรยายให้ฟังว่าสวยงามอย่างไร จนทำให้พวกเราอยากไปเห็น จึงได้ตัดสินใจกันว่าไปก็ไป

 alt

 ที่วัดชัยมงคล จ.ร้อยเอ็ด

เราเดินทางจากแก่งกระเบา ลัดเลาะไปเรื่อยๆใช้เวลาราวๆสัก ๒ ชั่วโมง ก็ถึงวัดแห่งนี้ และได้เข้าไปเที่ยวชมและก็สวยงามจริงๆอย่างที่เขาว่าไว้เลยทีเดียว

เดินเที่ยวชมกันเป็นเวลานานก็ยังชมกันไม่ทั่ว แต่เวลาจะไม่พอแล้ว เพราะว่าพวกเราจะเดินทางไปยังจังหวัดอุบลอีกซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมาก กลัวว่าจะมืดค่ำเสียก่อน จึงต้องจำใจ ร่ำลากันแยกกับคุณณรงค์ที่ตรงวัดนี้

ในวันนั้นเราเดินทางเข้า จ.อุบลฯ  ขับรถกันไปเรื่อยๆ กว่าจะถึง จ.อุบลก็มืดค่ำพอดี โดยมีเพื่อนที่ จ.อุบลฯ คือคุณอเนก คุ้มประวัติ คอยมารอรับที่บริเวณห้างโลตัส สาขา อุบลฯ

คุณเอนกจัดที่พักที่มหาวิทยาลัย "ราชภัฏอุบลราชธานี" สดวกสลบายและมีความสุขมากที่สุด รุ่งเช้าจึงออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ 

alt

ถ่ายรูปกันอีกครั้งที่หน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ก่อนกลับกรุงเทพฯ

ตั้งแต่วันนั้นมาก็นานแล้ว ทุกอย่างที่เพื่อนคือคุณณรงค์และคุณอเนก บริการพวกเราเป็นอย่างดี จนบัดนี้ก็ยังขอบคุณและจำได้ไม่ลืมเลือนไปเลย

สำหรับคุณณรงค์นั้นวันเวลาที่ผ่านมา ยังได้ทราบข่าวอยู่เสมอๆว่าเพื่อนมีความสุขในการทำไร่ อยู่กับภรรยาที่น่ารักตลอดมา จะมีบางครั้งที่คิดถึงกันก็โทรคุยกันบ้าง

แต่เมื่อไม่นานมานี้วันหนึ่งได้ทราบข่าวด้วยความสลดใจว่า คุณวัชรี ภรรยาของคุณณรงค์ ป่วยเป็นมะเร็งที่ตับอ่อน และได้เข้าโรงพยาบาลมาหลายวันแล้ว ผมและเพื่อนๆอีกหลายคนที่อยู่ที่ กทม. ไม่สามารถไปเยี่ยมได้เพราะว่าระยะทางไป จ.มุกดาหารไกลเหลือเกิน เพียงแต่ส่งกำลังใจและอวยพรให้คุณวัชรีหายเร็วๆเท่านั้น

ต่อมาอีกไม่นานก็ได้ทราบข่าวอีกครั้งหนึ่งด้วยความเสียใจว่า คุณวัชรีเสียชีวิตแล้ว และได้ทำพิธีเผาไปเรียบร้อยแล้วจากนั้นมาคุณณรงค์ได้อยู่คนเดียวที่ไร่แห่งนี้คนเดียวอย่างเดียวดาย

 จนกระทั่งในเช้าวันหนึ่งเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง คุณณรงค์โทรหาผม เราได้คุยกันถามความทุกข์สุขกันอย่างมีความสุข

ในตอนหนึ่งคุณณรงค์คุยให้ผมฟังบอกว่า

“คุณแก้ว อีกไม่นานผมก็จะมาเป็นลูกเขยสุพรรณฯแล้วละ”

“อ้าว มีข่าวดีหรือครับ ”

“ใช่ครับ คือว่าในเดือนมีนาคมนี้ ผมจะแต่งงานอีกครั้งหนึ่งกับคนที่ในตัวเมืองสุพรรณฯน่ะครับ คนนี้เขาก็ทำงานเป็นพยาบาลเช่นเดียวกับแฟนเก่าของผม ตอนนี้ก็เกษียณอายุจากราชการแล้วครับ”

แล้วคุณณรงค์ก็เล่าความเป็นมาต่างๆให้ผมทราบ ผมก็แสดงความยินดีกับคุณณรงค์ไปด้วย และบอกว่า

“คุณณรงค์จะมีงานวันไหนบอกผมด้วยก็แล้วกัน ถ้าเป็นที่ จ.สุพรรณฯผมมาร่วมงานได้แน่นอนครับ”

“อ๋อ... ผมต้องบอกแน่นอนแหละครับ”

 

alt

 

บันทึกโดยนายแก้ว ๒๘ พฤษจิกายน ๒๕๕๗

 

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้193
เมื่อวานนี้369
สัปดาห์นี้562
เดือนนี้4465
ทั้งหมด1323799

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online