ไปเที่ยวสมุทรสาคร

      เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี้เป็นวันสุดสัปดาห์ของการทำงาน และในขณะที่ใกล้จะหมดเวลาของการทำงานในวันนี้แล้ว ผู้เขียนก็เตรียมตัวรอเวลากลับบ้าน  อยู่ๆก็ได้ยินเสียงเพื่อนรุ่นน้องที่ทำงานอยู่ด้วยกัน บอกผู้เขียนว่า

    “พี่ พี่ วันเสาร์พรุ่งนี้ไปเที่ยวกับพวกหนูนะ” ผู้เขียนหันไปทางเจ้าของเสียง  เสียง น้องก้อย ที่นั่งทำงาน โต๊ะใกล้ๆกับผู้เขียนเอ่ยชวนขึ้นมา ผู้เขียนหันไปทางน้องก้อย แล้วถามว่า “มีอะไรกัน  ชวนพี่ไปเที่ยวที่ไหนหรือ

     น้องก้อย

        “ว่าจะไปเที่ยวริมๆทะเลสมุทรสาครกัน  ไปกินอาหารทะเลแล้วก็จะซื้ออาหารทะเลกลับมาบ้านกัน หนู จึงอยากชวนพี่ไปด้วย”  น้องก้อยตอบแล้วยิ้มให้ เด็กคนนี้เป็นคนอย่างนี้เอง น่ารักเสมอ มีอะไรก็คุยกันชวนกันอย่างเช่นครั้งนี้  ในเรื่องที่น้องก้อยชวนนี้ผู้เขียนก็สนใจบ้างเหมือนกัน จึงได้ถามว่า

“มีใครจะไปกันบ้างล่ะ แล้วจะเอารถอะไรไปกัน”
“ก็มีหนู ติ๋ม เพ็ญ เช๊ะ อี๊ด ตา มล เล็ก และอีกหลายๆคน รวมแล้วก็ประมาณ ๑๐ กว่าคน เอารถไป  ๒  คัน  ทุกคนบอกให้ชวนพี่ไปด้วย  ไปเที่ยวกันนะ  จะได้ไปคลายเครียดบ้าง  ตอนเช้าวันเสาร์หนูจะให้เพ็ญไปรับพี่ที่บ้านเลย”

      ผู้เขียนทำหน้าครุ่นคิด เออ..! หมู่นี้เราไม่ค่อยได้ไปไหนเลย พอนานๆเข้าก็กลายเป็นว่าไม่ค่อยอยากไปไหนเสียแล้ว แต่ครั้งนี้น้องๆที่ทำงานมาชวนและให้ความสะดวกด้วย แต่ก็ยังสงสัยว่า ไปกัน ๑๐ กว่าคนที่น้องก้อยบอก รถ  ๒ คันจะไปกันหมดหรือ

   “ก็ได้พี่ไปด้วยนะ  พอดีวันเสาร์นี้พี่ว่างพอดี  อ้าว!  ลืมไป  วันเสาร์พี่นัด “หมอครับท่าน “   ให้มาฉีดยาหมาที่บ้านพี่นี่นา เอ..! ทำไงดี”   
   “ใครกันพี่  หมอครับท่าน เนี่ย”  น้องก้อยสงสัย
“แกเป็นสัตว์แพทย์รับรักษาหมาตามบ้าน  พี่เรียกแกว่า “หมอครับท่าน”  เพราะแกพูดจบแกจะลงท้ายว่า ครับท่าน ครับท่าน  อย่างนี้ตลอดเลยพี่ก็เลยตั้งชื่อให้แกซะเลยว่า “หมอครับท่าน ”

    แกก็เรียกพี่ว่า  “อาจารย์ “   แกคงคิดว่าพี่เป็นอาจารย์ละมั้ง  พี่นัดให้แกมาฉีดยา “ซาเล้ง”  หมาปั๊กที่พี่เลี้ยงไว้   มันเป็นโรคภูมิแพ้  แกจะมาฉีดยาให้เป็นประจำนี่ก็ถึงกำหนดฉีดยาอีกแล้ว แล้วตอนนี้เจ้าซาเล้งมันกำลังคันคะเยอทั้งวันทั้งคืน” ผู้เขียนคิดอยู่ประเดี๋ยวแล้วพูดกับน้องก้อยต่อว่า

       “ แต่ไม่เป็นไร  เดี๋ยวพี่จะโทร.ขอเลื่อนนัดกับแกไปก่อนพี่จะไปด้วยนะ   แต่คิดอีกทีสมุทรสาครก็ไม่ไกลมาก พี่คงกลับมาทัน “หมอครับท่าน “ มาฉีดยาให้หมาแน่นอน”

กระพ้ม น้องซาเล้ง ครับท่าน 

    เช้าวันเสาร์ ผู้เขียนรีบปฏิบัติภารกิจต่างๆ โดยเฉพาะให้ข้าวหมาทั้งสามตัวคือ ซาเล้ง  การ์ตูน  ขุนตาล   สองตัวหลังเป็นหมาไทยลูกผสม เพื่อนที่ทำงานด้วยกันที่กรุงเทพฯให้มาตั้งแต่มันเป็นเด็กๆอยู่นานมาแล้ว ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่สำนักงานแห่งนี้ 

    ปฏิบัติภารกิจประจำวันเกี่ยวกับหมา เสร็จก็พอดีน้องเพ็ญ ขับรถมารับที่บ้าน   “เราจะไปกันทางไหน ถึงจะดีที่สุด “ผู้เขียนถามน้องเพ็ญในขณะที่ก้าวขึ้นรถ “ หนูก็ยังไม่รู้เลยเพราะไม่เคยไป  เดี๋ยวเราไปแวะที่สำนักงานที่นครปฐมกันก่อน เพราะว่าคนอื่นๆรอเราอยู่ที่นั่น แล้วไปพร้อมกัน  ได้ยินพี่ก้อยพูดแว่วๆ ว่าไปทางพุทธมณฑลสาย  ๔ แต่หนูก็ยังไม่รู้แน่ “

        เมื่อไปถึงสำนักงานประมาณ  ๙.๓๐ น.  พบว่าพวกน้องๆ รอเราอยู่แล้ว นับได้ทั้งหมด  ๑๕ คน กับลูก ๆของเขาอีก ๓ คน  รวมเป็น ๑๘ คน นับว่าเป็นกลุ่มใหญ่ทีเดียว 
         ผู้เขียนบอกน้อง ๆว่าดีแล้ว ไปกันหลายๆคน สนุกดี   นานๆจะได้ไปเที่ยวกันแบบนี้สักที   น้องก้อยหัวหน้าทีมบอกว่าจุดประสงค์ใหญ่คือไปหาที่กินข้าวกันเท่านั้นแหละ ผู้เขียนคิดว่าไม่คนใดก็คนหนึ่งในกลุ่มเรานี้ ต้องเคยไปกินที่ร้านอาหารที่อร่อยแถวๆนั้นแล้วเป็นแน่ ถึงได้เจาะจงไปที่นั่น

        เราเริ่มออกเดินทางกันตอน  ๑๐ โมงเศษๆ โดยรถ ๓ คัน ขับตามกันไปเพราะมีคันน้องก้อยคันเดียวที่เคยไป   เราไปทางถนนพุทธมณฑลสาย ๔  มุ่งไปยังจังหวัดสมุทรสาคร   
        จังหวัดสมุทรสาครเป็นจังหวัดเล็กๆ มีเพียง ๓ อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน    ตอนที่เราผ่านเข้าเมืองสมุทรสาคร ก็รู้สึกว่าทั้งรถทั้งคนก็ค่อนข้างจอแจพอสมควร เห็นมีป้ายประชาสัมพันธ์งานเทศกาลกินปลาสลิดแดดเดียวท่องเที่ยวมหาชัย ครั้งที่ ๑  ระหว่างวันที่ ๑๘ -๒๐ กันยายน ๒๕๕๒  ติดอยู่ทั่วไป

        จุดหมายปลายทางที่จะไปคือร้านอาหารชื่อ “หนึ่งคลอง สองทะเล”   ร้านอาหารนี้ต้องขับรถออกจากตัวเมืองสมุทรสาครไปอีกประมาณ ๕ กม.และมันก็อยู่ริมทะเลจริงๆ   อันนี้เกิดจากความคิดของ  น้องเล็ก  ซึ่งมาทำงานแถวนี้บ่อย  รู้ว่าร้านไหนอร่อยไม่อร่อย  เธอบอกว่าร้านนี้อาหารอร่อยและบรรยากาศก็ดีเพราะอยู่ริมทะเล


ถึงร้านอาหารแล้ว เดี๋ยวซี่ อย่าดึง อย่าดึง..ขอคุณแม่ถ่ายรูปก่อน

    เรา ไปถึงร้านอาหารเกือบเที่ยง ที่ช้าเพราะต้องขับรถแบบรอๆกันเนื่องจากไม่รู้ เส้นทาง   ร้านนี้เป็นร้านอาหารที่ค่อนข้างกว้างขวาง ติดริมทะเล คิดว่าถ้าเป็นตอนเย็นบรรยากาศคงดีมาก  ตอนที่เรามาที่นี่ ดูเหมือนว่าน้ำทะเลยังลงอยู่  มองออกไปจากร้านไกลออกไป เห็นหาดที่มีแต่ดินเลนไกลสุดสายตา 

   น้องเล็กบอกว่าตอนน้ำทะเลขึ้นมากๆและอากาศดีๆ  จะมีปลาโลมาว่ายเข้ามาเล่นน้ำให้เห็นบ่อยๆ   เสียงน้องนิดถามว่า “ชื่อสองทะเล แต่ก็เห็นมีทะเลเดียว จะเป็นสองทะเลได้อย่างไร”    น้องเล็กบอกว่า “น่าจะไม่ใช่ไม่ใช่อย่างนั้น  ความหมายของเขาน่าจะหมายถึง  หนึ่งก็คือคลอง สองก็คือทะเล ต่างหากเล่า “ น้องเล็กพยายามอธิบาย แต่ผู้ที่ได้ยินก็ยังคง งงๆ กันอยู่

 

      เมื่อคนบริการเอาเมนูอาหารมาให้แล้ว ก็เริ่มสั่งอาหารกัน ตามแต่ใครจะชอบอะไรอย่างเช่น ปลาทูต้มมะดัน  ปลากระพงทอดน้ำปลา  ยำชาวเล  หอยหลอดผัดฉ่า  หอยพิมพ์แดดเดียว  เป็นต้น (จริงๆแล้วมีอีกหลายอย่าง)  น้องตาซึ่งมีแฟนเป็นคนสมุทรสาครบอกว่า หอยพิมพ์นี้มีที่สมุทรสาครแห่งเดียวในประเทศไทย  ราคาขายประมาณกิโลกรัมละ ๕๐๐ บาท (ประมาณกี่ตัวก็ไม่ทราบค่ะ)  น้องตาบอกว่าหลังจากกินข้าวแล้ว น้องตายังอาสาจะพาพวกเราไปซื้อของฝากก่อนกลับบ้านด้วย นานๆกินข้าวด้วยกันที  เป็นที่สนุกสนานมาก


 อาหารอร่อยมากค่ะ 

 กินกันไปคุยกันไป ยิ่งมีหนุ่มหล่อ สาวสวยมาด้วยอาหารก็ยิ่งอร่อยขึ้นไปอีก

 เที่ยวหลังชวนมาอีกนะ คิดว่าพี่ว่าง

  หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว  น้องๆ  ๔ - ๕ คน  ก็ขอกลับก่อนเพราะต่างก็มีธุระ   ที่เหลือก็จึงได้ออกเดินทางเพื่อหาซื้อของฝากโดยมีน้องตาเป็นผู้นำทาง น้องตาพาเราไปร้านเจ้าประจำของน้องตาเขา 
     ที่นั่นเป็นบ้านชาวประมง มีของที่บรรจุใส่ถุงเพื่อเตรียมไปขายหลายอย่าง  มีทั้งกะปิ  ปลาเค็มแห้ง  ปลาหวาน   ดูแล้วราคาไม่แพงก็เลยซื้อกันคนละหลายอย่างจนน้องตาบอกว่ายังมีอีกหลายร้านนะ แบ่งๆไปซื้อร้านอื่นๆกันบ้าง

    แล้วเธอก็พาเราไปดูอีกสองสามร้านเพื่อให้ซื้อจนเป็นที่พอใจกันทุกๆคน  แล้วเธอก็บอกว่าก่อนที่เราจะกลับกัน ก็จะพาพวกเราไปวัดช่องลม จะพาไปดูนกนางแอ่นทำรังบนเพดานโบสถ์

  

  ร้านเจ้าประจำของน้องตา  มีกะปิ  ปลาแห้ง ปลาหวาน จำหน่าย ร้านของฝากร้านนี้ จัดร้านสวยงามมาก พร้อมคำขวัญว่า ลูกเรากินได้  เราจึงขายท่าน” อันนี้ก็ต้องขอให้น้องตาแปลให้เข้าใจด้วย

 

โบสถ์วัดสุทธิวาตวราราม หรือ วัดช่องลม ใหญ่โตและสวยงามมาก

    วัดช่องลมหรือวัดสุทธิวาตวรารามเป็นวัดพระอารามหลวง  พอเข้าไปในบริเวณวัดจะเห็นโบสถ์ใหญ่สวยงามตั้งเด่นเป็นสง่า วันนี้แดดจัด อากาศร้อนอบอ้าวมาก แต่พอเข้าไปในวัดรู้สึกเหมือนความร้อนจะลดลง อาจเป็นเพราะมีลมค่อนข้างแรงพัดอยู่ตลอดเวลา  สมกับชื่อวัดช่องลมเสียจริงๆ 

   เราเดินไปที่หน้าโบสถ์เพื่อจะเข้าไปไหว้พระ แต่พบว่าในโบสถ์หน้าพระประธาน มีพระหลายรูปกำลังรีบเร่งย้ายข้าวของเหมือนกำลังจัดเตรียมงานอะไรบางอย่าง  เราเลยไม่ได้เข้าไป  น้องตาบอกว่าเดิมในโบสถ์นี้ บนเพดานโบสถ์ มีนกนางแอ่นมาทำรัง มองดูเหมือนเป็นรูปถ้วยเต็มไปหมด   แต่ตอนนี้ไม่มีเลย ไม่ทราบหายไปไหนหมด

ถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึกก่อนเดินทางกลับ

   ตอนนี้ก็ได้เวลากลับแล้วเพราะนี่เกือบจะสี่โมงเย็น  พวกเรายังจะต้องเดินทางกลับอีกไกล มองดูเหมือนเมฆฝนจะตั้งเค้ามาทะมึนไกลๆโน่นแล้ว  ขากลับดูจะเร็วกว่าขาไป อาจเป็นเพราะว่าคนขับรถรู้ทางแล้ว ไม่ต้องคอยขับตามๆกันเหมือนตอนขาไป  ผู้เขียนกลับถึงบ้านยังไม่ถึงหกโมงเย็น ขอบอกขอบใจคนที่มาส่งแล้ว ก็เข้าบ้าน

    พอนั่งพักยังไม่ทันหายเหนื่อย    อยู่ดีๆเจ้าซาเล้งหมาน้อยที่กำลังนอนกรนเสียงดัง ก็มีอันสดุ้งเฮือกสุดตัวตื่นขึ้นมา มองซ้ายมองขวา แล้ววิ่งมาซุกผู้เขียนเป็นการใหญ่  คิดว่าต้องมีอะไรสักอย่างที่ไม่ดีสำหรับมันแน่ๆ สักครู่หนึ่งผู้เขียนก็ได้ยินเสียงเรียกอยู่หน้าบ้าน  “หมอมาแล้วคร้าบ  อาจารย์”  

  

ขอทางหน่อยคร๊าบ ขอทางให้น้องซาเล้งหาที่หลบก่อน หมอหมามาแล้ว.......!

    เจ้าซาเล้งมันรู้ล่วงหน้าโดยสัญชาติญาณของหมา ว่า "หมอครับท่าน " กำลังมา   และมันกลัวถูกฉีดยานี่เอง....!

 ปรดติดตามเรื่องของ "ลูกปลาน้อย" ต่อไปในโอกาสหน้า  ที่นี่

  

   ผู้เขียน 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้374
เมื่อวานนี้343
สัปดาห์นี้1863
เดือนนี้8030
ทั้งหมด1337914

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online