ไปสัมมนาที่เขื่อน 4

  วันอำลา

   

 สันเขื่อนวชิราลงกรณ ซึ่งมีความยาวถึง ๑,๐๑๙ เมตร

      ในการมาสัมมนาและบำเพ็ญประโยชน์กันครั้งนี้ มีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญและเรายังไม่ได้ทำ ก็คือการขึ้นไปชมธรรมชาติที่สวยงามของเขื่อนวชิราลงกรณ

       เนื่องจากกิจกรรมที่มากมายของพวกเรา มาสัมมนากันถึงเขื่อนทั้งทีแล้วไม่ได้ไปชมเขื่อนแล้วจะกลับไปคุยให้ใครฟังได้ เป็นไปได้อย่างไรกัน..! พวกเราจึงนัดหมายกันว่า จะไปชมเขื่อนกันพรุ่งนี้ในตอนเช้า ก่อนจะถึงพิธืปิดสัมมนากันอย่างเป็นทางการ

     วันสุดท้ายที่บริเวณที่ทำการเขื่อนวชิราลงกรณปรากฏว่า ตอนเช้าตรู่มีหมอกหนาไปทั่วบริเวณ แล้วค่อยๆจางหายไปในตอนสายๆ ซึ่งที่จริงแล้วมันก็คงจะเป็นอย่างนี้ของมันทุกๆวัน

    ในที่สุดพวกเราก็ได้ขึ้นมาชมเขื่อนกัน โดยนั่งรถจากอาคารสโมสรโดยใช้เวลาเพียง ๕ นาทีก็ถึงเขื่อน เขื่อนวชิราลงกรณเป็นเขื่อนหินถมแห่งแรกของประเทศไทย ที่ดาดผิวหน้าด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ตั้งอยู่บนแม่น้ำแควน้อย ในท้องที่ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี

       เขื่อนวชิราลงกรณ มีความสูงจากฐาน ๙๒ เมตร สันเขื่อนกว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๑,๐๑๙ เมตร  นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานชื่อ " เขื่อนวชิราลงกรณ" แทนชื่อ " เขื่อนเขาแหลม" ซึ่งเป็นชื่อเดิม

        เขื่อนวชิราลงกรณแห่งนี้นับเป็นเขื่อนอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ ลำดับ 4 ของประเทศไทย รองจากเขื่อนภูมิพล เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนสิริกิติ์

 

 ที่ทำการผลิตกระแสร์ไฟฟ้า ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตมองเห็นแต่ไกล

เมื่อมาถึงกันแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปชมตรงที่ตัวเองต้องการและถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก

  อยากชมด้านไหนก็เชิญกันตามอัธยาศัย

  

อยากนั่งเรือชมธรรมชาติเหนือเขื่อนก็ไม่มีเวลาเสียแล้ว เอาไว้เที่ยวหน้าก็แล้วกัน

      เมื่อชมเขื่อนเป็นที่พอใจแล้วเราก็กลับมา ร่วมพิธืปิดการสัมมนาประจำปี ๒๕๕๒  โดยผู้อำนวยการสำนักงานได้กล่าวชื่นชม ความร่วมมือร่วมใจของทุกคน จนการสัมมนาในครั้งนี้สำเร็จลงด้วยดีและได้ผลเป็นไปตามเป้าหมายทุกประการ และขอให้ทุกคนเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ

 

ภาพนี้จะเป็นการถ่ายภาพร่วมกันเป็นภาพสุดท้าย ในการไปสัมมนาและบำเพ็ญประโยชน์ที่เขื่อนวชิราลงกรณในครั้งนี้ ต่อจากนี้ก็จะกลับโดยไม่ต้องตามกันเป็นขบวนเหมือนขามา

      “ พี่พี่ คร้าบ ช่วยนำสัมภาระมาวางไว้หน้าห้องพักนะครับ พี่ไม่ต้องหอบหิ้ว เดี๋ยวรถจะไปขนมาเองนะครับ”  ท็อปทำหน้าที่บริการด้วยโทรโข่งอีกครั้งหนึ่ง      

       “ใครมารถคันไหนกลับรถคันนั้นนะคร้าบ พี่พี่ ไม่ต้องรอกันเหมือนขามานะครับ”  อั๋นสะพายกล้องวีดีโอเก็บไว้ก่อนแล้วหันมาทำหน้าที่โทรโข่ง ช่วยกันอีกแรงหนึ่ง 

       ขากลับนี้เป็นที่ตกลงกันว่าเป็นไปตามอัธยาศัย  หมายความว่าไม่ต้องเป็นขบวนเหมือนเมื่อตอนขามา  เราออกเดินทางทยอยกันกลับ สำนักงานที่นครปฐม เมื่อเวลาประมาณ ๑๐ โมงเช้าของวันเสาร์ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๒

        รถหลายคันมุ่งหน้ากลับสำนักงานที่นครปฐมเลยทีเดียว แต่บางคันก็จะต้องแวะที่ไหนสักแห่งหนึ่ง เพื่อซื้อของอะไรสักอย่างเสียก่อน เหมือนเป็นความเคยชินที่ไปไหนในตอนขากลับก็จะต้องแวะไม่มากก็น้อย เหมือนคนเป็นโรคชนิดหนึ่ง

  ตลาดทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อมาถึงในตอนแรกนั้น ดูไม่ค่อยคึกคักนัก


                    

 ไหนๆมาแล้วก็เข้าไปดูสักหน่อย ว่ามีอะไรขายบ้างจะได้ไปคุยได้ว่าเคยมาเที่ยวแล้ว

        รถวิ่งไม่นานก็ถึงตลาดทองผาภูมิซึ่งเป็นทางผ่าน  ที่นี่มีของขายทั้งของสดของแห้งมากมาย  โดยเฉพาะพืชผักและปลาสดหลายชนิด ตัวใหญ่ๆทั้งนั้นมี ปลาบึก ปลายี่สก ปลากด ปลานิล แม่ค้าบอกว่าปลาเหล่านี้จับมาจากแม่น้ำแควน้อยที่ไหลมาจากเขื่อน ราคาก็กิโลละ ๖๐ – ๑๕๐ บาทแล้วแต่ขนาดและชนิดของปลา

 

 แผงขายผักต่างๆ ในตลาด

 แผงปลาสด รู้สึกว่าเงียบเหงาไม่มีคนพลุกพล่าน                       

 แผงปลาส้ม มีที่ใส่ถุงเอาไว้แล้ว เพื่อความสะดวกในการหยิบมาขาย 

      ที่ขึ้นหน้าขึ้นตาอีกอย่าง ซึ่งคนที่มาแวะตลาดนี้จะต้องซื้อกลับบ้านด้วยก็คือ ปลาส้ม จะเห็นปลาส้มมีขายอยู่ทั่วไป ในกาละมังก็มี บางร้านใส่ถุงพลาสติกไว้แล้วเพื่อหยิบขายได้ทันที ส่วนใหญ่แม่ค้าจะบรรจุถุงละ ๖ ขีด (๖๐๐ กรัม) ม่ถึงกิโล ขายถุงละ ๖๐ บาท 
    “ปลาส้มเป็นยังไง ต้อย พี่ยังไม่เคยกินเลย อร่อยไหม” ผู้เขียนถามต้อยที่เดินชมตลาดไปด้วยกัน
    “ก็อร่อยดีนะพี่ เขาทำจากปลาได้หลายชนิด เช่นปลานิล ปลายี่สก ที่นี่เขาจะทำจากปลาตัวใหญ่ๆ ที่เห็นก็ทำจากปลายี่สกหรือปลาบึก” 
       “พี่เห็นมีข้าวสุกผสมอยู่ด้วย เขาทำกันอย่างไรนะ ปลาส้มเนี่ยะ ต้อยรู้ไม๊”

ต้อย

เขาก็เอาปลาที่ทำให้สะอาดแล้ว มาคลุกกับข้าวสุกและกระเทียมบด ใส่เกลือป่นด้วย แล้วหมักไว้ ๓ - ๔ วัน ก็จะได้ปลาส้มแล้วหละพี่ ถ้าจะอร่อยต้องออกเปรี้ยวนิดๆ

      เวลาทอดถ้าจะไม่ให้ติดกระทะ ก็ต้องเอาปลาส้มไปคลุกกับไข่เสียก่อน นอกจากจะไม่ติดกระทะแล้วยังเหลืองน่ากินอีกด้วยนะพี่ ” ว่าแล้วต้อยเธอก็ซื้อปลาส้มกลับบ้านไปหลายถุง เธอบอกว่าที่นี่ปลาตัวใหญ่ดี
      พวกเราเดินกันที่ตลาดทองผาภูมิและซื้อของคนละนิดหน่อยแล้ว ก็ออกจากตลาดทองผาภูมิเราตั้งใจว่าจะมุ่งกลับสำนักงานที่นครปฐมกันเลย 

     “กลับไปนี่เราต้องแวะซื้อของข้างทางกันด้วยนะ อย่าลืม!”   เสียงติ๋มเตือน   “เดื๋ยวไม่มีของติดมือกลับบ้าน” 

      ที่ตั้งใจจะไม่แวะที่ไหนอีกก็คงจะต้องแวะจนได้ มิฉนั้นจะมีความรู้สึกว่า ขาดอะไรไปบางอย่างจริงๆด้วย

    

 ติ๋ม

       ในขณะที่รถเคลื่อนออกไปจากตลาดนั้น เราก็เริ่มคุยกันมาเรื่อยๆ  “อ้าว! ตา เมื่อตอนเดินที่ตลาดได้อะไรมาบ้างล่ะ เห็นว่าจะมาหาซื้อเห็ดโคนไม่ใช่หรือ” ผู้เขียนหันไปถามตา
       “ก็ใช่น่ะซีพี่ ตาเดินดูทั่วตลาดไม่มีเห็ดโคนขายเลย ได้แต่ปลาส้มมา ๒ ถุงเอง สงสัยแม่ค้าจะเอาไปขายในเมืองหมด เพราะได้ราคาดีกว่า นี่ตาตั้งใจจะมาซื้อเห็ดโคนโดยเฉพาะนะเนี่ย”

       ตาเล่าต่อว่าปกติตอนนี้จะมีเห็ดโคนออกเยอะ เพราะอากาศร้อนจัดและมีฝนตก เห็ดจะขึ้นเองโดยธรรมชาติ มักจะขึ้นตามตอไม้ผุๆ หรือใกล้จอมปลวก บางทีเขาก็เรียกว่าเห็ดปลวก แล้วถ้าขึ้นตรงไหนก็จะขึ้นตรงนั้น เห็ดโคนมีในหลายๆจังหวัด แต่ที่กาญจนบุรีดอกจะใหญ่กว่าที่อื่น  

  “ที่บ้านหนูก็มีนะ มันขึ้นที่จอมปลวกหลังบ้าน หนูยังเอาไปทำกับข้าวกินเลย” เพ็ญบอก
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราดูตามร้านข้างทางอีกที” เป็นเสียงของก้อย แล้วเธอก็สั่งนายบี พนักงานขับรถ 

   “นี่ บี  เธอช่วยมองด้วยนะ ถ้าเห็นร้านขายของข้างทาง เธอแวะเข้าไปเลยนะ เข้าใจไหม”    เสียงนายบีตอบมาจากที่นั่งคนขับ “ครับพี่ ครับพี่” 
    หลังจากนั้นนายบีก็เป็นอันตั้งใจมองข้างทางโดยเคร่งครัด พอเห็นร้านแรก นายบีรีบเลี้ยวเข้าไปทันทีด้วยความโล่งใจว่าเจอร้านขายของแล้ว

   เราแวะดูหลายร้าน ส่วนใหญ่จะขายเหมือนๆกัน มีส้มโอ กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า หน่อไม้ไผ่ตงที่ดองไว้ในขวด ถั่วลิสง พืชผักต่างๆที่ชาวบ้านปลูกแล้วเอามาขายเช่น มะเขือ ฟักทอง ฟักแฟง ถั่วฝักยาว ก็มี 

        เราแวะซื้อร้านที่ดูเหมือนมีของวางขายมากกว่าร้านอื่น โดยเฉพาะส้มโอ ราคาถูกมาก ส้มทองดีลูกเล็ก ขายลูกละ ๕ บาท ส้มขาวน้ำผึ้งลูกใหญ่ ๓ ลูก ๕๐ บาท แม่ค้าให้เราชิม รสชาดก็หวานใช้ได้

        แกบอกว่าชาวบ้านปลูกเอง แถมยังคุยว่าทางนครชัยศรีก็มาเอาส้มที่นี่ไปขายเป็นคันรถ ไม่รู้จริงหรือเปล่า เพราะเคยได้ยินว่าทางนี้ก็เอาส้มโอที่นครชัยศรีมาขายเป็นคันรถเหมือนกัน  เราซื้อส้มโอกันไปเยอะเลย 

        แม่ค้าร้านนี้ใจดีแถมส้ม กล้วย ให้อีก  ก้อยก็เลยยกของแถมให้นายบีเอากลับบ้านไป นายบียิ้มออก เอาของแถมไปวางไว้ใกล้ตัว กันลืมเวลากลับบ้าน  ! 
        พอเลยร้านนี้มาก็เจอร้านขายเห็ดโคน  แต่เป็นเห็ดที่บานมากแล้ว แม่ค้าบอกว่าวันนี้ไม่มีเห็ดตูมเลย

       อย่างที่บานแล้วที่นี่จะขายกิโลละ  ๑๕๐ บาท ถ้าเป็นเห็ดตูมจะขายกิโลละ ๓๕๐ บาท แต่ถ้าเป็นในเมือง ก็จะขายกันกิโลละกว่า ๔๐๐ บาท  เมื่อหยิบจากในถุงออกมาดูจะเห็นว่าเห็ดที่นี่อวบอ้วนมาก คงจะสวยมากถ้ามันยังตูมอยู่

 

 เพ็ญกำลังเลือกเห็ดโคน แต่ไม่มีดีๆให้เลือกแล้ว

       ท้ายที่สุดตาก็เลยได้ซื้อเห็ดโคนตามที่ได้ตั้งใจไว้ แม้จะไม่ประทับใจเท่าไรเพราะว่าได้แต่เห็ดที่บานเกินไป และทุกๆคนก็ได้ซื้อของคนละนิดละหน่อย ก็เป็นอันสบายใจกันแล้ว หลังจากนี้รถคันของเราก็จะตรงกลับสำนักงานที่นครปฐมกันเลย จะไม่แวะที่ไหนอีก ไม่รู้ว่าจะถึงสำนักงานเป็นคันสุดท้ายหรือเปล่า...!

     ในตอนแรกคิดว่าจะให้จบในตอนนี้ แต่ยังมีภาพต่างๆของผู้ที่ได้ไปร่วมสัมมนากันในครั้งนี้ ที่จะลงอีก ดังนั้นถ้าลงในตอนนี้ก็ดูจะยาวเกินไป 

     จึงขอลงภาพเหล่านั้นไว้อีกหน้าหนึ่ง เป็นตอนที่ 4 (ต่อ) กรุณาเปิดไปดูตอนต่อไปอีกจ้า....หล่อหรือสวยกันแค่ไหนต้องตามไปดูนะจ๊ะ 

     ผู้เขียน 

 www.chetsamian.org  ขอสงวนลิขสิทธิ์ข้อมูลและรูปภาพบนเว็บไซต์ทั้งหมด โดยไม่อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ ทำซ้ำ แก้ไข หรือ ดัดแปลง ไม่ว่าจะเป็นบางส่วนหรือทั้งหมด หากท่านใดต้องการข้อมูลบนเว็บไซต์ www.chetsamian.org กรุณาติดต่อ นายแก้ว โดยส่ง email ไปที่ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.    เพื่อขออนุญาติเสียก่อน เนื่องจากข้อมูลและรูปภาพบางเรื่องและบางชิ้น เป็นของท่านผู้เขียนและท่านสมาชิกที่ได้เขียนเรื่องต่างๆ และให้ขอยืมภาพต่างๆมาลงไว้ ซึ่งทางผู้จัดทำเว็บไซต์จำเป็นจะต้องขออนุญาตจากทางเจ้าของผลงานก่อนทุกครั้ง จึงเรียนมาเพื่อทราบ. 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้21
เมื่อวานนี้303
สัปดาห์นี้1411
เดือนนี้10658
ทั้งหมด1340542

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

2
Online