เที่ยวมาเลเซีย ๑ มะละกา

      

   เมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมา  เพื่อนผมคนหนึ่งได้เอาหนังสือท่องเที่ยวมาเลเซียมาให้ผมอ่าน   ทำให้ผมเกิดความสนใจและอยากไปเที่ยวมาเลเซีย

     แต่เนื่องจากงบประมาณของผมมีจำกัด ผมจึงได้พยายามศึกษาจากหนังสือนำเที่ยวและถามจากเพื่อนๆที่เคยไปมาแล้ว ผมตั้งใจว่าจะไปแบบซำเหมาทัวร์  (แบบเงินน้อย) เพื่อจะได้สัมผัสสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง จึงไม่ได้ใช้บริการของบริษัททัวร์ การเดินทางครั้งนี้มี แม่ ป้า และครอบครัวของผมคือ คุณสุธิดาและน้องบีบี ร่วมเดินทางไปด้วย ผมเริ่มวางแผนการเดินทางตลอดจนศึกษาเส้นทางต่างๆ ในประเทศมาเลเซียโดยละเอียด

     ผมวางแผนการเดินทางไว้ระหว่างวันที่ 4 - 8 กรกฎาคม 2553 โดยออกเดินทางจากประเทศไทย ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2553 ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย และจะเดินทางกลับในวันที่ 8 กรกฎาคม 2553 ด้วยสายการบินเดิม (เพราะผมชื้อตั๋วไปกลับ)

     เนื่องจากคุณสุธิดามีกำหนดการที่จะไปดูงานการประชาสัมพันธ์ ในวันที่ 5 กรกฎาคม 2553 ที่มะละกาและวันที่ 6 - 7 กรกฎาคม 2553 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ดังนั้นวันที่ 4 - 5 พวกเราก็จะเที่ยวเมืองมะละกาก่อน แล้วจึงจะเดินทางไปกรุงกัวลาลัมเปอร์ตอนบ่ายๆ ของวันที่ 5 ส่วนวันที่ 6 ผมตั้งใจจะไปเที่ยวสิงค์โปร์ ที่ผมอยากไปมานานแล้ว โดยแม่ ป้าและน้องบีบี จะอยู่ที่กัวลาลัมเปอร์ ประกอบกับการเดินทางจากมาเลเซียไปสิงค์โปร์ ใช้เวลาเดินทางเพียงชั่วโมงเดียวโดยเครื่องบิน ดังนั้นผมจะสามารถเดินทางแบบไปเช้ากลับเย็นได้อย่างสบาย วันที่ 7 - 8 เที่ยวในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และเดินทางกลับประเทศไทยวันที่ 8 กรกฎาคม 2553 เวลาสามทุ่ม (ตามเวลาของมาเลเซีย) 

      ในที่สุดก็ได้เวลาเดินทางสู่ประเทศมาเลเซีย ตามกำหนดการที่ได้วางเอาไว้ คือเริ่มต้นเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ โดยสายการบินแอร์เอเชีย เครื่องบินออกเวลา 10.55 น.ตามเวลาประเทศไทย

     เนื่องจากเวลาท้องถิ่นของมาเลเซียเร็วกว่าของประเทศไทย 1 ชั่วโมง ดังนั้นเมื่อเดินทางถึงมาเลเซีย จึงต้องปรับเวลาให้เป็นเวลาของมาเลเซียด้วย จากประเทศไทยถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้นเอง

   สนามบินมาเลเซีย ในกรุงกัวลาลัมเปอร์

    เครื่องบินไปลงที่สนามบิน LCCT กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเป็นสนามบินของสายการบินโลว์คอร์ส (ราคาค่าโดยสารถูก) ทั้งหลายแหล่  ส่วนสนามบินนานาชาติ ที่เหล่าบรรดาตั๋วราคาแพงมาลงจอด คือสนามบิน KLIA ซึ่งทั้งสองสนามบินอยู่ไกลกันมากทีเดียว

   สำหรับสนามบิน LCCT  มีรถไฟความเร็วสูงวิ่งจาก kl Sentral (ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์) ใช้เวลาเพียง 30 นาที ก็มาถึงสนามบิน LCCT ซึ่งนับว่ารวดเร็วและสะดวกสบายมาก

    หลังจากที่เครื่องลงเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็ต้องผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งผู้โดยสารต้องเดินไกลมาก จากจุดที่เครื่องบินจอดจนถึงจุดตรวจคนเข้าเมือง และฝนตกอีกต่างหาก จึงทำให้อากาศหนาวกันเลยทีเดียว หลังจากที่ผ่านขั้นตอนต่างๆเสร็จแล้ว ก็เริ่มเอ๋อ (งง) กินทันทีเพราะเพิ่งมาเป็นครั้งแรก เอาล่ะๆ เราจะได้เริ่มใช้ความรู้เท่าที่มีกันซะที

   ผมตรงไปถามเส้นทางที่จะไปมะละกา เป็นภาษาอังกฤษที่บูท information แม่เจ้า !! information บอกว่า Malaysia only กรรมแล้ว ภาษาอังกฤษยังแย่นี่เล่นภาษาบ้านตัวเอง เลยจบข่าว เลยใช้วิธีการถามเอาจากคนรอบๆ ตัวก็แล้วกัน

   อ้อ..!! ลืมไป หลังจากที่ผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง พอลงบันไดเลื่อนมาจะเจอบูทขายตั๋วรถไฟความเร็วสูงเข้าเมือง ซื้อเลยครับเชื่อเถอะ แพงกว่านั่งรถบัสไม่กี่ RM หรอก (RM = มาเลเซียริงกิต ซึ่ง 1 RM = 10 บาท โดยประมาณ) สะดวกและรวดเร็วเลยล่ะครับ บอกแล้วว่ามาครั้งแรกผิดถูกก็ขอผ่านครับ เพราะตำราบอกมาว่ารถบัสราคาประหยัดกว่า

   รถบัสจากสนามบินกรุงกัวลาลัมเปอร์ไป มะละกาใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 2 ชั่วโมง

     หลังจากที่เดินถามเส้นทางแล้วได้เรื่องว่า ถ้าจะไปมะละกาไม่จำเป็นต้องเข้าเมือง สามารถนั่งรถบัสจากนี่ไปได้เลย ฮ่าๆๆ สบายละ ผมหาฟู้ดเซ็นเตอร์แถวๆนั้นไม่เจอ เลยพาทุกคนไปนั่งที่ร้าน Mc กันก่อนเพราะเริ่มหิวกันแล้ว (จริงๆ ก็ไม่ได้อยากกิน Mc หรอก) ร้านแมคโดแนลที่นี่คนแน่นมาก ต่อคิวกันยาวเหยียด

    ขณะที่รออาหารอยู่นั้นผมก็ออกไปรับ sim card ที่ติดต่อซื้อไว้แล้ว ที่บริเวณด้านหน้าของอาคาร เรียบร้อยแล้วก็ลองโทรกลับประเทศไทยกันเลยนาทีละ 0.16 RM (ไม่ต้องเปิดโรมมิ่งให้เสียนาทีละ 45 บาทกันแล้ว) ถ้าจองผ่านทางแอร์เอเชียจะราคาอันละ 80 บาท เขามีเงินมาให้อยู่ในเครื่องด้วย 50 บาท ซึ่งผมว่ามันเพียงพอสำหรับติดต่อ เมื่อคราวจำเป็นในระยะเวลา 4-5 วัน

    หลังจากนั้นผมก็เริ่มเดินหาที่จอดรถบัสที่จะไปมะละกา ซึ่งต้องเดินไปสุดเลยช่องจอดรถที่ 7 เวรกรรม ฟู้ดเซ็นเตอร์อยู่ตรงนี้เอง (หมดค่า Mc ไปเกือบ 40 RM ประมาณ 400.- บาทไทย) รถบัสที่นี่ค่อนข้างตรงเวลานะครับ ไม่ถึงเวลาต่อให้คนเต็มก็ไม่ออก เสียค่าโดยสารคนละ 22 RM (คูณ10.- บาท )

     ใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการเดินทางจากสนามบิน LCCT ไปสู่มะละกา ท้องถิ่นที่นี่เขาเรียก เม๊ะละกา ( Melaka) ครับผม ระหว่างทางชมบ้านชมเมืองกันซะหน่อย ทั้งๆที่ง่วงแสนจะง่วงแต่บรรยากาศสวยดีนะครับ บ้านเมืองเขาจัดเป็นกลุ่มๆเลย ช่วงไหนที่มีบ้านคนก็จะมีอยู่กันเต็มไปหมดเลย

 

 สถานีขนส่งมะละกา  melaka sentral

      เมื่อเดินทางถึงมะละกาแล้ว รถจะมาจอดที่ Melaka Sentral ซึ่งเป็นขนส่งคล้ายๆบ้านเรา จากที่นี่ต้องต่อ Taxi ไปโรงแรม เพราะตามตำรา (อีกแล้ว) บอกว่านั่งรถเมล์มันไม่สะดวกเอาซะเลย เสียค่ารถแท๊กซี่ไป 15 RM ปรากฏว่าโรงแรมที่เราจะไปพักอยู่ใกล้ขนส่งนิดเดียว ซึ่งจริงๆผมว่าต่อราคาที่ 12 RM ก็พอ (ถ้าขึ้นรถเมล์ก็เสียเงินคนละ 1.5 RM ถ้ามีของน้อยไม่พะรุงพะรังมาก ไปรถเมล์เถอะครับ)

โรงแรม Bay view ที่พวกเราไปพัก ที่เมืองมะละกา

     รถเมล์ที่นี่จะวิ่งเป็นวงกลมอยากชมเมืองก็นั่งรถเมล์นี่แหละ แนะนำให้ใช้บริการรถเมล์เพื่อความประหยัด โรงแรม BayView ที่เราเข้าพักโดยรวมก็ดีนะครับ ตรงข้ามโรงแรมมีร้าน เซเว่นอีเล๊ฟเว่นเอาไว้ฝากท้องได้ พนักงานพูดไทยได้ "สวัสดีค่ะ สบายดีค่ะ" น่ารักมาก

ทิวทัศน์บ้านเรือนด้านหนึ่งของเมืองมะละกา มองจากบนโรงแรมที่พัก

     จากโรงแรมพอออกมาเลี้ยวซ้าย เดินตรงไปเรื่อยๆจะพบกับแหล่งท่องเที่ยวครับ ถ้าดูจากแผนที่สถานที่สำคัญๆ จะกระจุกอยู่ที่เดียว เดินชมกันให้เพลินได้เลยไม่ต้องกลัวพลาด หรือถ้ามีเงินมากหน่อยก็นั่งรถสามล้อถีบ ชั่วโมงละ 40 RM พาชมกันครบเลยทีเดียว แต่ผมขอเดินดีกว่าเพราะไม่ได้อยากไปเที่ยวทั้งหมดหรอก กลัวคราวหน้าถ้ามีโอกาสมาอีกจะได้มีอะไรให้ดู  ที่นี่มีทั้งชาวจีนและแขกอาศัยอยู่รวมกันครับ

ถนนสายนี้การจราจรไม่ค่อยหนาแน่นมากนัก

 มีแผงขายผลไม้ข้างทาง สับปะรดลูกละ 2 ริงกิต (ประมาณ 20 บาท)

    ช่วงเวลากลางคืนของที่นี่ถ้าไม่จำเป็น ไม่ควรออกไปเดินไหนต่อไหนคนเดียวนะครับ เค้าบอกว่ามันค่อนข้างอันตราย (ธรรมดาถึงมาก) ผมก็เลยพักผ่อนดีกว่า เพราะว่าผิดแผนเรื่องเวลาตั้งแต่มาถึงแล้วละ เดิมตั้งใจว่ามาถึงมะละกาไม่น่าเกินบ่าย 3 เอาเข้าจริงๆ ถึงเกือบ 6 โมงเย็น

    พวกเราลงไปหาอาหารเย็นรับประทานแถวๆโรงแรมที่พัก เราพบว่ามีร้านอาหารตามสั่งแบบบ้านเราหลายร้าน อาหารแต่ละอย่างเขามีป้ายบอกราคาไว้เสร็จ ราคาอาหารตกจานละ 5 – 7 ริงกิต มีร้านหนึ่งมีเมนูข้าวผัดพริกด้วย แต่ความอร่อยสู้บ้านเราไม่ได้เลย แม่กับป้าผมบ่นกันใหญ่ว่าที่นี่ของแพง   นอกจากนั้นมีแผงขายสับปะรดข้างทาง ราคาลูกละ 2 ริงกิต รสชาดก็หวานดี

    หลังจากนั้นพวกเราก็กลับเข้าที่พัก เก็บกระเป๋าเดินทางเตรียมกลับกัวลาลัมเปอร์ในบ่ายวันรุ่งขึ้น  ผู้คนที่มะละกาน่ารักมาก ถามอะไรเขาก็เต็มใจตอบ แล้วเขาจะถามกลับประโยคสุดท้ายว่า คุณมาจากไหน พอบอกว่า ประเทศไทย เขาก็จะพูดคำว่า สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ กันเป็นแถวๆ เลย

  แหล่งอารยะธรรมเก่าของมะละกา

 คลองที่กำลังปรับปรุงเพื่อล่องเรือชมเมือง ซึ่งจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของมะละกา 

  จตุรัสดัชท์ มีสามล้อถีบบริการชมเมือง ชั่วโมงละ 40 ริงกิต

      เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วผมก็ตัดสินใจไปขนส่งโดยขึ้นรถเมล์ดีกว่า ถือโอกาสชมเมืองไปในตัวด้วย เป็นรถร้อนไม่มีแอร์มีสองสีให้เลือกนั่ง แดง กะ เขียว สำหรับคนที่อยากจะไปเที่ยวแบบเช้าเย็นกลับก็ได้นะครับ เพราะคิดว่าคงพอล่ะโดยฝากกระเป๋าเดินทางไว้ที่ขนส่งของเค้าได้ครับ แล้วก็มานั่งรถเมล์เล่นกัน บ่ายๆก็กลับ

      ที่นี่มีอาหารขึ้นชื่อคือ Chicken Rice Ball หน้าตาเป็นยังไงผมไม่รู้หรอกไม่ได้กิน แต่เค้าบอกว่าก็ข้าวมันไก่นั่นเอง แต่ว่าเขาเอาข้าวมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ ใครมีโอกาสลองหาชิมดูนะครับ  อ้อ ที่มะละกานี่เค้าก็มี eyes of malaysia เหมือน London eyes หรือ Singapore flys แต่น่าจะใหญ่ไม่เท่า ผมนั่งรถผ่านไม่ได้เข้าไปดูใกล้ๆ หรอก

 eyes of Malaysia  ชิงช้าสวรรค์สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญญลักษ์ของเมืองมะละกา

      พอรถเมล์ถึงขนส่งเมืองมะละกา ผมก็ซื้อตั๋วรถโดยสารเพื่อนั่งกลับ เข้าเมืองกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งรถโดยสารจะต้องไปจอดที่สถานี KL Sentral ทุกคัน (ขอบอกว่ารถโดยสารที่นี่ส่วนใหญ่จะนั่งสบายมาก) ซึ่งที่นี่เป็นศูนย์รวมของการคมนาคมเกือบทั้งหมดของเขา

     การเดินทางจากขนส่งเข้าเมือง ผมหาในส่วนของที่เป็นที่จอดรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดินไม่เจอ ก็เลยอาศัยนั่งรถเมล์ Rapid Car เข้าเมืองแทน ค่าโดยสารคนละ 2 RM ซึ่งเขาบอกว่าตั๋วสามารถขึ้นรถเมล์กี่รอบก็ได้ใน 1 วัน แต่ผมไม่ได้ลองหรอกนะ

     เมื่อถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์ พวกเราก็ตรงไปเข้าโรงแรมที่พักที่ได้จองไว้ล่วงหน้าแล้ว

ผู้ที่ร่วมเดินทางไปด้วย และพบกันในตอนหน้าที่ กัวลาลัมเปอร์ ครับ

 โปรดติดตามตอนต่อไปใน เที่ยวมาเลย์เซีย ตอน KL ครับผม...

เขียนและถ่ายภาพโดย ลุงจำรัส ๗ สิงหาคม ๒๕๕๓

ข้อมูลของ "ลุงจำรัส"

เป็นคนเจ็ดเสมียนโดยกำเนิดแท้ๆทีเดียว เป็นหลานคนหนึ่งของ  ครูหิรัญ สุวรรณมัจฉา คนเก่าแก่ของตลาดเจ็ดเสมียน  เมื่อเป็นเด็กๆอยู่กับพ่อแม่และยายในห้องแถวตลาดเจ็ดเสมียน จนกระทั่งเรียนจบชั้นประถมปีที่ ๔ จากเจ็ดเสมียนแล้ว ได้ไปอยู่ที่กรุงเทพฯกับป้าของเขา และเรียนหนังสือจนจบปริญาตรี จึงได้เข้ารับราชการ ต่อมาได้เรียนต่อจนจบปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในสาขาสื่อสารมวลชน และยังรับราชการอยู่จนปัจจุบันนี้.

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้136
เมื่อวานนี้460
สัปดาห์นี้1986
เดือนนี้11233
ทั้งหมด1341117

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online