ไปเที่ยวพม่า ตอน 5
เสร็จจากกินอาหารกลางวันกันแล้ว ก็เดินทางไปในตัวเมือง ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกสองสามแห่งตามโปรแกรมในวันนี้ ซึ่งแต่ละที่ก็คงใช้เวลาไม่มากมายอะไร มีสถานที่ สองสามแห่งซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน ลงจากรถทีเดียวก็ไปได้ทุกแห่ง แต่ตอนแรกนี้เขาจะพาไปไหว้พระนอนกันก่อนเป็นที่แรก
พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี -( Kyauk Htat Gyi Reclining Buddha)
วัดนี้ตั้งอยู่บนถนนชเวกองได (Shwe Gon Taing หรือ Shwe Gon Dine ตามคำอ่าน) เขตตามุย (Tamwe Township) ไม่ไกลจากดาวน์ทาวน์ของเมืองย่างกุ้งเท่าไหร่ ด้านนอกก็มีร้านขายของที่ระลึกสองสามร้าน ทางเข้าด้านนี้จะเป็นด้านที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มากัน เพราะไม่ต้องเดินถอดรองเท้ากันมาแต่ไกล ลงรถปุ๊บ ก็สามารถเข้าวิหารได้ทันที
แต่ถึงอย่างไรก่อนเข้าตัววิหาร ก็ต้องถอดรองเท้าฝากไว้ด้านหน้าก่อน ที่วัดนี้มีข้อดีคือ ไม่มีคนมารุมขายของไหว้พระ มีเคาน์เตอร์ขายดอกไม้อยู่เพียงแผงเดียวเท่านั้น
ลงจากรถกันแล้ว ก็เดินเข้าไปข้างใน ผ่านประตูเข้าไปก็เห็นพระนอน เจาทัตยีองค์ใหญ่และยาวมาก วิหารเป็นอาคารโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่โตรับองค์พระ องค์ใหญ่ชนิดที่กล้องทั่วไปไม่สามารถเก็บภาพทั้งองค์ได้ มีดวงตาสวยงามเป็นประกาย ขนตางอนเห็นได้ชัด คนไทยที่มาเที่ยวกันจึงเรียกกันว่าพระนอนตาหวาน ก็จริงอย่างที่เขาเรียกกันนะครับ
ซุ้มขาย ธูป เทียน แผ่นทอง และดอกไม้ไม้กำ มีซุ้มเดียว ไม่มีการขายแข่งกันหลายเจ้าให้ยุ่ง
เราเดินไปซื้อดอกไม้ธูปเทียนที่ซุ้มขาย เขาก็จะมีแผ่นทองคำเปลวแผ่นเล็กให้มาด้วย เป็นชุดๆ ซึ่งราคาชุดละเท่าใดนั้นผมก็ไม่ได้ถามคุณหวานซึ่งเป็นคนไปซื้อ
ในวันนี้ก็มีคนมากราบไหว้พระนอนตาหวานนี้มากพอสมควร และคงจะมีคนมาทยอยกันมาทั้งวัน มีพวกทัวร์มามาสองสามพวก ที่เห็นชัดๆก็มาจากเวียดนาม เพราะว่าใส่หมวกกะโล่มาลักษณะเหมือนงอบผมจึงเดาจากที่เห็น ส่วนพวกอื่นนั้นไม่แน่ใจอาจจะมาจากไทย - ลาว หรือจีนก็ได้
ไหว้พระกันเสร็จแล้ว ก็เดินชมไปรอบๆองค์พระ แล้วก็ถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึก กันคนละรูปสองรูป ที่แห่งนี้ก็เหมือนที่แห่งอื่นๆ ที่เขาจะเขียนชื่อหรือประวัติ ของพระนอนองค์นี้เอาไว้บ้าง แต่ก็จะเป็นภาษาพม่า ซึ่งอ่านกันไม่ออกเลยก็เลยไม่รู้ว่าเขาเขียนอะไรบ้าง ถามไกด์ๆก็บอกคร่าวๆเท่านั้น
สถานที่แห่งนี้เราไม่ต้องเสียค่ากล้องถ่ายรูป หรือกล้องวีดิโอ เพราะว่ามีสถานที่บางแห่งต้องเสียค่ากล้องด้วยครับ โดยทั่วไปจะเสียเงินประมาณ 10 บาทหรือ 300 จ๊าด เท่านั้น ในกรณีที่เราไม่รู้ว่าต้องเสียเงิน ถ้าเจ้าหน้าที่เขาเห็นเราถือกล้องหรือถ่ายรูปอยู่ เขาก็จะมาสกิดเราและยื่น บัตรใบเล็กมาให้ เราจ่ายเงินไป แล้วก็เก็บบัตรใบนั้นไว้ให้ดี เผื่อจะมีคนมาเก็บเงินเราซ้ำอีกครับ
พระพุทธไสยาสน์ เจาทัตยี หรือพระนอนตาหวาน เป็นพระนอนปางพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ มีความยาวกว่า 70 เมตร เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดและมีความงดงามที่สุดในประเทศพม่า ทั้งพระพักตร์และขนตาที่งดงาม
โดยเฉพาะดวงตาของท่านเป็นแก้ว ผลิตมาจากประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะ รวมไปถึงพระจีวรที่มีความพลิ้วไหวสมจริง และเมื่อเดินมายังปลายสุดพระบาทของพระนอนองค์นี้ ตรงที่พระบาทมีภาพวาดเป็นมิ่งมงคลสูงสุด เพราะประกอบด้วยลายลักษณ์ธรรมจักร ในบริเวณใจกลางฝ่าพระบาทและล้อมด้วย รูปมงคล 108 ประการ
ส่วนที่บริเวณด้านหน้าวัด เจาทัตยีนั้น มีร้านค้าขายของที่ระลึกมากมายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อ และมีการนำเอานก ปลา ให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อเพื่อนำมาปล่อย เหมือนที่เราเคยเห็นบ่อยๆตามวัดต่างๆที่เมืองไทยบ้านเราครับ และที่ร้านค้านี้แทบทุกร้าน ก็จะมีไม้แกะสลักเกือบทุกร้าน เพื่อจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว
ผู้ที่สนใจจะซื้อ ก็ต้องเลือกร้านที่มีความประณีตในการแกะสลักซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว และก่อนที่จะตกลงซื้อถามเรื่องราคาดูเสียก่อน ส่วนใหญ่พ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้จะพูดภาษาอังกฤษได้ มากน้อยก็แล้วแต่บุคคลครับ ก็ยังดีที่พอสื่อสารกันรู้เรื่อง แต่ถ้าสนใจจริงๆก้เรียกไกด์ของเราให้มาเจรจาให้ดีกว่านะครับ จะดีที่สุด
แต่เท่าที่ผมเห็น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มาในคณะผมนี้ ไม่มีใครสนใจซื้อ คงเป็นเพราะเหตุว่า จะกลายเป็นภาระที่จะต้องหอบหิ้วไป เพราะว่าพวกเรายังต้องไปอีกหลายที่ และต้องไปอีกหลายวันนะครับ
พระนอนเจาทัตยีนี้ ตามตำนานว่าไว้ว่า องค์ดั้งเดิมสร้างขึ้นในปี 1907 (พ.ศ.2450) ต่อมาเสียหายเนื่องจากสภาพอากาศ จึงทำลายทิ้งในปี 1956 (พ.ศ.2499) และสร้างขึ้นใหม่ในปี 1966 (พ.ศ.2509) องค์พระยาวทั้งสิ้น 65 เมตร ซึ่งใหญ่กว่าพระนอนที่เมืองหงสาวดี หรือบาโก
องค์พระมีลักษณะแบบพระพม่าคือหน้าหวาน และที่โดดเด่นขององค์นี้คือตาหวาน สีสันหน้าตาตลอดจนสีเล็บสดใสทีเดียว อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาโดยละเอียดจะเห็นความประณีตของคนสร้างอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรอยพับ การทับซ้อนของจีวร และที่งดงามเก๋มากคือลวดลายอักขระบนฝ่าเท้า มองดูแล้วสวยงามที่สุด
ก่อนที่จะเล่าเรื่องกันต่อไป ผมอยากจะบอกอะไรนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่อง เทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในเมืองพม่านี้ เพราะว่าที่เมืองพม่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย การที่พวกผมมาเที่ยวพม่ากันครั้งนี้ ก็จะเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์ของเมืองพม่าเป็นส่วนใหญ่ครับ และท่านผู่อ่านก็เอาไปเป็นความรู้นะครับซึ่งไม่เสียหายอะไร
ที่พม่านั้นเขาเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเทพเจ้าต่างๆว่า “นัต” นะครับ นัต คือ เจ้าที่เจ้าทางหรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวพม่านับถือเป็นที่พึ่งทางใจกันมาช้านาน ตามตำนานบอกว่า ก่อนหน้าที่พระพุทธศาสนาได้ถูกสถาปนาขึ้นในพุกาม นัตมีอิทธิพลต่อชาวพม่ามาก มีการทรงเจ้าเข้าผีกันปกติ และนัตที่ชาวพม่านับถือมีทั้งหมด 36 ตน
มีอะไรบ้างนั้นขอให้ท่านผู้อ่านค้นหาเอานะครับ
ผมขอต่อตำนานอีกนิดนะครับ พระเจ้าอนิรุทธ์ หรือพระเจ้าอโนรธา (เป็นกษัตริย์องค์หนึ่งของพม่า) ผู้ซึ่งนำพระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่ได้พยายามให้ประชาชนเลิกนับถือนัต แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงได้มีการจัดระเบียบหรือควบคุม โดยทรงแต่งตั้งให้พระอินทร์เป็นนัตที่ 37 (เดิมมี 36 นัต ) ให้เป็นกษัตริย์แห่งนัต และสร้างความเชื่อว่า นัตมีหน้าที่คุ้มครองเมือง ดูแลพุทธศาสนสถาน เราจึงเห็นนัตอยู่ตามวัดและเจดีย์ต่างๆทั่วไป พร้อมทั้งตั้งศาลหลวงขึ้นที่เขาโปปา (Popa) หรือที่เรียกกันว่า “มหาคีรีนัต” ด้วย
ออกจากพระนอนตาหวาน หรือ พระพุทธไสยาสน์ เจาทัตยี แล้ว เราก็เดินตามไกด์เพื่อไปสักการะ เทพอีกสองซึ่งอยู่ไกล้ๆกัน และต้องถอดรองเท้าตามระเบียบเหมือนกัน ที่แรกนั้นคือ “อะมาดอว์เมียะ / เมี๊ยะนานหน่วย ” คนไทยเรียกกันว่า "เทพกระซิบ"
ซึ่งเป็นนัตอีกองค์หนึ่งที่คนไทยนับถือ ตำนานบอกว่า อะมาดอว์เมียะเป็นธิดาพญานาคที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยเชื่อกันว่าถ้าไปกระซิบขอพรห้ามให้คนอื่นได้ยินแล้วก็จะสมหวัง มีคนบอกว่าให้ขอพรเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าขอมากๆหรือหลายอย่าง ท่านเทพจะรับไม่ไหว เพราะว่าวันๆหนึ่งมีคนมาขอพรท่านมากเหลือเกิน ท่านอาจจะลืมพรที่เราขอหลายๆอย่างก็ได้
อาคารทางด้านขวามือนี่แหละครับ เป็นที่อยู่ของ“เทพกระซิบ” หรือ “อะมาดอว์เมียะ อยู่ชั้นล่างข้างใน
การที่มาขอพรหรือมาสักการะ เทพกระซิบนี้ ตอนแรกก็ต้องซื้อชุดดอกไม้ของเขาก่อน ในชุดนี้จะมีนมกล่องเล็กๆ ผมว่าน่าจะขนาด 100 ซี ซี เห็นจะได้ เสร็จแล้วก็มาเข้าคิวกันขอพร ต่อท้ายหันยาวเป็นแถว แต่ก็ไม่รอนานมากนักหรอกครับ เพราะว่าแต่ละคนที่ถึงคิว ก็รีบกระซิบ กันอย่างรวดเร็ว เพราะฉนั้นคนหนึ่งๆจึงใช้เวลาเพียงนิดเดียวก็เสร็จแล้ว
ขั้นตอนก็คือเอาดอกไม้ไหว้ท่านเทพเสียก่อน (มีเจ้าหน้าที่คอยบอก) แล้วก็เอาหลอดแทงเข้าไปที่กล่องนม เหมือนที่เราเคยกินนมกล่องนั่นแหละครับ แล้วก็เอานมที่เปิดแล้วนี้เอาหลอดที่สำหรับดูดนั้นไปจ่อที่ริมฝีปากท่านเทพ สักครู่หนึ่งแล้วก็ส่งให้เจ้าหน้าที่ๆดูแลเอาไป จากนั้นก็ถึงตอนนี้ละครับ ที่เราต้องเอามือป้องปาก แล้วก็เอาปากของเราเข้าไปชิดที่หูของท่าน แล้วก็จะขออะไรก็ตามใจของคุณครับ เป็นอันเสร็จพิธี
ผู้คนกำลังเข้าคิวรอไปกระซิบขอพร จากเทพกระซิบ
ผู้เขียนก็กระซิบกับเขาเหมือนกัน แต่กระซิบว่าอะไรนั้นเขาห้ามบอกใคร ถ้าบอกแล้วจะไม่สัมฤทธิ์ผลครับ
เทพกระซิบนั่งห่มผ้าสีเขียนหยกนี่แหละครับ นักท่องเที่ยวที่ไปกรุ๊ปเดียวกับผมกำลังบอกให้ลูกชายรีบกระซิบ เพราะว่ามีคนรออีกเยอะ
เมื่อพวกเราที่มาด้วยกันต่างกระซิบกันหมดเรียบร้อยแล้ว ก็พากันสวมรองเท้าที่ตรงบันใดด้านหน้า แล้วเดินกันเป็นกลุ่มตรงไปที่อาคารของ " นัต " อีกตนหนึ่ง ก็คือ ท่าน "เทพทันใจ" นั่นเอง
ท่านเทพทันใจ มีรูปร่างหน้าตา เป็นลักษณะนี้ครับ
" นัตโบโบยี " หรือ ที่คนไทยเรียกว่า เทพทันใจ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่าอีกอย่างหนึ่ง ที่มีคนนับถือมากทั้งชาวพม่าเองและชาวต่างชาติด้วย จะเห็นได้ว่า มีคนมาสักการะและมาขอพรไม่ได้ขาด วันที่ผมได้ไปสักการะท่านเทพทันใจนั้น ในอาคารตรงที่รูปปั้นตัวท่านนั้น คนแน่นมาก นี่ดีว่าก่อนจะมาที่นี่นั้น ไกด์ของเราได้โทรติดต่อให้ เจ้าหน้าที่ๆจัดเครื่องกราบไหว้สักการะ ซึ่งมีหลายอย่างมาก เตรียมไว้ให้ คนที่จะซื้อเครื่องสักการะเหล่านี้ ไกด์จะถามก่อน ใครที่ต้องการต้องบอกไกด์ล่วงหน้าแล้วก็จ่ายเงินกันตอนนี้เลย ไกด์จะได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เขาทำตามจำนวน
เมื่อพวกเรามาถึง ทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้ว
การสักการะขอพรจากเทพทันใจนั้น ก็จะต้องทำตามพิธีการของเขา โดยจะมีคนทำพิธีคอยอธิบายวิธีสักการะให้เราแบบเป็นขั้นๆ ซึ่งคนที่แนะนำวิธีการสักการะ สามารถพูดภาษาไทยได้แบบพอฟังเข้าใจ ผมคิดว่าลุงคนนั้นแกคงจะไปทำงานที่เมืองไทยมาหลายปี หรือว่า มีคนไทยมาเที่ยวที่นี่กันมาก จนทำให้ลุงคนจัดการนั้นพลอยพูดไทยได้ไปด้วย
เครื่องสักการะเท่าที่ผมเห็นก็มี ดอกไม้กำใหญ่ๆ มะพร้าวอ่อน กล้วยนาค ผ้าคล้องคอ ร่มฉัตรกระดาษ
ขั้นตอนของการไหว้คือ
- ถวายเครื่องสักการะแก่เทพทันใจ นั่งลงอธิษฐานขอพร กราบโดยไม่ต้องแบมือ
- นำธนบัตรมาม้วนเป็นกรวย (ตามที่เขาแนะนำ) แล้วนำไปใส่มือของนัตโบยี 2 ใบ ไหว้ขอพรอีกครั้ง
- แตะหน้าผากกับนิ้วชี้ของนัตโบยี
- จับไม้เท้าของนัตโบยี โดยให้หน้าผากแตะไม้เท้าด้วย
- ดึงธนบัตรออกมา 1 ใบ ธนบัตรนี้ให้เรานำกลับไปเก็บไว้บูชาได้ ส่วนธนบัตรอีกใบใส่ในตู้บริจาค
- นำผ้าไปคล้องคอเทพทันใจ เป็นอันจบพิธี
- พิธีการนี้ก็ไม่ช้านักหรอกครับ แต่ก็ต้องเข้าคิวกันอย่างเป็นระเบียบ
การขอพรเทพทันใจนั้นมีข้อแม้ว่า “พรที่ขอทั้งหมดต้องเป็นสิ่งเดียวกัน ให้ขอได้โดยเอามารวมกันขอเพียงครั้งเดียว และให้ขอในสิ่งที่เป็นไปได้”
ก่อนเข้าขอพรกับเทพทันใจ เราก็ม้วนธนบัตรราคาเท่าไรก็ได้ ให้เป็นกรวย ทั้งหมดสองใบ อย่างในรูปนี้ครับ
โปรดติดตามตอนต่อไป ที่นี่ที่เดียว
นายแก้ว ผู้เขียน ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙