ค่ำวันหนึ่งในเดือนสิงหาคม ๑

 

    เจ๊กวย (คุณพเยาว์) ผู้จัดการใหญ่และเจ้าของ ไช้โป๊วหวาน "แม่ตังกวย" จะต้อนรับลูกค้าด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดียิ่งด้วยตัวเอง (ถ้าไม่ได้ไปไหน)

    ในวันหนึ่งเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ นี้เอง   เจ๊กวย   คนที่ผมเคยรู้จักอยู่ที่ตลาดเจ็ดเสมียน ในสมัยเมื่อผมยังเด็กๆ แกมาเยี่ยมมาหาญาติของแก ที่ตลาดสามชุก

   ตลาดสามชุกนี้ เป็นตลาดเก่าชื่อดัง เรียกกันอีกทีก็คือตลาดสามชุก ๑๐๐ ปี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านที่ผมพักอยู่เท่าไรนัก เจ๊กวยแกโทรศัพท์เข้ามาหาผมที่บ้าน ถามว่าบ้านผมอยู่ตรงไหน เพราะเจ๊แกจำได้ว่า เมื่อคราวที่พบกันในงานคนเจ็ดเสมียนพบกัน เมื่อเดือนเมษายน ปี ๒๕๕๒ นั้น ผมเคยบอกเจ๊แกว่า เดี๋ยวนี้ผมย้ายจากบ้านที่กรุงเทพฯ ไปอยู่กับลูกที่สามชุก สุพรรณบุรีแล้ว

     เมื่อแกมีโอกาสมาสามชุกแกจึงนึกได้ แล้วก็โทรมาหาผม บอกว่าจะมาเยี่ยมเยียนกัน แกถามเส้นทางที่จะมาที่บ้านผม และในตอนก่อนค่ำเล็กน้อยในวันนั้น เจ๊กวยก็มาถึงบ้านผม และได้พาคนอื่นมาด้วยอีกสามคน ซึ่งในครั้งแรกผมยังไม่รู้จักว่าเป็นใคร

   หน้าสำนักงานขาย "ไช้โป๊วหวาน แม่ตังกวย " หลังสถานีรถไฟเจ็ดเสมียน มีลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้ากันขวักไขว่ ถ้าเจ๊กวยอยู่จะออกมาคุยกับลูกค้าด้วยตัวเอง เป็นที่ถูกอกถูกใจลูกค้ายิ่งนัก

     ในวันนั้นเราได้คุยกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งค่ำมากแล้วแกจึงได้กลับไปค้างคืน ที่บ้านพักของแพทย์ที่โรงพยาบาลสามชุก ๑ คืน จึงกลับเจ็ดเสมียน

      ผมมานึกถึงเจ๊กวยที่เราได้คุยกันในวันนั้นแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะนำเอาคำที่คุยกันซึ่งผมได้บันทึกไว้ นำมาเผยแพร่เรื่องราวของเจ๊กวย ที่ต่อสู้ชีวิตมาอย่างโชกโชน ให้คนอื่นๆที่ยังไม่ทราบได้ทราบบ้าง

     ในค่ำวันนั้นเราคุยกันเป็นเวลานานด้วยถ้อยคำอันมากมาย แต่ผมจะไม่นำมาทั้งหมดหรอกครับ จะคัดแต่เพียงย่อๆมาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่าคนๆนี้แหละคือ หญิงแกร่งแห่งตำบลเจ็ดเสมียนในอดีต และขอเรียนท่านผู้อ่านว่า เรื่องของเจ๊กวยในเวบของเรานี้ ก็เคยลงมาแล้วไม่ต่ำกว่าสองครั้งแล้ว แต่เป็นของคนอื่นที่นำมาลง

     ในครั้งนี้เป็นสำนวนของผู้เขียนเอง ที่ได้คุยกับเจ๊กวยในวันนั้น เรื่องราวอาจจะคล้ายๆหรือซ้ำๆกันบ้าง เพราะว่าเป็นเป็นเรื่องของคน คนเดียวกัน

    เรื่องนี้ผมเขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่เจ๊กวยมาเยี่ยมผมใหม่ๆ ถ้าไม่นำมาลงเลยก็จะเสียดายที่ได้เขียนเอาไว้ ้าท่านไม่ชอบเรื่องแบบนี้ก็ขอให้ท่านผ่านเลยไปเสียละต้องขออภัยต่อท่านที่ไม่ชอบเรื่องแบบนี้ด้วย

ณหมอปู (แพทย์ประจำโรงพยาบาลสามชุก) คุณสุธีรา (บุตรสาวของเจ๊กวย) คุณลัดดา (คุณแม่ของหมอปูมีถิ่นพำนักอยู่ที่สหรัฐอมริกา) นายแก้ว (เจ้าบ้าน) เจ๊กวย (ผู้มาเยี่ยม) คุณหวาน ภรรยาของนายแก้ว นั่งคุยกันที่ระเบียงหลังบ้าน 

ชีวิตในอดีตของเจ๊กวย

     จ๊กวย หรือ คุณพเยาว์ ศิลปวิลาวัณย์  มีชื่อเต็มๆว่า “ตังกวย” แต่คำว่า “ตัง” ไม่ค่อยมีใครออกเสียง จึงได้ยินแต่คำว่า “กวย” จนกระทั่งถ้าเป็นคนรุ่นน้องก็จะเรียกแกว่า เจ๊กวย เช่นผมและเพื่อนๆของผม ในตลาดเจ็ดเสมียนเป็นต้น สำหรับ อีกชื่อหนึ่งที่ชื่อว่า พเยาว์ นั้นผมขอบอกตามตรงว่าไม่เคยยินและก็ไม่ทราบว่า เจ๊กวย แกมีชื่อนี้ตั้งแต่เมื่อไร

      เมื่อสมัยเด็กๆนั้น เจ๊กวยบอกผมว่า " เจ๊ได้เรียนน้อย เพราะต้องช่วยแม่ทำขนมไปแลกข้าวมาเลี้ยงอีกหลายชีวิตที่บ้าน ครอบครัวของเจ๊มีฐานะยากจน " เจ๊กวยแกหยุดพูดมองไปข้างหน้าในความมืดที่ทุ่งนาข้างๆบ้านผม

     " เจ๊จึงต้องทำงานสารพัดอย่าง เช้าขายขนม กลางคืนทำขนม ไม่มีเวลาพักผ่อน แต่เจ๊เป็นคนใจสู้นะ ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย แม้ว่าบางครั้งคิดท้อถอยบ้าง เมื่อหวนคิดว่าทำไมหนอชีวิตของเราต้องมาเป็นอย่างนี้ คิดแล้วน้ำตาไหลอาบหน้า แต่แล้วก็สลัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไปได้ และมาคิดใหม่ว่าเราต้องเข้มแข็งและต้องสู้ชีวิตที่ยากจนนี้ให้ได้ "

     " บางครั้งเคยรับจ้างแบกกระสอบรำ กระสอบข้าว ที่มีคนมาจ้างก็เคยมาแล้ว หาบของขายบนรถไฟ ก็ที่สถานีรถไฟเจ็ดเสมียนเรานี่แหละ เจ๊ทำงานทุกอย่างที่สามารถหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้ ก็เคยผ่านมาทั้งหมดแล้ว "  เจ๊กวยพูดเสียยาวพรืดด้วยเสียงอันดัง ซึ่งแสดงให้รู้ว่านี่แหละ จ๊กวยตัวจริงละ หาใช่ตัวปลอมไม่

      ผมขัดจังหวะขึ้นมาถามเจ๊กวยว่า   " เจ๊ต้องทำงานหนักมาก เพื่อนำเงินมาเลี้ยงครอบครัวอย่างนั้น บ้านเจ๊ยากจนมากจริงๆ เร้อ...! และถ้าขนาดเจ๊ยากจน ไอ้เก้วเมื่อตอนเด็กๆที่อยู่เจ็ดเสมียน มิต้องเป็นยาจกวณิพกไปเลยหรือเนี่ยพี่น้อง...!  "

      เจ๊กวยมองหน้าผมแล้วบอกว่า " โธ่เก้ว    (ถ้าเป็นเมื่อสมัยก่อนที่ผมอยู่ที่ตลาดเจ็ดเสมียน เจ๊กวยแกเรียกผมว่า ไอ้เก้ว  ฮ่า..ฮ่า.. )   ไม่รู้อะไร เวลานั้นเศรษฐกิจก็ไม่ดี ข้าวยากหมากแพงเงินหายากมากที่สุด  ที่บ้านมีคนหลายคนต้องกินต้องใช้อยู่ทุกวัน และเจ๊ก็สงสารแม่แกด้วยเห็นแม่ทำคนเดียวเจ๊ก็อดไม่ได้  จึงต้องช่วยแม่หาเงินอย่างเต็มที่ " (ผมคิดว่าเจ๊แกต้องหาเงินไปเลี้ยงคนหลายคน)

      ถึงแม้ว่าเจ๊กวยแกจะไม่ได้บอกผมตรงๆว่า ที่บ้านแกยากจนหรือไม่ตามที่ผมได้ถามไปนั้น แต่ที่ตอบมานี้นั่นแหละคำตอบของเจ๊กวยเขาละ ถ้าเจ๊แกเป็นคนร่ำรวยมีเงินทองมากมายแล้ว จะต้องมาลำบากลำบนทำงานเหนื่อยยาก หามรุ่งหามค่ำหาพระแสงอันใด จริงไหมพี่น้อง แล้วเจ๊กวยแกก็คุยให้ผมฟังต่ออีก

      " เอาอย่างนี้นะ เก้ว (ลืมบอกไปว่า ชื่อของผมถ้าเป็นภาษาจีนแปลว่า หมา) เจ๊จะเล่าให้ฟังไหนๆก็ได้คุยกันแล้วก็จะเล่าให้หมดเลย " ผมก็ว่า " ดีเหมือนกันครับเจ๊ ว่าแต่ว่าเจ๊ไม่รีบกลับเจ็ดเสมียนแน่นะครับ " เจ๊กวยบอกว่า " ยังไม่รีบกลับต้องเล่าเรื่องราวของเจ๊ให้เก้วฟังเสียก่อน"

     แล้วผมก็เริ่มถามต่อ " เจ๊ครับเอาจริงๆกันเลยนะครับว่า เจ๊กวยนั้นเป็นคนที่ไหน และอยากจะให้เล่าตั้งแต่เจ๊เป็นเด็กๆมาเลยจะได้ไหมครับ ว่าชีวิตของเจ๊กวยมีความเป็นมาอย่างไรบ้าง เพราะว่าผมได้ยินคนเก่าๆ ที่เจ็ดเสมียนนี้หลายคนพูดกันว่า เจ๊กวยนั้น ในตอนแรกๆยากจนมาก และเพิ่งจะมารวยในตอนหลังนี้เอง ผมจึงอยากทราบความเป็นมาครับ "

     เจ๊กวยมองหน้าผมเพื่อจับใจความในคำถามของผม เมื่อผมถามเสร็จแล้ว เจ๊กวยคงคิดในใจว่ามันจะถามอะไรยาวขนาดนี้ เจ๊กวยหันกลับมองไปข้างหน้าฝ่าความมืดออกไป แล้วพูดว่า " เจ๊จะเล่าให้ฟังคืออย่างนี้นะ"

      เจ๊กวยยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้ววางแก้วลง ผมบอกให้หลานของผมที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ข้างในบ้าน ยกขวดน้ำเย็นในตู้เย็นออกมาอีก

      "เจ๊เป็นคนตลาดเจ็ดเสมียนนี่เอง "  เจ๊กวยเริ่มเรื่อง  "เจ๊เป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง ๓ คน เตี่ยของเจ๊เป็นคนจีนแท้อพยพมาจากประเทศจีน "  

"เตี่ยของเจ๊เป็นคนจีนแท้ๆเลยหรือครับ " ผมขัดจังหวะเจ๊กวยอีกครั้งหนึ่ง "   "ใช่แล้วเป็นคนจีนแท้ๆเลย เตี่ยเป็นทหารของกองทหารจีนสมัยก๊กมินตั๋ง เตี่ยหนีทหารหลบเข้ามาอยู่ที่ประเทศไทย เพราะว่าอยู่ที่ประเทศจีนมันแร้นแค้น จึงหนีเข้ามาประเทศไทย พร้อมๆกับคนจีนอีกหลายคน แบบว่าเสื่อผืนหมอนใบอย่างที่มีคนเขาพูดกัน" หลานผมยกน้ำสำหรับดื่มออกมาแล้ว เจ๊กวยรินน้ำดื่มอีกครั้งหนึ่ง

 "เตี่ยอยากจะมาเสี่ยงโชค เพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวที่เมืองไทยนี้ เป็นอย่างไรก็ไม่รู้จึงได้ร่อนเร่มาถึงเจ็ดเสมียนจนได้ แล้วก็มาหยุดอยู่ที่เจ็ดเสมียนนี่เอง เพราะว่าได้มาร่วมหอลงโรงกับแม่ของเจ๊แล้ว"

   "ในสมัยนั้นแม่ของเจ๊แกบอกว่า เตี่ยหางานทำอยู่ไม่นาน ก็ได้ทำงานเกี่ยวกับการเดินเรือโดยสารและเรือสินค้า ไม่นานนักก็ได้เป็นถึงผู้จัดการเรือโดยสารและรับส่งสินค้า ือเรือเขียวเรือแดง วิ่งระหว่างบ้านโป่ง-ราชบุรีนลำน้ำแม่กลองซึ่งต้องผ่านตลาดเจ็ดเสมียนด้วย ที่เตี่ยมาทำงานที่นี่ได้ ก็โดยการช่วยเหลือของคนจีนที่หนีเข้ามา ทำมาหากินในประเทศไทยรุ่นก่อนๆ ที่เขาได้ดีและอยู่เมืองไทยจนร่ำรวยแล้ว"

    " ส่วนแม่ของเจ๊นั้นก็รับหน้าที่ เป็นแม่บ้านธรรมดาๆไม่ทำตัวทันสมัยอยู่กับบ้านอย่างเงียบๆ แต่ก็มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบายไม่ต้องทำงานอะไร เพราะว่าเตี่ยของเจ๊มีเงินเดือนพอที่จะมาจุนเจือครอบครัวได้แล้ว "  " ก็ดีมีความสุขสบายแล้วนี่ เจ๊ยังบอกว่าบ้านเจ๊จนอะไรกัน "  ผมขัดจังหวะ เจ๊กวยหยุดนิดหนึ่งแล้วจึงพูดต่อ

    "เก้วเอ๊ย...!  อะไรๆในโลกนี้ไม่มีความแน่นอนหรอก นอกจากความไม่แน่นอนนั่นแหละที่แน่นอน (เอ้า..! เจ๊พูดอย่างนี้ คนปัญญาน้อยอย่างนายเก้ว ก็เลยงงนิดๆ)  พอเจ๊อายุได้สัก ๒ ขวบเตี่ยก็มาเสียชีวิตลงไป " (ตอนนี้เจ๊กวยแกไม่ได้บอกว่าเตี่ยของแกเป็นอะไรจึงได้เสียชีวิตไป เพราะว่าผมไม่กล้าถาม)

" เ๊จำได้ว่าอยู่กับแม่ลำบากมาก เพราะต้องมาขาดผู้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว เหมือนที่เขาพูดกันว่า      สิ้นพ่อคอหัก สิ้นแม่แพแตก ครอบครัวของเจ๊จึงต้องลำบาก ตั้งแต่นั้นมาก็ด้วยเหตุนี้เอง...! "

 ค่ำวันหนึ่งในเดือนสิงหาคม ๑ นายแก้ว ผู้เขียน

       ่านต่อคลิ๊กที่   ตอนที่ ๒   ได้เลย... 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้407
เมื่อวานนี้460
สัปดาห์นี้2257
เดือนนี้11504
ทั้งหมด1341388

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online