พี่สุภัทร คนรักหมา (ตอนพิเศษ )
ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ฝนจะตกแทบทุกวันเนื่องจากเป็นฤดูฝน การเดินทางไปไหนๆ ค่อนข้างจะไม่สะดวก การไปมาหาสู่พรรคพวกเพื่อนฝูงก็ดูจะห่างกันไป ได้แต่พูดคุยกันทางโทรศัพท์เสียมากกว่า เมื่อฝนหยุดตกแล้วเราจึงได้นัดพบปะสังสรรค์กันที่บ้านพี่สุภัทรเหมือนเช่นเคย
มาบ้านพี่สุภัทรครั้งนี้ พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง อย่างหนึ่งก็คือพี่เขาต่อเติมบ้านให้กว้างขวางขึ้น พี่บอกว่าพวกเราจะได้มีที่พบปะพูดคุยกันสบายๆ ไม่คับแคบเหมือนเมื่อก่อน และอีกอย่างก็คือหมาน้อยแสนรักของพี่สุภัทรคือ เจ้าไดม่อน กับเจ้าบราวน์ ได้เติบใหญ่ขึ้นมามากจากการพบกันครั้งที่แล้ว พี่สุภัทรบอกว่ามันดุอีกต่างหาก ใครไปใครมาต้องเรียกให้มันเข้ากรงไว้ก่อน มิเช่นนั้นอาจจะต้องปวดหัวเหมือนคราวก่อน
พี่สุภัทรกับ ไดม่อน (สีขาว) และ บราวน์ (สีน้ำตาล)
เรื่องมีอยู่ว่า เช้าวันหนึ่งพอพี่สุภัทรได้ยินเสียงรถเก็บขยะมาหน้าบ้าน พี่เขาก็รวบรวมขยะใส่ถุงแล้วเปิดประตูรั้วบ้านเพื่อเอาขยะไปทิ้งก่อนรถเก็บขยะจะไปเสียก่อน ทันใดนั้นเจ้าไดม่อนก็วิ่งตามออกมาจากประตูรั้ว ซึ่งโดยปกติพี่เขาจะไม่ให้หมาออกมานอกรั้วบ้านโดยเด็ดขาด
เป็นเวลาเดียวกับที่คนเก็บขยะเดินมาเพื่อเก็บขยะที่หน้าบ้านพี่พอดี ทันใดนั้นเจ้าไดม่อนก็ตรงรี่เข้าไปงับน่องของชายคนนั้น ดีที่พี่สุภัทรรีบห้ามมันได้ทัน แต่กระนั้นก็มีร่องรอยเขียวช้ำเล็กน้อยที่น่องของคนเก็บขยะ คนเก็บขยะโวยวายเสียงลั่นจนเพื่อนบ้านของพี่ออกมาดูกันใหญ่ว่ามีเรื่องอะไรกัน
“ พี่ ผมขอค่ายาเจ็ดพันก็แล้วกัน” คนเก็บขยะบอกพี่สุภัทร เล่นเอาพี่สุภัทรถึงกับสะดุ้งเฮือก ! พี่สุภัทรเพิ่งสังเกตเห็นว่าคนเก็บขยะคนนี้เป็นชายร่างเล็ก วัยกลางคน ผิวคล้ำและผอมเกร็ง สวมเสื้อผ้าค่อนข้างเก่า
“อะไรกันเธอ แผลเล็กน้อยแค่นี้ เธอจะมาเรียกชั้นขนาดนี้เชียวหรือ หมาของชั้นก็ฉีดยาเรียบร้อย ดูใบรับรองของหมอได้เลย เธอไปหาหมอ ให้หมอทำแผล ค่ายาค่ารักษาเดี๋ยวชั้นจะจ่ายให้ทั้งหมด” พี่สุภัทรโต้กลับ
เมื่อคนเก็บขยะเห็นพี่สุภัทรไม่ยอมจ่ายแน่แล้ว ก็เดินหายออกไปปากซอย สักพักใหญ่ก็กลับมาตรงที่เกิดเหตุพร้อมกับตำรวจในเครื่องแบบสองนาย
พี่สุภัทรเล่าให้พวกเราฟังว่า” บอกตามตรงพี่ไม่กลัวมันแม้แต่น้อย พี่ก็ยังยืนยันที่จะจ่ายค่ารักษาให้เท่านั้น ทำเป็นมาเรียกร้องพี่ถึงเจ็ดพัน มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ”
พี่สุภัทรขอให้ตำรวจดูแผลที่ถูกหมางับ ปรากฏว่าตอนนี้แทบไม่เห็นร่องรอยของแผลเลย เพราะมันเล็กน้อยมาก ตำรวจก็ไม่พูดว่าอะไร พี่สุภัทรจึงบอกคนเก็บขยะอีกครั้งว่าให้มาเอาเงินค่ารักษาที่นี่ก็แล้วกัน แล้วพี่ก็เข้าบ้าน ปิดประตูรั้วโดยไม่สนใจทั้งตำรวจ ทั้งคนเก็บขยะ พี่สุภัทรคิดในใจว่าจะเกิดอะไรก็ให้มันเกิด (ซิวะ..)
หลังจากวันนั้น พี่สุภัทรก็คอยว่าคนเก็บขยะจะมาเอาเงินเมื่อไร แต่จนถึงวันนี้ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนเก็บขยะแต่อย่างใด พวกเราก็วิจารณ์กันว่าเขาเจตนาจะเอาเงินจากพี่แน่ๆ เลย พี่แน่มากที่ทำแบบนี้ พี่สุภัทรย้ำคำเดียวว่า “พี่ไม่กลัวมันหรอก”
หลังจากนั้นพวกเราก็พูดคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระสารพัดเรื่องเพราะไม่ได้เจอกันมานาน พอเที่ยงก็เอาอาหารที่ต่างนำมาคนละอย่างสองอย่าง มารับประทานร่วมกันอย่างสนุกสนาน
พี่สุภัทร (เสื้อขาว)
พี่สุภัทรในวัย 69 ยังแข็งแรงและมีสุขภาพดีเยี่ยม ไม่เจ็บไม่ป่วยอันเป็นผลจากการดูแลรักษาสุขภาพมาตลอด กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายด้วยการรดน้ำพรวนดินปลูกต้นไม้เป็นประจำ ออกไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงบ้าง รวมทั้งการเดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นครั้งคราว
นอกจากนั้นผู้เขียนเชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะพี่สุภัทรเป็นคนมีจิตใจที่เมตตาต่อทุก ๆคน (ยกเว้นคนเก็บขยะที่กล่าวมาแล้ว) ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ พี่เขาชอบปลูกต้นไม้ บริเวณบ้านพี่เต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด ร่มรื่นเย็นสบาย
ที่บ้านพี่สุภัทร
ที่สำคัญพี่เขาเป็นคนที่รักสัตว์มาก โดยเฉพาะเจ้าสี่ขาทั้งหลาย เรียกได้ว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา พี่สุภัทรจะมีหมาเป็นเพื่อนคู่ใจ ไม่เคยขาด ผู้เขียนเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาบอกว่าการที่เราให้ความรักความเมตตาแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลาย จะทำให้เรามีจิตใจที่อ่อนโยน ซึ่งจะนำความสุขใจมาสู่เรา โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีหมาแสนรัก จะช่วยให้เขาอายุยืนยาวได้
พี่สุภัทรเพิ่งกลับจากไปทัวร์ยุโรปสี่ประเทศกับเพื่อนๆ สมัยเรียนหนังสือ พี่บอกว่าประทับใจในหลายๆที่ที่ไป ถ่ายรูปมาเยอะแยะ สนุกมาก แต่พอกลับมาก็ได้ข่าวไม่ดีคือเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับพี่สุภัทร ได้เสียชีวิตลงถึง 3 คน เป็นผู้ชายทั้งสามคน ทำให้พี่สุภัทรจิตใจหดหู่ไปพอสมควร
แล้ววันหนึ่งตอนหัวค่ำ ก็มีเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น ปกติโทรศัพท์เครื่องนี้มักจะเสียบ่อย ใครโทร.เข้ามาจะโทร.ไม่ค่อยติด “สวัสดีค่ะ สุภัทรพูด” พี่สุภัทรรับสาย “รักษาสุขภาพด้วยนะ ค ร๊ า บบ ” เป็นเสียงผู้ชายที่ค่อนข้างแผ่วๆ พูดเสียงยาน ๆ
“นั่นใครพูดคะ” พี่สุภัทรถาม แต่ทางโน้นเงียบเสียงไป
อยู่ดีๆ พี่สุภัทรก็รู้สึกขนลุกโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่พยายามไม่คิดอะไรเพราะนี่ก็มืดแล้วและพี่เขาก็อยู่คนเดียวเสียด้วย คืนนั้นพี่สุภัทรนอนไม่หลับเลย เจ้ากรรมจริงๆ เจ้าไดม่อนกับเจ้าบราวน์ ก็ไม่ยอมหลับยอมนอน พากันส่งเสียงเห่าหอนเป็นระยะๆ
วันต่อมาพี่สุภัทรได้สอบถามไปยังเพื่อนๆ เรื่องโทรศัพท์ แต่ทุกคนก็บอกว่าไม่ได้โทร. มันชักจะยังไงเสียแล้ว คืนนั้นพี่สุภัทรต้องสะดุ้งตื่นด้วยเสียงหอนโหยหวนของหมาน้อยแสนรักทั้งสองตัว พี่สุภัทรตัดสินใจขั้นเด็ดขาดเพราะจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปอีกไม่ได้แล้ว
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พี่สุภัทรรีบไปวัดปากน้ำ วัดที่พี่เขาไปทำบุญเป็นประจำ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เพื่อนทั้งสาม ขอให้ไปเป็นสุขเป็นสุขเถิด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ พี่เล่าว่าตั้งแต่วันนั้น เจ้าไดม่อนกับเจ้าบราวน์ไม่เคยเห่าหอนอีกเลย มีแต่นอนหลับกันอุตุ
ทำบุญที่วัดปากน้ำ
จนบัดนี้พี่สุภัทรยังไม่รู้เลยว่าใครโทร.มา แต่พี่บอกว่าพี่ไม่สนใจและเลิกกลัวแล้ว ขนาดคนเก็บขยะพี่ยังบู๊กับมันมาแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องโทรศัพท์แค่นี้ และพี่ก็สบายใจที่ได้ทำบุญให้เพื่อนพี่ทั้งสามคน
แต่จะมีใครรู้บ้างว่าพี่เขาพูดกับเพื่อนทั้งสามว่าอย่างไร พี่สุภัทรอธิษฐานว่า “ขอให้เธอทั้งสามคนไปเป็นสุขนะ ชั้นมาทำบุญให้พวกเธอแล้ว ขอให้เธอได้รับบุญนี้ด้วย ข้อสำคัญเธอไม่ต้องมาเยี่ยมชั้นหรอกนะ บอกตามตรง ชั้นกลัวว่ะ..."
อ. ปลาทอง
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕