เมื่อข้าพเจ้าป่วย (กลับบ้าน)
นางสละ สุวรรณมัจฉา ผู้เป็นห่วงบ้าน
สักประมาณ ๑๐.๐๐ น.เห็นจะได้ ภารโรงก็เอาขาเหล็กมาตั้งอีก เอาขวดน้ำเกลือขวดเบ้อเริ่มมาแขวน และดึงสายยางสีแดงไว้ข้างล่างอีก ฉันนึกว่าคงมาให้น้ำเกลือกันอีกแล้ว ฉันเหยียดแขนซ้ายออกไป เขาก็เอาผ้ามัดอย่างเมื่อวาน แล้วก็เริ่มลงมือเอาเข็มฉีดนำก่อน
แล้วก็ปล่อยให้น้ำเกลือค่อยๆซึมเข้าไปทีละน้อย ฉันเบือนหน้าหนีเสร็จแล้วหมอก็สั่ง นายสุนว่าถ้าน้ำเกลือหมดละก็ไปบอกนะ แล้วหมอก็ไปเหลืออยู่แต่นายสุนกับสละ
ฉันนอนเฉยๆจะหลับก็หลับไม่ลง ที่แขนนั้นไม่เจ็บหรอกแต่มันชาไปหมด ฉันได้แต่หลับตาบ้างลืมตาบ้าง ดูไปที่ขวดน้ำเกลือที่แขวนอยู่ข้างเตียงนั้นช่างไสบริสุทธิเสียจริงๆ เห็นจะไสกว่าน้ำฝน
ดูไปที่หนังสืออังกฤษก็อ่านไม่ออก เห็นเขียนอยู่ว่า ๑,๐๐๐ ซีๆ มันจะมากสักเท่าไรก็ไม่รู้ได้ คะเนดูเห็นจะเท่ากับสองลิตรหลวงได้กระมัง ถ้าตั้ง ๒ ลิตรหลวงแล้วเมื่อวาน ๒ ลิตร วันนี้อีก ๒ ลิตร โอ้โฮในตัวฉันเห็นจะมีแต่น้ำเกลือเป็นแน่
นอนคิดไปตามเรื่องตามราวเพราะไม่รู้จะทำอะไร แล้วก็เลื่อนสายตามาดูที่ระหว่างสายยางและขวดต่อกัน มีหลอดแก้วอยู่ทำให้เห็นน้ำที่หยดลงมาทีละหยดได้ถนัด หยดมาตั้งนานแล้วก็ยังไม่เห็นพร่องสักที เดี๋ยวนี้แขนซ้ายชักจะเมื่อยและแถมจะปวดเข้าอีกด้วย เมื่อมันปวดจนจะทนไม่ไหวก็ให้นายสุนไปตามหมอมาดูสักที
นายสุนไปสักประเดี๋ยวก็ตามมาด้วยหมอผู้หญิงคนหนึ่ง มาเปิดผ้าที่คลุมเข็มไว้ดูแล้วก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก ทนเอาหน่อยประเดี๋ยวก็หมด ประเดี๋ยวก็หมดอะไรเล่า ยายบ้าปวดจะตายแล้วไม่รู้จะทำอย่างไรก็ได้แต่นอน ทนทรมานอยู่อย่างนั้นจนน้ำเกลือหมด หมอจึงมาแกะออกและเก็บเครื่องมือไป เป็นเวลา ๑๔.๐๐ น.เห็นจะได้
ฉันนอนตะแคงก็ยังไม่ได้ๆแต่นอนหงาย เดี๋ยวนี้ทั้งสองแขนเมื่อยเจ็บไปหมด งอเข้างอออกก็เจ็บที่ข้อพับเพราะต้องเหยียดนานนั่นเอง ลุกก็ยังลุกไม่ได้คลำดูตามตัวตามแขนมีเหงื่อออกซิบๆ เห็นจะเป็นน้ำเกลือที่ฉีดเข้าไปนั่นเอง แต่ก็ยังซีดเสียยิ่งกว่าซีดตามเคย
หมอเอายาเป็นแป้งผงขาวๆมาให้ ๑ ขวด บอกให้ละลายน้ำ ๒ ช้อนชากินทุกๆ ๒ ชั่วโมง ยาเม็ดดำ ๒ เม็ด เม็ดแดง ๒ เม็ด มียาน้ำไสๆหนึ่งแก้วเล็ก ยาน้ำนี้กินเข้าไปแล้วชื่นใจดีพิลึก แต่ยาผงขาวๆนั้นเค็มและปร่าคอพิกล แต่ก็ต้องกินเข้าไปเพราะฉันยังไม่อยากตาย ห่วงลูกห่วงเมียที่อยู่ข้างหลังอีกเยอะแยะ
คืนนี้ฉันนอนหลับสบายไม่มีอาการกระวนกระวาย ฟูกก็นิ่มมุ้งก็สละเป็นคนกางให้จะเอาอะไรสละก็หยิบให้ จะกินน้ำสละก็หยิบถ้วยแก้วไปเทน้ำร้อนในกระติกให้ ฉันโงหัวขึ้นมากินด้วยความลำบาก สละเอาช้อนตักป้อนก็กินไม่สะดวก
ฉันบอกสละรุ่งขึ้นให้ไปซื้อหลอดกระดาษมา ดูดกินอย่างกับดูดกาแฟเห็นจะสะดวกดีกว่ากินอย่างนี้ ฉันนอนหลับบ้างไม่หลับบ้างกรุ่นไปตามเรื่อง แต่รู้สึกว่าสบายกว่านอนอยู่บ้าน เพราะไม่มีเด็กกวนสักประมาณสัก ๒ ทุ่มหมอก็มาฉีดยาให้อีก ๑ เข็ม
เช้ามืดฉันยังไม่ทันจะตื่นดีหมอก็เปิดประตูเข้ามาฉีดยา คราวนี้ฉีดสะโพกฉีดแล้วหมอก็ไป สักครู่ก็มีอีก ๑ คนเอาปรอทมาให้อมมาจับชีพจร พร้อมกับถามว่าถ่ายกี่ครั้ง ปัสสาวะกี่ครั้งหมอก็จดเอาปรอทออกมาดูแล้วก็จดแล้วก็ไป พอหลับตาจะเพลินก็มีอีกคนหนึ่งเอายามาให้ เม็ดดำ ๒ เม็ด แดง ๒ เม็ด ยาน้ำ ๑ ถ้วยแล้วก็ไป
ทางโรงพยาบาลเขาก็ยกอาหารมาเลี้ยงคนป่วย แต่ยกมาเลี้ยงคนอื่นๆ ฉันยังไม่ได้รับอนุญาตจากหมอให้กินข้าวได้ จึงยังไม่ได้กินและก็ไม่รู้สึกหิวด้วย สละไปซื้อนมกระป๋องมากินบ้างบางเวลาเท่านั้น
สามโมงเช้าสละก็ไปขึ้นทะเบียนคนป่วยให้ฉัน ได้บัตรเบอร์ ๐๐๗๐๓๘ ลงวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๔๙๖ สายสักหน่อยหมอใหญ่เป็นผู้หญิงก็มาตรวจ แล้วถามอาการฉัน
ฉันก็ว่ารู้สึกอ่อนเพลียอย่างเดียว อาการอย่างอื่นไม่เห็นเป็นอะไรหมอก็จดๆแล้วก็ไป วันนี้ก็มีคนตลาดโพธารามที่รู้ข่าวมาเยี่ยมหลายคน
อาการป่วยของฉันก็นับว่าแปลกเหมือนกัน คือนับตั้งแต่อาเจียนเป็นน้ำขาวๆออกมา เมื่อคืนแรกที่มานอนโรงพยาบาลตอนดึกนั้น แล้วก็ไม่อาเจียนอีกเลย
และนับจากวันนั้นถึงวันที่ ๓ จึงถ่ายส่วนอาการอย่างอื่นเช่นปวดหัวไข้หรือเจ็บปวดอย่างอื่น ไม่ปรากฏออกมาเลยจนออกจากโรงพยาบาล
ตอนนี้มีแต่อาการอ่อนเพลียอย่างเดียวเท่านั้น เห็นทีว่าเลือดเก่าเลือดเสียในกระเพาะออกมาหมดแล้ว ก็ไม่มีอะไรเพียงแต่บำรุงเลือดให้มีมากเท่าเดิมเท่านั้น
ฉะนั้นการมานอนที่โรงพยาบาลเนื่องจากป่วยคราวนี้ ฉันเห็นว่าสบายและเป็นสุขมากกว่าอยู่บ้านเป็นไหนๆ สะดวกสบายทุกอย่าง สละบ่นว่าคิดถึงบ้านเป็นห่วงบ้าน ฉันนอนเพลินตลอดทั้งวันทั้งคืนจะลุกขึ้นบ้างก็ยังงงและตัวเบาหวิว ลุกขึ้นเดินบ้างก็เมื่อ ๑ อาทิตย์ล่วงแล้ว และตั้งแต่ป่วยมาก็ยังไม่ได้กินข้าวเลยหมอห้าม ๑ อาทิตย์
ต่อมาหมอจึงบอกว่ากินแต่ข้าวต้มเปื่อยๆแต่น้อยๆไปก่อน แล้ววันหลังจึงจะกินข้าวสวยได้ในเวลานี้จึงกินแต่นมชง บางทีฉันก็ให้สละไปซื้อไข่ไก่มากินกับนมชงบ้าง วันหนึ่งตั้งหลายๆครั้งอร่อยและหิวเพราะไม่ได้กินข้าวเลย
วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๔๙๖ ตอนดึกสักตี ๒ หรือกว่านั้นไม่มาก ฉันตื่นขึ้นมาเพราะมีเสียงเอะอะก็ได้แต่นอนนิ่ง สละนอนอยู่ข้างเตียงก็ตื่นขึ้นเปิดประตูไปดู ฉันลุกขึ้นไปไม่ได้ก็ได้แต่นอนฟัง
ได้ยินเสียงผู้หญิงพูดว่า คุณหมอช่วยด้วยเถอะถ้าจะตายแล้ว สักเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นร้องไห้อยู่นาน จนสว่างสละกลับมาเล่าให้ฉันฟังว่า มีคนถูกงูกัดตายคือผัวของนางผู้หญิงที่ร้องไห้นั่นแหละ บ้านอยู่สมถะเดี๋ยวนี้น้ำหลากในเมื่อตอนหัวค่ำไปสุ่มปลาปลายคลองสมถะ เลยไปถูกงูกัดเข้าที่ตอนตาตุ่ม ก็เที่ยวหาหมอตามบ้านนั้นรักษา
เมื่อเห็นยังไม่ค่อยยังชั่วก็พาไปเจ็ดเสมียน จะให้หมอจ่างฉีดยาหมอจ่างก็ไม่มียา จึงให้คนไปตามเรือยนต์ที่สมถะไปรับคนป่วยมาโรงพยาบาลโพธาราม พอมาตามทางทำไมจึงไปแก้ผ้าที่รัดขาออกเสียก็ไม่รู้
ทีนี้พิษมันก็แล่นเข้าหัวใจอาการจึงเป็นมาก หามมาถึงโรงพยาบาลก็จวนตี ๔ แล้ว กว่าจะไปเรียกหมอมาหมอฉีดยาไป ๑ เข็มแต่ก็ไม่ไหวเสียแล้ว นี่เพิ่งเอาศพเข้าไปในห้องดับจิตเมื่อกี้นี้เองเมียยังร้องไห้อยู่เลย
ฉันฟังแล้วก็เฉยๆคิดว่าทำไมจึงตายเร็วอย่างนี้เล่า ฉันเองอยู่ถึงหัวหินมาโรงพยาบาลออกไกลกว่าตั้งเยอะแยะทำไมยังไม่ตาย หรือนายคนนี้มาตายแทนเสียแล้วก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้ไม่ตายและหายวันหายคืน แต่ก็รู้สึกสลดใจบ้างในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ตอนบ่ายเขาเอาโลงศพมาใส่ศพคนถูกงูกัดตายไปบ้านเขา ฉันป่วยนอนอยู่ในห้องพิเศษไม่เห็นภาพอย่างนั้น คนที่ป่วยอยู่เตียงข้างนอกเห็นเหตุการณ์ตลอด เขาจะนึกอย่างไรบ้างหนอฉันคิดว่าเขาคงขวัญเสียเหมือนกัน แต่ถ้าปลงตกไปเสียก็ดีไป
รุ่งขึ้นอีกวันหัวค่ำมีคนไปตามหมอและมีเสียงเรียกกันทำอะไรกัน จอแจไปทางบ้านพักของนางพยาบาลที่อยู่ทางทิศตะวันออก สละออกไปดูเหตุการณ์และสักครู่ก็กลับมาเล่าให้ฉันฟัง
สละเล่าว่าเมื่อตอนเย็นตะวันจวนจะตกดิน ท้องฟ้าขมุกขมัวแล้ว นางพยาบาลคนหนึ่งซึ่งป่วยปวดหัวตัวร้อนอยู่ก่อนแล้ว ไปนั่งเล่นที่บันไดหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ห่างจากบันไดที่นางพยาบาลนั่งอยู่ประมาณสัก ๕ วา เป็นเชิงตะกอนเผาผีและศาลาธรรมสำหรับพระเทศน์เวลาจะเผาผี ข้างๆมีฮวงซุ้ยอยู่ ๒ - ๓ ลูก เพราะข้างหน้านั้นเป็นป่าช้าวัดโพธารามเก่า
ขณะที่นางพยาบาลนั่งอยู่นั้นได้เห็นเป็นภาพ ปีศาจผู้หญิงแก่คนหนึ่งกำลังยืนหวีผมอยู่ นางพยาบาลก็ร้องหวีดเต็มเสียงและเป็นลมสลบไปเลย คนที่อยู่ใกล้เคียงก็อุ้มขึ้นไปบนบ้านแก้ไขพยาบาลกันจนฟื้น
แต่อาการก็อยู่ในขั้นน่าวิตกเวลานี้ก็ยังพยาบาลกันใหญ่ หมอใหญ่ก็เฝ้าอยู่นั่นด้วย นางคนนี้ผัวก็เป็นหมออยู่โรงพยาบาลนี้ และมีลูก ๒ คนแล้ว ลูกเพิ่งจะคลานได้ ใครจะอย่างไรก็ช่างเขาฉันนอนเพลินดีกว่า
๒ กรกฎาคม ๒๔๙๖ ข่าวว่านางพยาบาลคนที่ตกใจเมื่อคืนนี้ ก็ถึงแก่กรรมเสียแล้วเมื่อบ่ายวันนี้ ทิ้งความโศกเศร้าให้กับคนที่อยู่เบื้องหลัง
สละพูดว่าที่นี่เป็นอะไรก็ต้องเป็นคู่ วานซืนนี้คนถูกงูกัดตายวันนี้หมอที่นี่ตายเป็นคู่เสมอ ฉันไม่รู้จะว่าอย่างไรได้แต่บอกสละว่าสงสารญาติพี่น้องของเขา
อาทิตย์กว่าแล้วที่มานอนโรงพยาบาล อาการป่วยอย่างอื่นไม่มีเลย นอกจากว่าไม่มีแรงตัวก็ยังซีดเท่านั้น หมออนุญาตให้กินข้าวได้แล้วแต่อย่าเพิ่งมากเพราะกระเพาะยังใหม่อยู่ แต่ใหม่หรือไม่ใหม่ก็อิ่มละไม่ได้กินข้าวมาตั้งอาทิตย์แล้วนี่
พอกินได้แล้วอะไรๆมันอร่อยทั้งนั้น ข้าวที่เขาให้กินในโรงพยาบาลไม่ใคร่พอ ต้องให้สละไปซื้อข้าวต้มหมูข้าวต้มไก่มากินเสมอ ไข่ไก่ก็ซื้อมากินเรื่อย ครูอี่ให้นมข้นมา ๔ กระป๋องกินสบาย
ใครๆเห็นแล้วบอกว่าไม่ผอมแต่ไม่มีสีเลือดเท่านั้น ฉันถามหมอว่าเมื่อไรจะกลับบ้านได้ หมอบอกว่ายังอย่าเพิ่งกลับเลย ที่จริงฉันก็ยังไม่อยากกลับอยู่โรงพยาบาลสบายยิ่งกว่าเจ้า จะทำอะไรจะเอาอะไรเป็นต้องได้ทุกทีไม่ต้องทำอะไรนอนเพลิน อย่างนี้นอนอยู่อีกสักเดือนสองเดือนฉันยิ่งชอบ แต่สละบ่นอยากไปบ้านเสมอบอกว่าห่วงบ้านและห่วงเด็กๆด้วย
อยู่โรงพยาบาลนี่ได้เห็นอะไรๆ เกี่ยวแก่โรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ดีเหมือนกัน เช่นตอนเย็นมีคนอุ้มเด็กมาว่ารถมันเฉี่ยวเอาขาแทบหัก เวลาเย็บและหมอฉีดยาร้องลั่นไปหมด เด็กอีกคนเป็นนิ่วมาแต่บางแพ มันปวดท้องเพราะเยี่ยวไม่ออกก็ร้องไห้ลั่น ยิ่งเวลาหมอสวนที่จู๋ของมันจะให้เยี่ยวออกมันก็ยิ่งตะโกนร้องใหญ่ พอเยี่ยวออกแล้วก็เงียบเวลาต่อไปเยี่ยวไม่ออกปวดท้องก็ร้องอีก
หมอบอกว่าเห็นจะต้องเอกซ์เรย์ดูว่ามันจะเป็นอย่างไร บางทีอาจจะต้องผ่าท้องก็ได้ ลุงคนหนึ่งอายุสัก ๕๐ เห็นจะได้เป็นท้องมารพุงป่องมาให้หมอรักษา หมอต้องใช้วิธีเจาะ ทีแรกฉันคิดว่าเจาะให้เป็นรู น้ำในท้องจะได้ออกหมด
แต่กลับไม่ใช่อย่างนั้นหมอเอาเข็มฉีดยาแทงคาไว้ที่ท้อง ปล่อยให้น้ำเหลืองในท้องไหลออกมาทีละหยด เวลาที่ฉันไปดูนั้นเห็นน้ำเหลืองตั้งครึ่งกระป๋องตักน้ำใบใหญ่ท้องก็ยังไม่เห็นยุบ สละว่าเขาเจาะหลายหนแล้วน้ำก็ยังมากอยู่อย่างนั้น บางคนที่มานอนอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ ผอมหน้าซีด บางคนก็จวนหายมีต่างๆนาๆ
ฉันก็อยู่มาตั้งอาทิตย์กว่าแล้วเดินเล่นบนโรงพยาบาลได้ แต่ยังไม่กล้าลงไปข้างล่าง กินข้าวได้หิวบ่อย กลางคืนก็ให้สละไปซื้อข้าวต้มหรือก๋วยเตี๋ยวผัดมากิน ฉันกินหมดไม่เหลือจนสละบอกว่าคนป่วยอะไรกินจุ อ้าว สละไม่อยากให้ฉันหายเร็วๆหรอกหรือ สละยิ้ม
๖ กรกฎาคม ๒๔๙๖ เป็นวันสุดท้ายที่ฉันอยู่โรงพยาบาล ฉันหายเป็นปกติดีแล้วแต่ยังไม่มีกำลัง ตัวก็ยังซีดไม่มีสีเลือดอยู่ หลังจากหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว สละก็นำเงินค่าอยู่ค่ารักษาไปชำระที่ตึกใหญ่ เสียเพียง 350 บาทซึ่งนับว่าถูกมาก เพราะอยู่ห้องพิเศษตั้ง ๑๓ วัน ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของโรงพยาบาลแห่งนี้เลย ถ้ามีปัญญาต่อไปในภายหน้าแล้ว จะต้องสร้างสิ่งอะไรที่ถาวรให้เป็นสมบัติของโรงพยาบาลสักสิ่งหนึ่งให้จงได้
เมื่อออกจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่บ้าน ความรำคาญก็เกิดขึ้น เด็กๆกวน อาหารการกินก็ไม่ปรกติ อยากจะกินอะไรก็ไม่ได้กินและไม่มีกิน ที่หลับที่นอนก็ไม่สะอาดเหมือนเตียงโรงพยาบาล เหม็นเยี่ยวเด็กๆคลุ้งแทบจะนอนไม่หลับ อากาศก็อุดอู้ช่างตรงกันข้ามกับโรงพยาบาลเสียทีเดียว ทนไม่ไหวอยู่บ้านได้ ๓ วันเท่านั้น
พอวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๔๙๖ ฉันก็หอบเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเปิดไปหัวหินอีก เพื่อควบคุมโรงตีเหล็กและตากอากาศบำรุงร่างกายไปในตัวด้วย
หัวหินนี้ต้องนับว่าเป็นที่ๆวิเศษที่สุด สำหรับคนป่วยมาพักฟื้นหลังจากหายป่วยไข้ ฉันมาหัวหินเสียได้ค่อยสบายกว่าอยู่บ้าน ไม่มีเด็กกวนอากาศก็ดี ปลอดโปร่งบริสุทธิสุขกายสบายใจ
ฉันมาพักฟื้นอยู่เพียง ๑๖ วัน ก็เป็นปรกติเท่าเดิมหรือดีกว่าเดิมเสียอีก จึงพอสละสั่งคนให้มาบอกฉันให้กลับบ้าน ฉันจึงเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านเจ็ดเสมียนใน วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๔๙๖
(จากนั้นเป็นต้นมา นายหิรัญ ก็ไม่ได้กลับไปหัวหินอีกเลยตลอดชีวิต เมื่อกลับมาบ้านในวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๖ แล้ว นายหิรัญไปอยู่ที่ไหน ? .... )