มอเตอร์ไซค์ให้เปล่า ๒ อุบัติเหตุครั้งที่ ๒

ผู้เขียนขณะที่อยู่บ้านปากเกร็ด ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๐     

    ผมรู้สึกว่าเจ็บๆเสียวๆตรงหัวเข่าข้างซ้าย ตรงข้อศอกและฝ่ามือก็เหมือนกัน ผมคลำๆดูรู้สึกว่าจะเป็นแผลถลอกจากที่ผมกระเด็นตกรถไปนั้น ผมมีความรู้สึกว่าหัวผมทิ่มลงไปและไถไปตามพื้น

    นี่ดีนะว่าผมใส่หมวกกันน๊อคมิฉะนั้นผมอาจจะบาดเจ็บมากกว่านี้ก็ได้ ผมลุกขึ้นยืนปัดเนื้อปัดตัวแล้วโขยกเขยกมาที่รถ และพยายามจะดึงรถให้ตั้งขึ้น

    ตำรวจที่รักษาการณ์ที่ป้อมนั้นวิ่งมาที่ผม พร้อมกับควักนกหวีดขึ้นมาเป่า ปรี๊ด ปรี๊ด และยกมือขึ้นเหมือนจะห้ามรถที่จะตรงมา ให้เลี้ยวอ้อมตรงที่รถผมนอนตะแคงอยู่ และโบกรถคันที่วิ่งต่อๆมาให้เดินหน้าต่อไป

   คล้ายกับว่าอย่าหยุดดูเพราะว่าจะทำให้รถติดกันใหญ่ ยิ่งตรงนี้เป็นสามแยกด้วยแล้วรถจะคับคั่งมาก พร้อมกันนั้นตำรวจที่ป้อมอีกคนหนึ่ง ก็ยกกรวยขาวแดงมาตั้งกันรถ ให้เลี่ยงตรงที่เกิดอุบัติเหตุนี้และให้อ้อมๆไปหน่อย

   ตำรวจคนที่เอากรวยมาตั้งนั้นคือ สิบตำรวจเอกเสน่ห์ ซึ่งผมรู้จักดี เมื่อเขาจำผมได้แล้วเขาบอกว่า “โธ่..นึกว่าใคร เฮียเองหรอกรึ แล้วเป็นไงรถจึงล้มได้ขับมอเตอร์ไซค์ต้องระวังหน่อย” ผมบอกว่า “ไม่รู้ว่ามันลื่นล้มได้อย่างไร ก็ขับมาอย่างทุกวันนั่นแหละ “

   สิบตำรวจเอกเสน่ห์บอกว่า "ทางตรงเลี้ยวนี้รถบรรทุกบางคันที่เติมน้ำมันโซล่าเต็มถัง แล้วไม่ได้ปิดฝาถังน้ำมัน อาจจะเพราะว่าฝาถังหายไปพอเลี้ยวตรงนี้แล้ว น้ำมันมักจะกระฉอกหกออกมาบนถนนทำให้ถนนลื่น

  มีรถมอเตอร์ไซค์ล้มกันบ่อยๆ เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วต้องระวัง  แล้วเฮียเป็นอะไรหรือเปล่า จะไปหาหมอไหมผมจะพาไป”

   สิบตำรวจเอกเสน่ห์ถามผม พลางมองไปที่น้ำข้นๆสีแดงแปร๊ดคล้ายเลือด ที่กระเซ็นสาดกระจายอยู่กลางถนน ผมก็บอกว่า  " เจ็บนิดหน่อยไม่ต้องไปหาหมอหรอก ขอบใจหมู่มากๆนะ"

   สิบตำรวจเอกเสน่ห์ฟังคำตอบของผมแล้วก็ยังงงๆ แล้วก็คงจะคิดว่า เลือดออกตั้งมากมายอย่างนี้ยังว่าไม่เป็นอะไรอีก แต่เมื่อได้ยินผมบอกว่าไม่เป็นไร แกก็ยังไม่วาย มองสำรวจร่างกายของผมอีก แล้วก็ไม่เห็นว่าตัวผมมีเลือดออกตรงไหน แกก็ทำท่างงๆอยู่เช่นเดิม

   ผู้หมู่เสน่ห์ช่วยจูงมอเตอร์ไซค์ของผมไปจอดที่หน้าป้อม ผมเดินตามหมู่เสน่ห์ไปนั่งข้างหน้าป้อม ที่มีม้านั่งหินขัดเป็นของโรงไม้แถวๆนั้นเป็นผู้บริจาคเอาไว้ หมู่เสน่ห์ช่วยโทรศัพท์ไปที่บริษัท บอกว่าผมเกิดอุบัติเหตุให้คนมารับด้วย

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ว่าที่จริงก็ไม่ร้ายแรง และไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร รถมอเตอร์ไซค์ล้มกันอยู่ทุกวัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนมุงดูกันอยู่ข้างถนนเป็นกลุ่มๆ พร้อมทั้งมีรถยนต์ใหญ่น้อยจอดดูกันเป็นทิวแถว พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์กันไป

ผู้เขียนกับแม่และน้องเมื่อเกือบ ๓๐ ปีมาแล้ว

   ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งคงเป็นข้าราชการ หรือไม่ก็เป็นครู พูดกับอีกคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ด้วยกันว่า “อย่างนี้คงไม่รอดหรอก เลือดออกมานองอย่างนั้น”  พลางชี้มือไปที่กองเลือดสีแดงเข้ม ที่ไหลนองสาดกระจายอยู่ที่กลางถนน

   อีกคนบอกว่า “จริงๆด้วยอีรูปนี้คงตายแน่” แล้วก็ทำหน้าสยดสยอง คงคิดว่าคนเจ็บนั้นเขาพาไปโรงพยาบาลแล้ว ไม่ได้นึกว่าเป็นผมที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนใกล้ๆ

   ผมได้ยินแล้วผมก็อยากจะบอกว่า นั่นไม่ใช่เลือดหรอกครับ เป็นน้ำหวานน่ะ น้ำหวานเฮลล์บลูบอยด์ สีแดงไม่ใช่เลือกหรอกครับ แต่ผมก็ไม่ได้บอก

   จากที่รถผมลื่นล้มที่สามแยกนนทบุรีในวันนั้น ผมก็ไม่ได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาหลายวันเดินโขยกเขยก เวลาเดินขาข้างซ้ายตรงหัวเข่าเสียวแปร๊บๆตรงรอยแผลที่กำลังตกสะเก็ด เรียกว่าไปถูกตรงนั้นไม่ได้เลยทีเดียว

   เช่นเดียวกับตรงข้อศอกและฝ่ามือข้างซ้าย แผลกำลังตกสะเก็ดเกือบหายแล้ว เวลามาทำงานก็นั่งรถเมล์มาเหมือนเมื่อยังไม่มีรถ ยิ่งร่างกายเหมือนคนพิการอย่างนี้ ขึ้นรถเมล์ยากลำบาก ภรรยาของผมต้องคอยประคองตลอดเวลา

[เกี่ยวกับที่รถล้มและเจ็บหัวเข่าข้างซ้ายในวันนั้น ต่อมาไม่นานแผลก็หาย แต่ว่ายังเจ็บ     แปร๊บๆอยู่เมื่อไปถูกที่ตรงนั้นแม้จะเบาๆก็เจ็บตลอดมา จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้ไปปรึกษากับหมอ หมอบอกว่าควรจะผ่าออกเสียแล้วก็จะหายเป็นปกติ ดังนั้นผมจึงได้ไปให้นายแพทย์ อภิชาต สินธุวณิช นายแพทย์ศัลย์กรรม โรงพยาบาลชลประทาน ผ่าออกและได้หายเป็นปกติตั้งแต่นั้นมา ]

ผู้เขียนกับภรรยาที่บ้านปากเกร็ด ในตอนเช้าก่อนจะไปทำงาน

    แล้วไม่กี่วันพอแผลเริ่มหาย ผมก็ขับมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าสีแดงของผมมาทำงานได้ โดยมีภรรยาของผมนั่งซ้อนท้ายมาด้วยเหมือนเดิม เนื่องจากเบื่อการขึ้นรถเมล์ที่เบียดเสียด แออัดยัดเยียดเป็นปลากระป๋อง 

   อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นอุบัติเหตุในครั้งแรกของผมที่มีมอเตอร์ไซค์เป็นของตัวเอง   และเมื่อผมขับได้ครั้งใหม่นี้ ผมจึงต้องระวังที่สุดเพื่อไม่ให้มีอุบัติเหตุอีก ผมออกปฏิบัติงานของผมเหมือนเดิม คือไปวางบิลตามร้านค้าย่อย และเก็บเช็คเมื่อถึงกำหนดเก็บแต่ก็ไปเพียงร้านค้าย่อยใกล้ๆในเขตุนนทบุรีเท่านั้น

    จากอุบัติเหตุครั้งแรกผ่านมาเป็นเวลาหลายเดือน เย็นวันหนึ่งเป็นวันสิ้นเดือนเงินเดือนออก รับเงินเดือนแล้วก็ได้เวลาเลิกงานพอดี พวกคนงานและพนักงานอื่นๆก็ครึกครื้นกันเป็นพิเศษ ผมกับภรรยายังไม่ได้กลับบ้านเลยทีเดียว เงินเดือนออกแล้วก็คิดจะซื้อของเข้าบ้านเสียหน่อย

   ก่อนหน้านี้ภรรยาผมบอกว่า วันสิ้นเดือนตอนเย็นๆเราเข้าตลาดเมืองนนท์กันหน่อย ไปหาซื้อผักซื้อหมูมาต้มจับฉ่ายกินกันดีกว่า ไม่ได้กินกันมานานแล้วและอยากจะซื้อของบางอย่างที่ใช้ประจำวันด้วย

    ผมบอกว่าทำไมต้องไปตลาดนนท์ด้วย ขากลับบ้านเราผ่านห้าแยกปากเกร็ด ก่อนเข้าบ้านเราก็แวะเข้าไปที่ตลาดปากเกร็ดก็ได้ ผักหญ้ามีสารพัดถมเถไป ภรรยาบอกว่าไปนนท์เถอะ มีเจ้าขายผักที่ซื้อกันเป็นประจำ แล้วก็จะหาซื้อชุดใส่ทำงานสักชุดหนึ่งด้วย

    เมื่อถึงวันสิ้นเดือนผมก็ตกลงไปตลาดนนท์ อย่างที่ภรรยาผมต้องการ โดยภรรยาผมนั่งซ้อนท้ายไปด้วยเพราะว่าผมไม่อยากจะขัดใจ และในใจก็คิดว่าดีเหมือนกัน ตั้งแต่รถล้มคราวนั้นแล้วก็ยังไม่ได้เข้าไปในตลาดนนท์อีกเลย

วันหยุดผมไม่อยากออกไปไหน ผมก็ปรับปรุงบ้าน และบางทีก็อาบน้ำหมาด้วย

   ๕ โมงเย็นบริษัทก็ปิดที่ทำการ พนักงานทั้งหลายก็ทยอยกันออกจากบริษัท ผมกับภรรยาก็ออกรถมุ่งไปตลาดในตัวจังหวัดทันที ผมขับรถไปเรื่อยๆและระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะว่าจากรถล้มคราวที่แล้วทำให้ผมต้องระวังเป็นพิเศษ

   กว่าจะถึงตลาดสดก็ร่วม ๕ โมงครึ่งเข้าไปแล้ว หน้าหนาวอากาศมืดเร็ว ผมว่าราวๆ ๖ โมงกว่าๆนี้คงมืดแน่นอน ผมจอดรถตรงหน้าตลาดสดเพราะว่ารถมอเตอร์ไซค์เป็นรถเล็กกินที่น้อยจอดตรงไหนก็ได้ สมัยก่อนนั้นไม่ได้เข้มงวดเหมือนปัจจุบันนี้

    ผมบอกภรรยาว่าซื้ออะไรก็รีบเร็วหน่อยก็แล้วกัน ไม่อยากจะขับรถในตอนกลางคืน เพราะตอนกลางคืนทัศนียภาพในการมองเห็น น้อยกว่าในตอนกลางวันมาก อันตรายจึงมากขึ้นกว่าตอนกลางวันหลายเท่าตัวทีเดียว

    ภรรยาผมเดินไปซื้อของที่ต้องการในตลาดแล้ว ส่วนผมก็เดินดูโน่นนี่เป็นการฆ่าเวลาที่รอภรรยาอยู่ สักพักใหญ่ๆภรรยาจึงเดินกลับมา พร้อมทั้งหิ้วของพะรุงพะรังมาด้วย

    กว่าเราจะออกรถจากตลาดได้ก็มืดพอดีอย่างกับที่ผมกะไว้  แต่ผมก็ไม่ได้กลัวอะไร เพราะนนทบุรีเป็นถิ่นของผมอยู่แล้ว ถนนหนทางก็ชินดีอยู่ ตรงไหนมีหลุมมีบ่อก็รู้เกือบทั้งเส้นทาง

    ผมออกจากตลาดผ่านโรงหนัง ศรีพรสวรรค์ ซึ่งเปิดไฟที่หน้าโรงสว่างจ้ามีคนยืนดูแผ่นภาพของหนัง ที่ติดโชว์ไว้ตามข้างผนังมีคนยืนดูประปราย เพราะว่ายังหัวค่ำอยู่

   ผมจำได้ว่าที่หน้าโรงหนังศรีพรสวรรค์นี้ เมื่อผมมาทำงานที่เมืองนนท์ใหม่ๆ (ก่อนหน้าที่มาทำบริษัทนี้) ผมเคยมาเดินเล่นที่หน้าโรงหนังหลายครั้ง ที่นี่มีแผงขายเทปที่ใหญ่มาก มีเทปเพลงทุกชนิดขาย (สมัยนั้นยังไม่มีแผ่นซีดี) ผมซื้อเทปเพลงเป็นม้วนแรกในชีวิตก็ที่นี่ เป็นเพลงของรวงทอง ทองลั่นทม ชุดปาหนัน ซึ่งปัจจุบันนี้(๒๕๕๓)ก็ยังอยู่และยังฟังได้อยู่ 

    ผ่านวัดทินกร ซึ่งกำลังมีงานมีคนพลุกพล่านเพราะวันนี้เป็นวันสิ้นเดือนจึงมีคนออกมาเที่ยวกันมาก ผมไม่รู้ว่าเป็นงานอะไรเห็นมีชิงช้าสวรรค์ด้วย แต่คิดว่าคงไม่ใช่งานของวัดจริงๆหรอก คงจะเป็นพวกเอกชนมาเช่าที่วัดแล้วก็ เปิดการแสดงต่างๆเก็บเงินค่าผ่านประตู

   สักครู่ก็ผ่านคลินิกซึ่งเป็นตึกแถวชื่อ “สำนักงานแพทย์สุขุม” ของนายแพทย์ เกียรติประวัติ สุขุม ซึ่งผมกับหมอท่านนี้รู้จักและคุ้นเคยกันดี เนื่องจากตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนนั้นผมพาเด็กๆลูกของผมมาหาหมอเป็นประจำ ในขณะที่ลูกๆของผมยังเล็กอยู่

   ผมหันไปบอกภรรยาที่นั่งซ้อนท้ายว่า วันนี้ที่ร้านหมอคนเยอะจัง จะเกี่ยวกับวันสิ้นเดือนหรือเปล่าเนี่ย ภรรยาผมบอกว่าไม่น่าจะเกี่ยวนะ หน้าหนาวเข้ามาอากาศเปลี่ยน เด็กๆก็ไม่สบายกันใหญ่อย่างนี้แหละเป็นของธรรมดา  ผมก็เลยพูดเล่นๆขึ้นมาว่า เราสองคนไม่ควรมาทำงานอย่างนี้เลยลำบากลำบน น่าจะเป็นหมอดีกว่ารวยไม่รู้เรื่อง ภรรยาผมหัวเราะใหญ่แล้วเตือนผมว่า ให้ขับรถระวังหน่อยมันค่ำแล้ว

   เลยคลินิกของหมอสุขุมมาหน่อย แต่ก็ยังเป็นตึกแถวๆเดียวกับหมอสุขุมนั้น สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ที่หน้าตึกมีหมาหลายตัวกัดกันเป็นกลุ่มอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมมองเห็นแล้วก็พยายามชะลอรถ

   แต่ไม่ทันเสียแล้วหมาตัวหนึ่งเป็นหมาตัวใหญ่ที่โดนรุม สู้หมาหลายตัวไม่ได้และกำลังจะหาทางหนี มันกระโจนผึงมากลางถนนจังหวะเดียวกับที่รถของผมมาถึงพอดี ผมจึงชนมันเข้ากลางลำตัวอย่างจัง มันกระเด็นกลิ้งหลุนๆหมุนไปหลายตลบ

   ส่วนรถของผมก็เสียหลักล้มคว่ำโครมลงไปตรงนั้นกระจกมองหลังแตกกระจาย ผมกับภรรยากระเด็นตกลงมาจากรถมานั่งอยู่บนพื้นถนน  ข้าวของที่ซื้อมาจากตลาดกระจายเกลื่อน  มีคนสองสามคนที่นั่งล้อมวงกินเหล้ากัน อยู่ที่โต๊ะหน้าตึกนั้นวิ่งออกมาดูใกล้ๆผม แล้วถามว่าเป็นอะไรบ้างหรือเปล่าจะให้ช่วยอะไรบ้างหรือไม่

    ผมขอบคุณเขาแล้วบอกว่า ล้มไม่แรงนักไม่เป็นอะไรหรอก ส่วนภรรยาผมนั้นนั่งอยู่นิ่งๆผมจึงถามว่าเป็นอะไรบ้างไหม เขาบอกว่าจุกนิดหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก ผมเลยบอกว่า "เราช่วยกันเก็บของที่พอใช้ได้ส่วน ที่แตกหักเสียหายเลอะเทอะก็อย่าไปเอามันเลย ทีหลังค่อยไปหาซื้อเอาใหม่"

   ผมบอกภรรยาอีกว่า "เราจูงรถย้อนไป ที่ร้านหมอสุขุมให้เขาตรวจดูสักหน่อยดีกว่า ว่าเรามีแผลหรือเป็นอะไรบ้างหรือเปล่า ก็ให้หมอรักษาเสียเลย"

   วันนั้นโชคดีที่รถล้มไม่แรงนักเพราะว่าผมขับขี่ด้วยความระมัดระวัง  แต่ก็ถึงคราวซวยที่หมามาชนล้มจนได้  จึงได้แผลกันคนละนิดหน่อย และเสียของที่ซื้อมาหลายอย่าง รวมทั้งผักต่างๆที่ตั้งใจว่าจะไปต้มจับฉ่ายกินด้วย......

   เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลังจากที่เสียค่ายาค่ารักษาจากหมอ สุขุมคนละ ๓๐๐ บาทแล้ว ภรรยาผมพูดว่า  " มอเตอร์ไซค์คันนี้ชักจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว .........! "

เขียนโดยปฏิพัทธ์ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๓

อ่านตอนต่อไปมอเตอร์ไซค์ให้เปล่า ๓    คลิ๊กที่นี่

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้228
เมื่อวานนี้343
สัปดาห์นี้1717
เดือนนี้7884
ทั้งหมด1337768

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

2
Online