ร้อยตรีอุทัย ๖ ทหารนักมวย

 

ร้อยตรีอุทัย สนกระแสร์           คุณนิตยา สนกระแสร์

       น้าทัยตัดสินใจไม่เรียนหนังสือต่อ ทั้งๆที่นายหิรัญบิดาของผม ได้ถามแล้วถ้าหากจะเรียนต่อก็จะไปฝากให้ และจะได้กลับไปอยู่ที่วัดโพธิ์ไพโรจน์ เหมือนอย่างเดิม    เพราะว่านายหิรัญก็อยากจะให้เรียนจนจบชั้นมัธยมปีที่ ๖ แต่น้าทัยไม่อยากเรียนต่อเสียแล้ว น้าทัยบอกว่าเมื่อไม่ได้เป็นทหารตามที่ได้ตั้งใจแล้ว ก็อยากจะไปทำงาน เพราะอายุก็มากแล้ว

 

ครูหิรัญ สุวรรณมัจฉา (อดีตครูใหญ่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน) เป็นผู้ส่งเสริมร้อยตรีอุทัยให้ได้เรียนหนังสือ ภาพนี้ภ่ายที่ทางรถไฟหน้าโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน (สัจจานุกูล) เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕

  ดังนั้นน้าทัยจึงไม่ได้อยู่บ้านผมที่เจ็ดเสมียนอย่างเป็นประจำ เดี๋ยวๆก็ไปโน่นไปนี่  แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะกลับไปบ้านที่บางตะบูน กลับไปช่วยตาและยายทำงานรับจ้างเก็บฝักโกงกาง ตัดต้นโกงกาง เพื่อนายจ้างจะนำไปเผาถ่านอีกทีหนึ่ง นานเป็นเดือนๆ จึงขึ้นมาเจ็ดเสมียน และอยู่พักหนึ่งก็ลงไปบางตะบูนอีก

ห้องแถวที่ตลาดเจ็ดเสมียนซึ่งเป็นห้องแถว ๒ ชั้นที่อยู่กันมาเกือบ ๕๐ ปี ได้ขายไปเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง เพราะเหตุว่าลูกๆหลานๆของนางสละ ซึ่งเป็นเจ้าของห้องได้แยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่นกันหมด ไม่มีคนอยู่แล้วจึงได้ขายไป ปัจจุบันเป็นร้านเสริมสวย อยู่ติดกับห้องของนายชุ่มนางมั่น

  จนกระทั่งเวลาผ่านไปเป็นปี จึงมีข่าวดีมาจากคนที่เจ็ดเสมียนนี้เอง เขาได้ไปธุระที่ในตัวจังหวัดราชบุรี มาบอกแม่ผมว่าที่กรมการทหารช่างในราชบุรี

   เขาประกาศรับสมัครคนธรรมดาที่เรียนจบชั้นมัธยมปีที่ ๓ ขึ้นไปอายุไม่เกิน ๒๕ ปี มาเป็นนักเรียนนายสิบเหล่าทหารช่าง เรียนจบแล้วก็จะบรรจุเข้าเป็นทหารช่าง มียศและมีเงินเดือนด้วยให้รีบไปสมัครโดยด่วนเลย ประเดี๋ยวเขาจะปิดรับสมัครเสียก่อน

นายผวน (ยืนซ้าย) ที่เป็นผู้ไปส่งข่าวให้น้าทัยรู้เรื่องการสมัครเป็นนักเรียนนายสิบ ภาพนี้เกือบจะ ๖๐ ปีแล้ว

   แม่ผมได้ถามรายละเอียดต่างๆรู้เรื่องแล้ว ก็รีบบอกให้คนที่บางตะบูนซึ่งมาอยู่กับแม่ที่เจ็ดเสมียนชั่วคราวคนหนึ่งชื่อ นายผวน  ให้รีบลงไปตามน้าทัยขึ้นมาเจ็ดเสมียนโดยด่วน แล้วก็บอกเรื่องราวต่างๆกับนายผวนให้ไปบอกน้าทัยด้วย

   เพราะว่าข่าวนี้นี่ที่ทำให้ชีวิตของน้าทัย เปลี่ยนไปตลอดชีวิต เมื่อน้าทัยได้ข่าวแล้วจึงรีบขึ้นมาเจ็ดเสมียน มาเอาหลักฐานต่างๆที่เก็บไว้ที่บ้านผมที่เจ็ดเสมียน

    ไปสมัครสอบเข้าเป็นนักเรียนนายสิบ ที่ค่ายทหารช่างราชบุรี ต่อมาเมื่อสอบเสร็จแล้ว ประกาศผลการสอบปรากฏว่าน้าทัยสอบได้ ได้เข้าเรียนเป็นนักเรียนนายสิบตั้งแต่นั้นมา สมกับความใฝ่ฝันเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องเป็นทหารให้ได้ และก็มาสมหวังในคราวนี้เอง

นางสละ สุวรรณมัจฉา (ยืนกลาง) พี่สาวคนโตของร้อยตรีอุทัย ในเทศกาลงานแห่ดอกไม้ของตำบลเจ็ดเสมียน เมื่อเกือบ ๕๐ ปีมาแล้ว

    ชีวิตในการเป็นนักเรียนนายสิบของน้าทัยนั้น ก็เหมือนกับพวกพลทหารเกณฑ์โดยทั่วไป ก็คือต้องพักอาศัยอยู่ในค่ายทหาร เพื่อการเรียนการฝึกที่คล่องตัว นานๆจึงจะลากลับบ้านได้สักครั้งหนึ่ง

    แต่สำหรับน้าทัยนั้นไม่กลัวอยู่แล้ว เพราะจากบ้านจากช่องมาตั้งแต่เด็กๆ จะไปกลัวอะไรกับเรื่องเล็กๆอย่างนี้  ชีวิตในการเป็นนักเรียนนายสิบของน้าทัยนั้นจะโลดโผนตื่นเต้นสักเพียงไร ผมก็ไม่ทราบเพราะว่าผมไม่ได้ไปเรียนด้วยจึงไม่ทราบเรื่องนี้มากนัก

   นานๆสักครั้งผมจึงเห็นน้าทัย มาค้างคืนที่บ้านผมที่เจ็ดเสมียนสักครั้งหนึ่ง และไม่ได้คุยอะไรกันมาก น้าทัยกลับมาที่เจ็ดเสมียน ก็ชอบออกเดินไปคุยที่บ้านนั้นบ้านนี้ เพื่อนๆรุ่นเดียวกับน้าทัยที่เจ็ดเสมียนนี้ก็มีมาก ปัจจุบันนี้ยังอยู่และเสียชีวิตไปบ้างแล้วก็มี

หนุ่มเจ็ดเสมียน ๔ คนนี้เป็นคนรุ่นเดียวกับน้าทัยซึ่งเป็นเพื่อนกัน จากซ้ายนายธง ซาเสียง, นายงั้ง พี่ชายเจ๊ประนอม, นายนพพร สิงหชาติปรีชากุล (เฮียเล็ก ไทยเจริญ) และนายไท้เธียร พี่ชายของคุณมยุรี วิทยาลิขิต (คุณเตียง)

    น้าทัยเข้าเรียนที่โรงเรียนนายสิบ เหล่าทหารช่างที่ราชบุรี ประมาณ ๒ ปี ก็สำเร็จติดยศเป็นนายสิบตรี ได้บรรจุทำงานในกรมการทหารช่างนั้นเอง เมื่อจบและติดยศใหม่ๆนั้นทางการยังไม่มีบ้านพักให้ น้าทัยจึงต้องกลับมาพักที่บ้านผมที่เจ็ดเสมียนอีกครั้งหนึ่ง ตอนเช้าก็ไปทำงานโดยถีบจักรยานไปรอรถที่หนองบางงู เพราะว่าในสมัยนั้นยังไม่มีรถที่วิ่งระหว่างเจ็ดเสมียน กับราชบุรีเหมือนสมัยนี้

   ในระยะนี้ผมจึงห่างๆไม่ค่อยได้รู้เรื่องของน้าทัยมากนัก โรงเรียนเปิดผมก็ไปโรงเรียนของผม โรงเรียนปิดผมก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆเด็กเจ็ดเสมียนของผม  ถึงกระนั้นผมก็ได้ยินข่าวของน้าทัยเสมอๆ ว่าน้าทัยเป็นนักมวย ได้ข่าวว่าไปต่อยที่นั่นที่นี่ เวทีงานวัดนั้นงานนี้  แต่ผมก็ไม่เคยดูเคยเห็นน้าทัยต่อยมวยบนเวทีเลยสักครั้งเดียว

   เรื่องน้าทัยเป็นนักมวยและขึ้นเวทีต่อยมวยนั้น ผมก็ระแคะระคายมาตั้งแต่มาอยู่ที่บ้านผม เมื่อตอนเป็นนายสิบใหม่ๆแล้ว ผมเคยเห็นมีตำราการชกมวย ของน้าทัยหลายเล่มวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ แต่ผมก็ไม่เคยเห็นน้าทัยซ้อมมวยที่เจ็ดเสมียนเลย คงจะหาเวลาในตอนเลิกงานเย็นๆซ้อมชกมวยในค่ายทหารเป็นแน่

ร้อยตรีอุทัย กับน้านิดพร้อมด้วยคุณกุ้ง บุตรสาว (เสื้อชมภู) เมื่อวันที่หลานๆมาเยี่ยมที่บ้านเมื่อเดือนมกราคม ๒๕๕๓ (ภาพปัจจุบันนี้ เกียรติศักดิ์ สุวรรณมัจฉา ถ่ายภาพ)

  มีอยู่ครั้งหนึ่งผมและเพื่อนๆเด็กเจ็ดเสมียนด้วยกัน ไปเที่ยวงานหาดทรายประจำปีที่โพธาราม (งานงิ้ว) ในคืนนั้นบังเอิญผมและเพื่อนๆได้ดูน้าทัยไปต่อยมวยด้วย เรื่องเหล่านี้ผมได้เขียนรายละเอียดไว้แล้ว

  ถ้าอยากจะอ่านเรื่องนี้อย่างละเอียด ก็คลิ๊ก เรื่องเฮียแก่เล็กและงานหาดทราย ได้เลยครับ

   และในโอกาสที่เสนอเรื่องของน้าทัยมาแล้ว จึงขอตัดตอนที่ผมกับเพื่อนครั้งหนึ่งเคยได้ดูน้าทัยต่อยมวยมาสักเล็กน้อย ขอเชิญท่านติดตามได้ดังต่อไปนี้...

   พวกผมนัดกับพวกไอ้โห้ (คุณสุรพงษ์ แววทอง) ที่ตรงเขาขายตั๋วที่หน้าสนามมวยชั่วคราวในงานประจำปีหาดทรายโพธารามนี้ ในเวลา ๓ ทุ่มนั้น นี่ก็เกือบจะสามทุ่มแล้ว เพราะว่าผมแอบเหลือบไปดูนาฬิกาข้อมือ ของชายคนหนึ่งที่มายืนกินน้ำแข็งข้างๆผม

  ดังนั้นผมจึงบอกเฮียแก่เล็กว่า พวกเราไปที่สนามมวยกันเถอะ พวกไอ้โห้  ไอ้อู๊ด (คุณโอฬาร ลักษิตานนท์) ไอ้แอด (คุณสุรชัย แววทอง) มันคงจะยืนรอพวกเราอยู่ที่หน้าสนามมวยแล้วละ

นั่งจากขวา สุรพงษ์ แววทอง, โอฬาร ลักษิตานนท์ ที่ไปเที่ยวงานหาดทรายโพธารามด้วยกัน ภาพในปัจจุบันนี้ (๒๕๕๒)

   เฮียแก่เล็ก (คุณพิศิษฐ์ ชื่นณรงค์) พยักหน้า เดินนำพวกผมไปยังสนามมวย ซึ่งอยู่ห่างจากการละเล่นพวกนี้ ไปทางเหนือทันที เมื่อใกล้สนามมวยเข้ามาได้ยินเสียงปี่กลองกำลังเชิด มวยคู่ที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ กำลังต่อยกันจวนจะจบยก ๕ อยู่แล้ว

   ที่รู้เพราะว่าได้ยินเสียงโฆษกในเวทีกำลังบรรยายการชกต่อยของมวยคู่นี้ดังลั่น เมื่อผมมาถึงหน้าสนามมวยตรงที่เขาขายตั๋วนั้น  ก็ได้พบพวกไอ้โห้ยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว

เฮียแก่เล็ก (คุณพิศิษฐ์ ชื่นณรงค์) เมื่อายุ ๑๗ ปี 

   พอเจอหน้ากันผมก็ถามไอ้โห้ว่า มาคอยกันนานหรือยัง มันบอกว่าไม่นานเท่าไรนักแล้วมันก็บอกว่า เมื่อสักครู่ที่มันมาคอยตรงนี้นั้น มันได้เจอกับน้าทัยน้าชายของผม กำลังเดินเข้าสนามมวย ยังทักกูเลย เขาบอกว่าเขามาชกมวยในวันนี้ด้วย

    ในเรื่องนี้ผมก็เคยรู้เรื่องมาบ้างว่า น้าชายของผมคนนี้เป็นนักมวย แต่ไม่เคยเห็นจริงๆสักที ที่บ้านผมนั้น น้าทัย เคยมาพักอยู่ด้วยเป็นเวลาหลายปี ในตอนหลังจึงได้ไปอาศัย วัดโพธิ์ไพโรจน์ อยู่กับพระเพื่อไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน โพธา ฯ จนจบแค่มัธยมปีที่ ๔

    แล้วก็ว่างงานอยู่พักหนึ่ง จึงไปสอบเข้าเป็นนักเรียนนายสิบทหารช่างอยู่ที่ราชบุรี ผมเคยเห็นพวกหนังสือเกี่ยวกับตำราการชกมวย หลายเล่มซึ่งน้าของผมซื้อมาอ่าน แต่การซ้อมมวยจริงจังนั้นผมก็ไม่เคยเห็น คงจะเริ่มต่อยมวยเมื่อเป็นทหารนั่นเอง

     มาในวันนี้เมื่อไอ้โห้มันบอกว่า น้าทัยมาชกมวยในวันนี้ด้วย ผมจึงอยากจะดูมากผมจึงปรึกษากับเฮียแก่เล็กว่า อยากจะดูมวยกันไหม  โดยเฉพาะเป็นน้าของผมด้วยที่จะต่อยในวันนี้ เฮียแก่เล็กก็บอกว่า เราไม่ขัดข้องนะ ส่วนใครจะดูก็ได้แต่ถ้าไม่อยากดู ก็ไปดูหนังหาที่นั่งที่หน้าจอหนังก่อน แล้วค่อยเจอกัน

   เวลายังมีอีกมากใครหิวอะไรก็ซื้อกินเลย ไม่ต้องเป็นห่วงกันนะ เฮียแก่เล็กแกบอกอย่างนี้  แต่ไอ้อู๊ดกับไอ้โห้และน้องของมันคือไอ้แอดมันไม่อยากดูมวย ไหนๆได้มาเที่ยวแล้ว ก็อยากจะดูหลายๆอย่าง เฮียแก่เล็กก็ว่ายังงั้นก็ตามใจ แล้วก็มาเจอกันแถวๆหน้าจอหนัง จอใหญ่ก็แล้วกัน

ไอ้แอด (คุณสุรชัย แววทอง) ขวาสุดเมื่อสมัยเด็ก งานหาดทรายคืนนั้นก็ไปด้วยกัน ไอ้โล ซายสุด(คุณอโนทัย  ไทยสวัสดิ์) ชวนแล้วแต่เขาไม่ไป

    ข้างในสนามมวยนั้น มีแฟนๆที่นิยมมวยหนาแน่นมากแล้ว  ได้ทราบว่ามวยต่อยกันไป ๒ คู่ รวมทั้งคู่ที่กำลังต่อยจะจบยก ๕ นี้รวมเป็น ๓ คู่ อันที่จริงเรื่องมวยนี้ผมก็ไม่ได้ คลั่งไคล้อะไรนักหนาหรอก ที่บ้านเฮียง้วน เจ๊กวยก็เอาโทรทัศน์มาเปิด การถ่ายทอดชกมวยจากเวทีใหญ่ในกรุงเทพฯบ่อยๆ แล้วก็เก็บสตางค์คนที่มาดูด้วย

    ผมเคยเดินผ่านหลังตลาดที่สมัยก่อนเป็นโรงยาฝิ่น ต่อมาโรงฝิ่นเลิกแล้วเฮียง้วนแกก็ปลูกโรงไว้ ทำเป็นเหมือนวิกเล็กๆ  ผมเดินผ่านไปทางนั้นในวันที่มีการถ่ายทอดการชกมวย จะได้ยินสียง เฮ เฮ กันลั่นตรงโรงนี้ (ปัจจุบัน เจ๊กวยแกปลูกบ้าน อยู่ตรงที่ผมว่านี้แล้ว และถัดเข้าไปข้างใน ก็ทำเป็นโรงงานผลิตผักกาดของแกด้วย)

   เฮียแก่เล็กก็ชอบมวยเหมือนกัน ผมเคยเห็นแกเข้าไปดู ที่โรงเล็กๆของเฮียง้วนบ่อยๆ และก็เคยซ้อมมวยกับผม ซ้อมกันเล่นๆที่ท่าใหญ่ก่อนที่จะลงอาบน้ำ ก็หลายครั้งแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ซ้อมอะไรกับเฮียแก่เล็กแกมากนักหรอก เพราะว่าเฮียแก่เล็กแกตัวโตกว่าผมมาก

    เสียงปี่กลองดังขึ้นมาในเพลงไหว้ครู มวยคู่ต่อมาขึ้นไหว้ครูก่อนจะชกกันอีกแล้ว  ผมมองดูคู่นี้ก็ไม่ใช่คู่ของ น้าทัย น้าของผมขณะนั้นผมก็ยังไม่รู้ว่า น้าทัย จะชกเป็นคู่ที่เท่าไร การที่พวกผมตัดสินใจเข้ามาดูมวยนี้ ก็เพียงแต่อยากจะดูคู่ น้าทัย ชกเพียงคู่เดียวเท่านั้น

   คู่นี้เป็นคู่ที่ ๕ หรือ ๖ ก็จำไม่ได้แล้วได้ยินโฆษกประกาศว่า คู่ต่อไปนี้เป็นคู่ล้างตา ระหว่าง ศิษย์น้อย ศิษย์เทียน กับ อำนวยพร ส.นครชัย ในรุ่นน้ำหนักไม่เกิน ๕๒ กิโลกรัม หรือรุ่น ฟลายเวทนั่นเอง มวยคู่นี้ได้พบกันมา ๒ ครั้งแล้ว ที่เวทีมวยวัดบางลานในงานประจำปี

  และเวทีมวยงานประจำปีที่เขางูเมื่อปีที่แล้ว ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะกันคนละหน ดังนั้นในวันนี้จึงเป็นนัดล้างตาที่ท่านรอคอยกันมานาน แล้วโฆษกก็ประกาศบรรยายสรรพคุณ แบบโม้ไปเรื่อยๆตามประสาคนเป็นโฆษก ก่อนที่นักมวยทั้งคู่จะขึ้นเวที

   พอผมได้ยินคำว่า ศิษย์น้อย  “ศิษย์เทียน” เข้าเท่านั้น ผมก็สะกิดเฮียแก่เล็กและไอ้เหม่งแล้วว่า พวกเราโชคดีแล้ว น้าทัยต่อยคู่ต่อไปนี้แหละ เฮียแก่เล็กว่าแล้วเก้วรู้ได้ไง

   ผมก็บอกว่าผมแน่ใจแน่นอนเพราะว่า ฉายาว่า ศิษย์เทียน นั้นน้าทัยคงจะเอาชื่อพ่อของเขา (คือตาของผม) ที่ชื่อนายเทียน สนกระแสร์  มาเป็นชื่อค่ายเสียเลย ความคิดของผมคงจะถูกต้อง ผมบอกเฮียแก่เล็กและไอ้เหม่งคอยดูกันต่อไปก็แล้วกัน

   ผมบอกกับไอ้เหม่งยังไม่ทันขาดคำ นักมวยมุมแดงก็เดินออกมาตามหลังด้วยบรรดาพี่เลี้ยง ก็คงจะเป็นเพื่อนทหารของน้าทัย ก้าวขึ้นเวทีมาก่อนใส่กางเกงชกมวยเสียสวยงาม  ที่กางเกงปักอักษรศิษย์น้อย ศิษย์เทียน สีเหลือง

   ต่อมานักมวยในมุมน้ำเงินก็ขึ้นมาบนเวที รูปร่างก็ไล่เลี่ยกันแต่อำนวยพร ส.นครชัย ผิวจะคล้ำไปกว่าน้าทัยเล็กน้อย ได้ยินโฆษกบอกว่าอำนวยพรนี้เป็นมวยไต้ จากนครศรีธรรมราช ตระเวนชกในแถบภาคไต้ และบางครั้งก็ขึ้นมาชกถึงโพธารามนี้ อยู่ในรุ่นน้ำหนัก ๕๒ กิโลกรัมเช่นเดียวกัน

    ผมกับเฮียแก่เล็กและไอ้เหม่ง ต่างก็ตื่นเต้นกันใหญ่ ที่จะได้ดูมวยที่เราอุส่าห์ตั้งใจจะดู ยกที่ ๑ เริ่มขึ้น โฆษกข้างเวทีที่พากย์มวยก็เริ่มพากย์เสียงดังลั่น ผมเห็นทั้งคู่ปราดเข้ามาหากัน น้าทัยนั้นถนัดมือซ้าย จึงจรดมวยทางขวาออก ส่วนอำนวยพรนั้นถนัดขวา จึงจรดมวยไปตามปรกติ มวยซ้ายกับมวยขวานั้นต่อยกันแล้ว ทำความลำบากใจให้มวยถนัดขวามาก

    เมื่อสัญญาณระฆังดังกังวาน ยกที่ ๑ ดังขึ้นนั้น น้าทัยปราดเข้าไปทักทายด้วยการเตะขวา เข้าที่ข้อเท้าของคู่ต่อสู้ ๑ ที อำนวยพร ออกหมัดแย๊ปซ้ายสวนมาเหมือนกัน แต่ไม่โดน

    ต่างคนต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จนจบยกที่ ๑ ในยกที่ ๒ และ ๓ นั้น ต่างคนต่างแลกหมัดและเตะกันอย่างดุเดือด แต่ก็ยังไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำลงไป คนดูตบมือชอบใจ ที่นักมวยทั้งคู่ต่อยกันได้ดุเดือดถึงใจ จนระฆังหมดยกที่ ๓

   เสียงระฆังยกที่ ๔ ดังขึ้น ทั้งคู่ปราดเข้าหากัน ยังไม่ได้เริ่มต้นต่อยกันเลย ในพริบตานั้นผมเห็น น้าทัย เตะซ้ายสูงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่นักมวยฝ่ายน้ำเงินกำลังจรดๆจ้องอยู่ แข้งซ้ายของน้าทัยกระทบเข้ากับกรามของอำนวยพรอย่างจัง

 

                          ภาพประกอบจาก  www.bloggang.com

   มันรุนแรงมากทำเอาอำนวยพร ล้มทรุดลงไปทั้งยืน กรรมการปราดเข้านับถึง ๑๐ แล้ว ถึงอย่างไรอำนวยพร ส.นครชัย ก็ไม่อาจลุกขึ้นมาได้ทันเวลาอีกแล้ว กรรมการนับสิบแล้วปราดเข้าไปชูมือของศิษย์น้อย ศิษย์เทียน ให้เป็นผู้ชนะอย่างเด็ดขาด

    เสียงโฆษกตะโกนลั่นว่า ในคู่นี้เป็นคู่รักคู่แค้นกัน คงจะมีนัดล้างตากันอีกในวันข้างหน้า เสียงคนดูปรบมือชอบใจโห่ร้องกันดังลั่นให้กับผู้ชนะในวันนั้นด้วย

   เหตุการณ์ในตอนนี้ที่ผมเสนอมานั้น ผมไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดนัก เพราะว่ามันจะยาวยืดเยื้อจนเกินไป รายละเอียดเรื่องราวของน้าทัย ซึ่งเป็นน้าแท้ๆของผม ยังมีอีกมาก เป็นเรื่องที่ต่อสู้แบบลูกผู้ชายมาทั้งชีวิต

ร้อยตรีอุทัย สนกระแสร์ เมื่อใกล้จะเกษียณอายุราชการ

    ปัจจุบันนี้ น้าทัย เกษียณอายุจากราชการทหารมาหลายปีแล้ว ยังมีร่างกายแข็งแรง แต่หูค่อนข้างตึงอาจจะเป็นเพราะตอนหนุ่มๆนั้น ชกมวยได้รับความกระทบกระเทือนมากเกินไปนั่นเอง

 

มีงานบุญงานบวชงานต่างๆที่เจ็ดเสมียน น้านิด (ขวา) ก็มาร่วมงานด้วยเสมอจนรู้จักและสนิทสนมกับคนที่เจ็ดเสมียนทั่วไป จากซ้ายซ้อดั่ว,ป้าละม่อม,คุณป้าเอ็ง ผู้อาวุโสแห่งตลาดเจ็ดเสมียน

   ในบั้นปลายของชีวิตนี้ น้าทัยมีความสุขอยู่กับภรรยาคือน้านิด พร้อมด้วยลูกๆหลานๆ  ที่บ้านพักปลูกใหม่ริมถนนสายเขางู-บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี และเพิ่งจะทำบุญให้กับบ้านใหม่มาเมื่อไม่นานนี้เอง..

ขอจบเรื่องของ ร้อยตรีอุทัย สนกระแสร์ เพียงเท่านี้แล้วพบกับ "นายแก้ว" ในเรื่องใหม่ที่จะนำมาเสนอในเร็วๆนี้ สวัสดีครับ. 

เขียนโดยนายแก้ว ๓ สิงหาคม ๒๕๕๓

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้452
เมื่อวานนี้343
สัปดาห์นี้1941
เดือนนี้8108
ทั้งหมด1337992

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

3
Online