มอเตอร์ไซค์ให้เปล่า ๓ อยากมีรถยนต์

ผมจะขับขี่มอเตอร์ไซค์ไปทำงานในตอนเช้ากับภรรยาของผมทุกๆวัน 

    งานที่ผมทำอยู่นั้นเป็นบริษัทตัวแทนค้าวัสดุก่อสร้าง แบบครบวงจร ของบริษัทใหญ่ระดับชาติบริษัทหนึ่ง ดังนั้นผมจึงมีคนรู้จักเยอะ ทั้งเจ้าของร้านค้าย่อยและผู้รับเหมาต่างๆด้วย

 

 

 

 

 มีผู้รับเหมามุงกระเบื้องหลังคาซีแพคโมเนียคนหนึ่งชื่อว่า นายจำลอง มีอายุน้อยกว่าผมสัก ๕ ปีเห็นจะได้ คุณจำลองจะเรียกผมว่าพี่ทุกคำ เมื่อมาซื้อของบ่อยๆหลายๆครั้งเข้าก็คุยกันถูกคอกันดีจึงสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งคุณจำลองก็มากับภรรยาของแกด้วย

คุณหวานกำลังรอที่จะนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปทำงานพร้อมผมทุกวันในตอนเช้า

   ตอนหนึ่งคุณจำลองได้คุยกับผม เมื่อตอนที่เขามาติดต่อซื้อกระเบื้องซีแพคโมเนียไปมุงหลังคาว่า

  “พี่ไม่น่าจะขับรถมอเตอร์ไซค์เลยมันมีอันตรายมาก ไปไหนมาไหนควรจะขับรถยนต์ได้แล้ว อย่างน้อยถ้าไม่เอารถเก๋ง ก็เอารถปิ๊กอัพสักคันหนึ่งก็จะดี ไปไหนมาไหนจะได้สบายใจและมีความปลอดภัยกว่ารถมอเตอร์ไซค์ด้วย "

    มีหลายคนแล้วที่แนะนำผมอย่างนี้ ผมนำไปเล่าให้ภรรยาฟัง ซึ่งภรรยาก็เห็นด้วยที่จะเปลี่ยนการเดินทางมาทำงาน และไปไหนมาไหนจากรถมอเตอร์ไซค์มาเป็นรถยนต์ เพราะว่าชักจะไม่ไว้ใจในความปลอดภัยของรถมอเตอร์ไซค์เสียเลย ถึงแม้ว่าช่วงหลังๆจะไม่เกิดอุบัติเหตุแล้วก็ตาม

    เรื่องการที่จะซื้อรถยนต์สักคันนั้น ผมเคยคิดเอาไว้เหมือนกัน คิดถึงว่าเราก็มีลูก ๓ คนแล้ว การไปไหนด้วยกันพร้อมกันหมดทั้งครอบครัว ก็จะต้องนั่งรถเมล์หรือรถประจำทางไป

   ครั้งหนึ่งภรรยาอยากจะไปเยี่ยมบ้านพ่อแม่ และญาติพี่น้องของเขาที่ต่างจังหวัด วันนั้นเราไปกันหมดทั้งครอบครัว ๕ คน นับตั้งแต่ออกจากบ้านก็ต้องนั่งรถประจำทางไปตั้งหลายต่อ

    กว่าจะถึงสถานีขนส่งสายไต้ ลูกๆซึ่งยังเด็กอยู่ก็อ่อนเพลียกันเสียแล้ว เห็นแล้วก็สงสารลูกๆ ยิ่งตอนนั่งรถเมล์สายยาวยิ่งแล้วใหญ่ คนก็แน่น เบียดกันตัวลีบ ร้อนก็ร้อนเพราะว่ารถเมล์ไม่ได้เป็นรถแอร์เหมือนสมัยนี้

     ลูกของเรานั่งรถเมล์แล้วง่วง ก็อยากจะเอนตัวนอนบ้างก็ไม่ได้ เพราะคนมากนั่งเบียดกันเต็ม ทำให้ทรมานมากเห็นแล้วก็สงสารลูกๆหนักเข้าไปอีก ลูกชายคนที่ ๒ นั้นเป็นเด็กที่เมารถมาก แม้แต่ขึ้นรถเมล์ประจำทางในระยะสั้นๆก็อาเจียนเสียแล้ว

    ในวันนั้นเขาเมารถมาก คลื่นไส้อาเจียนออกมาเลอะเทอะไปหมด หน้าเหลืองปากคอซีด เหมือนคนจะเป็นลม  เมื่อไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดทีไรก็เป็นอย่างนี้ทุกที

   ผมพาลูกๆลงจากรถเมล์ประจำทางที่หน้าโรงเรียน แล้วต้องนั่งพักก่อนให้เด็กๆหายเมารถดีแล้ว ยังต้องพากันเดินเข้าไปที่บ้านอีกไกลพอสมควร

  จนถึงกับต้องบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ตรงทางเดินผ่านจะเข้าบ้านที่ต่างจังหวัด ว่าขอให้มีโชคมีลาภมีเงินมีทองสักทีเถิด จะได้ซื้อรถยนต์สักคันขับมาเยี่ยมบ้านได้บ่อยๆ นั่นเป็นเรื่องที่ผมคิดเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว

   จนถึงตอนนี้เวลาก็ผ่านมานานแล้ว ผมก็ยังไม่มีโชคมีลาภมีเงินพอที่จะซื้อรถยนต์สักที ขี่แต่รถมอเตอร์ไซค์มาจนทุกวันนี้ ถ้าเราไม่คิดอะไรมากขี่มอเตอร์ไซค์ก็ดี มันก็ให้ความสะดวกกับเรามาก และไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมากนัก

  ดังนั้นการที่จะซื้อรถยนต์ มันจึงเป็นเรื่องที่จะต้องคิดมาก ตั้งแต่เรื่องเงินซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญที่สุด จนกระทั่งเรื่องรถที่ว่าจะเอาแบบไหนยี่ห้ออะไรจึงจะดี เพราะว่าผมไม่มีความรู้เรื่องเหล่านี้เลย  แม้จะเคยคิดไว้บ้างว่าจะซื้อรถยนต์ให้ได้ และโดยเฉพาะต้องเอาแบบที่เหมาะสมกับฐานะของเราด้วย แล้วเรื่องก็เงียบๆไป

   เวลาผ่านไปอีกนานจนกระทั่งวันหนึ่ง เพื่อนผู้รับเหมาคนนั้นคือคุณจำลอง ได้มาติดต่อซื้อสินค้าจากทางบริษัทที่ผมทำงานอยู่อีก เมื่อได้พบกับผมเขาถามผมว่า “พี่ครับเรื่องรถยนต์นั้นพี่ซื้อมาแล้วหรือยัง” เขาพูดเหมือนกับว่าผมมีเงินอยู่แล้วจะซื้อเมื่อไรก็ได้ โธ่เอ๋ย...!
  
  ผมบอกว่า “ยังเลยที่จริงก็ไม่จำเป็นเท่าไร ยังอยากจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปก่อน” ที่ผมตอบไปอย่างนั้นก็ตอบแบบขอไปทีเท่านั้น ไม่อยากจะพูดให้มากเรื่อง เพราะว่าผมยังไม่มีเงินเลยนั่นเอง

  คุณจำลองยิ้มให้แล้วบอกว่า “ถ้าตัดสินใจซื้อเมื่อไรก็บอกผมได้นะผมยินดีช่วยเหลือ ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งทำงานอยู่ที่ โรงงานประกอบรถยนต์   นิสสันแถวๆก.ม. ๒๑ ถนนบางนา - ตราด สามารถจะตัดรถยนต์ที่โรงงานนั้นเอามาให้ได้ เป็นราคาที่ไม่ได้ผ่านตัวแทนจำหน่ายตามท้องตลาด หมายถึงว่าเป็นราคาโรงงานเลย”

   ผมได้ฟังแล้วก็บอกขอบคุณเขา ที่เอาข่าวมาบอกและยินดีช่วยเหลือผม ผมก็สนใจพอสมควร แต่ก็ยังไม่รับปากว่าจะเอาหรือไม่เพราะติดขัดปัญหาหลายอย่าง และอย่างน้อยก็ยังมีมอเตอร์ไซค์ขี่อยู่

  ผมได้เล่าให้ภรรยาฟังถึงเรื่องนี้ ภรรยาดูเหมือนว่าจะสนใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วเรื่องก็เงียบๆกันไป

  จากนั้นมาผมก็มีความสนใจ ในเรื่องรถยนต์บ้างแล้ว ในใจลึกๆนั้นก็ยังค้านๆอยู่ว่ายังไม่ต้องไปสนใจหรอกเพราะว่ายังไม่มีเงิน  ถึงกระนั้นเมื่อมีเวลาว่างผมก็ลองโทรศัพท์ ไปตามเอเย่นต์รถยนต์ต่างๆ ถามราคาและข้อมูลรายละเอียด (สเปค)ของรถด้วย

  มาสะดุดใจตรงที่คุณจำลองบอกไว้ว่า ราคาที่โรงงานจะถูกกว่าราคาที่มาจำหน่ายผ่านเอเย่นต์แล้วเป็นเงินมากพอสมควร ถึงอย่างไรก็ตามผมก็ยังขี่รถมอเตอร์ไซค์ของผมอยู่ตามเดิมเรื่อยมา เพราะว่าผมยังไม่ถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่ ๑ สักที.

  ต่อมาสิ่งที่ทำให้ผมไม่อยากขี่รถมอเตอร์ไซค์ และอยากจะซื้อรถยนต์มาใช้ก็เกิดขึ้นอีก ที่บริษัทแห่งนี้มีคนขับรถของบริษัทคนหนึ่ง (ในจำนวนนับสิบคน) ที่มีหน้าที่ขับรถเทรเลอร์ของบริษัทไปรับปูนซิเมนต์ถุง ที่โรงงานแก่งคอยสระบุรีในตอนเย็น

  และจะกลับมาถึงบริษัทในตอนดึกทุกวันชื่อ นายสอิ้ง  ภรรยาของเขาก็ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่บริษัทนี้ด้วยชื่อนางติ๋ม ทั้งคู่เป็นคนที่ขยันขันแข็งในการทำงาน ช่วยกันทำงานหาเงิน จนพอจะมีเงินเก็บและฐานะน่าจะดีกว่า พวกคนขับรถและคนงานในบริษัทด้วยกันอีกหลายๆคน

   นายสะอิ้งและนางติ๋มมีลูก ๒ คน คนโตเป็นผู้หญิงคนเล็กเป็นเด็กชาย เมื่อตอนลูกหญิงชายของทั้งคู่ยังเล็กๆอยู่นั้น ก็อยู่บ้านพักคนงานภายในบริษัทนี้ เหมือนกันกับผม ผมก็เห็นทุกวันและคุ้นเคยกันดี

  เวลาผ่านมาหลายปีลูกๆก็พอจะโตๆกันแล้ว นายสะอิ้งและนางติ๋มก็ขอลาออกจากบริษัท และได้ไปเช่าบ้านอยู่แถวๆหลังวัดลานนาบุญ ใกล้ๆสามแยกนนท์ โดยนายสะอิ้งไปทำงานขับรถเทรเลอร์ที่ประเทศซาอุฯ นางติ๋มก็อยู่บ้านอย่างเดียวเพื่อดูแลลูกๆ เมื่อเขาลาออกไปแล้วตอนหลังๆนี้ผมไม่เคยได้เจอทั้งสองคนนี้อีกเลย

   เวลาผ่านมาหลายปีจนผมจะลืมๆไปเสียแล้ว เช้าวันนั้นบริษัทเพิ่งจะเปิดทำงาน ผมเห็นนางติ๋มยืนคุยกับเมียคนงานคนหนึ่ง ที่หน้าบริษัท ผมเดินเข้าไปทักทายและบอกว่า “ดีใจที่ได้พบกันอีก” ผมถามว่า “มาเที่ยวหรือ”

  นางติ๋มบอกว่า “มาหาเพื่อนๆที่เคยอยู่ด้วยกันและยังติดต่อกันอยู่ พร้อมทั้งอยากจะมาบอกเสมียนด้วย” (หมายถึงผม ) และบอกต่ออีกว่า

   “วันศุกร์นี้ถ้าเสมียนว่างขอเชิญไปที่ วัดลานนาบุญหน่อยนะบอกพี่หวานด้วย” (หมายถึงภรรยาของผม)

      ผมถามว่า “มีอะไรหรือบวชใครล่ะ” นางติ๋มบอกว่า “ไม่ใช่งานบวชใครหรอก ขอเชิญไปเผาศพน่ะ” 
    “อ้าว..!  ศพใครล่ะนายสะอิ้งตายแล้วรึ “ ผมเดาออกมาเพราะคิดว่าถ้าไม่ใช่ศพคนที่คุ้นเคยกันแล้ว นังติ๋มมันคงไม่มาบอกผมหรอก

    “ไมใช่” นางติ๋มว่า “เผาศพไอ้โยลูกฉันเองแหละ ” นางติ๋มพูดขึ้นมาพร้อมทั้งสะอึกสะอื้นน้ำตาไหลพราก “อ้าวเฮ้ย..! มันเป็นอะไรตายหรือ” ผมอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ

     ไอ้โยลูกนางติ๋มคนนี้ผมเคยเห็นมันมาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อก่อนมันก็อยู่ที่บ้านพักคนงานที่นี่ มันเคยวิ่งเล่นกันเจี๊ยวจ๊าวกับเพื่อนๆเด็ก ลูกคนงานด้วยกัน บนกองไม้สูงๆ ผมยังเคยดุและว่ามันบ่อยๆ กลัวกองไม้จะโค่นลงมาทับมันตาย

    มาบัดนี้มันตายเสียแล้วแต่ว่ามันตายด้วยเรื่องอะไรกันเล่า นางติ๋มจึงได้เล่าให้ผมฟัง

   นังติ๋มว่า  “เมื่อเปิดเทอมใหม่นี้ไอ้โยมันสอบเข้าเรียนต่อ  ที่โรงเรียนเทคนิคนนทบุรี ถนนสนามบินน้ำได้ในระดับ ปวช. ฉันเคยสัญญากับมันว่าถ้ามันสอบเข้าเทคนิคนนท์ได้ ฉันจะซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้มันคันหนึ่ง

    พอมันสอบได้แล้วมันก็ทวงสัญญากับฉันทันที ฉันจึงจำเป็นต้องซื้อให้มัน ทั้งๆที่ไม่อยากซื้อมันก็รบเร้าจะเอา มันบอกว่ามันต้องการที่จะขับไปโรงเรียนกับพวกเพื่อนของมัน”

    “ในตอนแรกๆก็ไม่มีปัญหาอะไร มาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี้เองโรงเรียนมันหยุด มันบอกกับฉันว่าจะไปดูเขาแข่งรถกันที่ถนนสร้างใหม่ ทางบางบัวทองจะไปกับเพื่อนๆอีกหลายคน"

    " ฉันก็ไม่ว่าอะไรมันจะไปไหน บางทีมันก็บอกบางทีมันก็ไม่บอก ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แล้วในวันนั้นมันก็หายเงียบไปกับเพื่อนๆของมัน”

     “ตกเย็นมีคนมาบอกว่า ไอ้โยรถล้มเวลานี้อยู่ที่โรงพยาบาลบางบัวทอง ฉันตกใจอยากจะรู้รายละเอียดจากไอ้คนที่มาบอก มันก็บอกแต่เพียงว่ารถมันขับชิดกันมากเกินไป รถมันเลยเกี่ยวกัน ทำให้รถเสียหลักบังคับไม่อยู่เนื่องจากความเร็วสูง

    ไอ้โยและเพื่อนของมันกระเด็นกลิ้งบนถนน หลายตลบสลบไปตั้งแต่นั้นมาเลย พอดีมีพลเมืองดีช่วยกันหามขึ้นรถไปโรงพยาบาลบางบัวทอง”

   “ฉันก็เลยรีบไปที่โรงพยาบาล พอไปถึงโรงพยาบาลไอ้โยมันตายเสียแล้ว หมอบอกว่ามันคอหักมันตายทันทีตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”

   นางติ๋มพูดพลางร้องไห้พลาง ด้วยความอาลัยรักในตัวลูกชาย แล้วบอกอีกว่า “ฉันใจแข็งเสียหน่อยไม่ซื้อรถให้มันๆก็คงไม่ตายหรอก นี่พี่อิ้งก็เพิ่งจะกลับมาจากซาอุ ลาเขามาได้สองอาทิตย์ มันก็เสียใจมากอย่างสุดๆเลย ”

    นางติ๋มร้องไห้โฮขึ้นมาอีก ผมก็ปลอบใจนางติ๋มและแสดงความเสียใจด้วย และบอกว่า วันศุกร์นี้จะไปกันทั้งสองคนอย่างแน่นอน นางติ๋มยกมือไหว้แล้วก็เดินเข้าไปที่บ้านพักคนงาน........

    จากวันที่เราไปเผาศพไอ้โย ลูกของนายสะอิ้งนางติ๋ม ที่วัดลานนาบุญเรียบร้อยแล้ว ผมและภรรยาก็ไม่สบายใจเลยในเรื่องของการขี่มอเตอร์ไซค์ เวลาผ่านมาเรื่อยๆรถราตามท้องถนนก็ยิ่งมากขึ้นทุกวัน

     เมื่อตอนที่ผมซื้อมอเตอร์ไซค์มาใหม่ๆนั้น ตามถนนติวานนท์ ถนนแจ้งวัฒนะ หมู่บ้านเมืองทอง ๓ (ปัจจุบันนี้คือ เมืองทองธานี) ซึ่งบ้านผมอยู่ใกล้ๆนั้น ไม่ค่อยมีรถวิ่ง ผมกับภรรยาเคยขี่รถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าของผม ไปตระเวนมาทุกถนนแล้วในเขตนนทบุรีนี้

     ผมเคยขับไปเที่ยวตามถนนรัตนาธิเบศร์ (เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ) จากสี่แยกแคลายไปถึงตลาดบางบัวทอง กับเพื่อนที่เป็นช่างไสไม้  ซึ่งอยู่ที่บริษัทเดียวกันก็ไปกันได้อย่างสบาย เพราะในตอนนั้นรถยังน้อยอยู่ พอมาถึงตอนนี้รถเพิ่มมากขึ้นทำให้การขับมอเตอร์ไซค์ ไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย

    เย็นวันหนึ่งเป็นวันอาทิตย์ ผมและภรรยาไม่ได้ไปทำงานเพราะเป็นวันหยุด และไม่อยากจะออกไปไหน โดยปกติแล้ววันหยุดผมจะไม่ออกไปไหนเลย ถ้าหากว่าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ อยู่บ้านทำโน่นทำนี่ดีกว่าออกไปผจญกับรถราซึ่งมากมายเหลือเกิน

    ภรรยาของผมกำลังเอาเสียมเล็กๆ ผสมดินธรรมดากับดินถุงสีดำๆที่ซื้อมา สำหรับปลูกต้นไม้ลงในกระถางใบใหญ่ เพื่อจะปลูกต้นเฟื่องฟ้า ที่คนงานที่บริษัทนำมาจากบ้านเอามาให้  ส่วนผมกำลังถือสายยางรดน้ำต้นไม้อยู่ใกล้ๆ เราคุยกันไปถึงเรื่องจิปาถะ บางทีก็มีเรื่องงานเข้ามาด้วย ในตอนหนึ่งอยู่ๆภรรยาของผมพูดขึ้นว่า

     “เวลานี้ฉันอยากจะซื้อรถยนต์สักคันหนึ่ง ชักไม่อยากนั่งรถมอเตอร์ไซค์เสียแล้ว สมัยนี้มันอันตรายมาก ฉันยังไม่อยากตายยังมีภาระต่างๆที่จะต้องทำต้องเลี้ยงดูลูกๆอีกเยอะ” หยุดพูดนิดหนึ่ง หันมามองดูผมว่าจะสนใจฟังเขาพูดหรือไม่ แล้วก็พูดต่อ

     “ฉันเห็นมอเตอร์ไซค์ที่ล้มแต่ละคัน คนขี่นอนกลางถนนแน่นิ่งที่เราผ่านไปมาเห็นกันบ่อยๆ เมื่อวานนี้ก็ที่หน้าปากซอยสามัคคีอีกรายหนึ่ง มันเสียววูบเข้ามาในใจอย่างไรก็ไม่รู้ ถ้าเรายังขืนขี่อยู่อย่างนี้ สักวันหนึ่งคงเป็นคิวของเราอย่างแน่นอน ฉันละกลัวจริงๆ จึงอยากจะลองคิดเรื่องซื้อรถยนต์ดู”

เขียนโดย ปฏิพัทธ์ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๓

    ติดตามอ่านตอนที่ ๔    คลิ๊ก

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้825
เมื่อวานนี้746
สัปดาห์นี้3186
เดือนนี้9444
ทั้งหมด1328778

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online