มอเตอร์ไซค์ให้เปล่า ๗ (วันสุดท้าย)

รถคันใหม่ยังเป็นป้ายแดงอยู่ก็ขับไปเที่ยวกันที่ วัดพระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก

ไม่ทันไรเลยวันรุ่งขึ้นวันเดียวแท้ๆ คุณสงกรานต์ก็โทรมาบอกว่า รถหาได้แล้วไปเอามาจากศูนย์ปากน้ำ สมุทรปราการ

ถ้าอยากจะรับก็มารับได้เลย พร้อมกับบอกว่า ให้เตรียมเอกสารถ่ายสำเนามาด้วย เช่นทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน

ข้อสำคัญเตรียมเงินมาด้วย แล้วคุณสงกรานต์ก็จำแนกแจกแจง ค่าอะไรต่อค่าอะไร ซึ่งนอกเหนือจากค่ารถแล้ว ก็เป็นเงินมากพอดู เฉพาะค่าประกันชั้นหนึ่งก็ล่อเข้าไปเป็นเหมื่นแล้ว

เมื่อได้รับข่าวดังนั้น เราจึงจัดแจงเรื่องเอกสารต่างๆ ตามที่คุณสงกรานต์บอกมา และก็ไม่ลืมเรื่องเงินด้วย เมื่อได้ครบแล้วก็เตรียมตัวไปรับรถกันในวันรุ่งขึ้น

ในตอนเย็นผมโทรศัพท์ไปหาคุณจำลอง เล่าเรื่องการซื้อรถนี้จากคนที่คุณจำลองแนะนำมาให้ เมื่อคุณจำลองได้รับรู้ แกถามว่าแล้วจะไปรับรถกันเมื่อไรล่ะ ผมบอกว่าได้บอกคุณสงกรานต์ไว้แล้วว่าจะไปในวันพรุ่งนี้

คุณจำลองก็เลยรับอาสาจะพาผมไปส่ง ถึงที่ศูนย์ขายรถเลยทีเดียว เพราะว่าแกอยากจะเจอคุณ สงกรานต์ด้วย แกบอกว่าไม่เจอตัวกันมานานแล้ว เจอกันแต่ทางโทรศัพท์เท่านั้น

ไม่นานนักก็ได้ป้ายทะเบียนมาติด ทำให้ไปไหนมาไหนสะดวกจากตำรวจจราจร

เช้าวันรุ่งขึ้นคุณจำลองก็ขับรถวอลโว่ของแกมารับผมดังที่บอกไว้ เมื่อไปถึงศูนย์รถยนต์โตโยต้า พวกเราเข้าไปพบคุณสงกรานต์ในอ๊อฟฟิช พบแล้วคุณจำลองก็คุยกับคุณสงกรานต์ไม่นานนัก ก็บอกผมซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆกัน ว่าขอกลับไปก่อนมีธุระที่ต้องไป ผมขอบคุณเขาที่มีน้ำใจช่วยมาส่งผม

คุณสงกรานต์พาพวกเราไปดูรถ ในลานจอดรถด้านหน้าศูนย์ซึ่งเป็นลานกว้าง มีรถใหม่ๆจอดอยู่หลายคัน คิดว่ารถเหล่านี้คงเป็นรถที่นัดให้ลูกค้ามารับไป

คุณสงกรานต์พาผมและภรรยา เดินไปที่รถเก๋งสีแดงคนหนึ่ง แล้วบอกว่า คันนี้แหละเป็นรถของพี่ ลองเข้าไปนั่งข้างในดูซี ภรรยาของผมก็เปิดประตูตอนหน้าแล้วเข้าไปนั่งขยับซ้ายขยับขวาด้วยความพอใจ

เมื่อออกมาจากรถแล้วก็เดินดูรอบๆ ลูบๆคลำ รถเก๋งโตโยต้า 1.6 GLi  สีแดง ซึ่งสีของมันถูกแสงแดดแล้วจะขึ้นเงาวับทีเดียว คนขายบอกว่า สีนี้เป็นสีลูไซค์ เป็นสีพิเศษที่สวยงามและทนทาน พลางdHอธิบายเรื่องของแถมต่างๆที่ทางบริษัทแถมให้

เมื่อดูรถกันได้สักพักหนึ่ง คุณสงกรานต์จึงบอกว่าเราเข้าไปในอ๊อฟฟิชกันเถอะ จะได้ทำเรื่องราวในด้านเอกสารการซื้อกัน แล้วในตอนนี้พี่ติดป้ายแดงไปก่อน โดยต้องมัดจำค่าป้ายไว้ ๒,๐๐๐ บาท เมื่อได้ป้ายเป็นทางการแล้วเอาป้ายแดงมาคืน บริษัทก็จะคืนเงินไป

ไม่มีอะไรยุ่งยาก พูดง่ายๆว่าเรามีเงินให้เขา เขาก็ให้รถเรามาก็จบกัน ดังนั้นก่อนเที่ยงในวันนั้นผมก็ขับรถเก๋งป้ายแดง พร้อมกับภรรยาของผมนั่งมาด้วยกลับบ้านรวดเดียวถึงบ้านเลย ด้วยความเชื่อว่ารถใหม่ไม่ควรแวะที่ไหนต้องกล้บเข้าบ้านเลยจึงจะดี

คันนี้รุ่นนี้คงจะสวยที่สุดในสมัยเมื่อเกือบ ๒๐ ปีมาแล้ว ในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยเห็นคงจะพังไปหมดแล้ว

เอารถเข้าไปจอดในบ้านแล้วก็ยืนดูลูบคลำกันด้วยความยินดี ตกตอนกลางคืนก็เอาคู่มือการใช้และการบำรุงรักษารถมาอ่านดู   รถยนต์คันนี้จึงเป็นรถยนต์เก๋งคันแรกของเรา และก็ได้ใช้งานเรื่อยมา.....(และใช้ต่อมาอีกกว่า ๑๐ ปีจึงได้ขายไป)

ขอกล่าวย้อนมาหารถกะบะนิสสันคันแรกสีน้ำเงินนั้น  เมื่อได้ซื้อรถใหม่มาอีกคันแล้ว นานๆจึงจะขับนิสสันกะบะออกมาข้างนอกสักครั้งหนึ่ง แต่ก็ไปไม่ไกลนัก โดยมากจะไปซื้อของที่ตลาดนัดชลประทานในวันอาทิตย์ แล้วก็จอดอยู่ในบ้านเฉยๆ ชั่วโมงการใช้และเลขไมล์การใช้งานจึงน้อยมาก และอยู่ในสภาพดีที่สุด

แต่ก็จอดอยู่ไม่นานเท่าไร น้องชายของภรรยาผมซึ่งเป็นครูมาจากต่างจังหวัดชื่อ ครูประหยัด ธรรมจง เห็นรถนิสสันคันนี้เข้า จึงสอบถามจึงได้ความว่าไม่ค่อยได้ใช้งานจอดอยู่เฉยๆ

ภาพครูประหยัด เมื่อสมัยยังเป็นหนุ่มๆ เป็นน้องชายคนเล็กสุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมดของคุณหวาน

ครูประหยัดก็เลยขอซื้อเอาไว้ไปใช้งานที่บ้านของแก แกบอกผมว่า “ดีกว่าจอดอยู่เปล่า เปล่านะพี่หวาน ”

คุยกันไปคุยกันมากับพี่สาวของเขาคือภรรยาของผม ก็เลยขายให้น้องชายของเขา ในราคาถูกๆไม่ถึง ๑ แสนบาท (จำได้ว่าประมาณ  ๗ หมื่นบาทเท่านั้น) แล้วบอกว่าจะมาเอาเมื่อไรก็มาเอาก็แล้วกัน

อีกไม่กี่วันต่อมาครูประหยัด ก็พาครูที่โรงเรียนเดียวกันมาขับรถไป  นับจากวันนั้นมาครูประหยัด ก็นำรถคันนี้ไปจอดไว้เฉยๆที่บ้านของเขาอีกหลายปี โดยที่ไม่ค่อยได้พามันออกวิ่งเลย

ผมก็เคยสงสัยว่าทำไม  ในตอนหลังจึงรู้ว่า ครูประหยัดแกขับรถไม่เป็น เวลาไปสอนเด็กที่โรงเรียนวัด เขาช่องพราน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านแกไปเป็น ๑๐ กิโล แกก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ของแกไป โดยไม่ได้แตะต้องรถกะบะนิสสันคันนั้นเลย

นอกจากนานๆจึงจะมีธุระไปไหนสักที ก็ต้องชวนครูที่โรงเรียนให้ช่วยขับไปให้ รถที่จอดไว้เฉยๆก็ทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆ   จนกระทั่งไม่นานมานี้ (ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๔๕)

ครูประหยัด และครอบครัวในปัจจุบันนี้

ผมเคยกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องทางฝ่ายภรรยาที่บ้านเดิมของเขา เห็นรถคันนั้นที่บ้านครูประหยัดยังจอดอยู่ ยางแบนทั้งสี่ล้อ หม้อน้ำรั่วน้ำหยดติ๋งๆ มันคงจะรั่วมานานแล้ว

ผมดึงเหล็กวัดน้ำมันเครื่องขึ้นมาดู มีน้ำมันเครื่องติดมาตรงปลายเหล็กวัดนิดหน่อยดำปี๋ แบตเตอรี่น้ำกลั่นแห้งคงเสียไปนานแล้ว สนิมกัดตัวถังรอบๆคันผุไปหมด ท่อน้ำสายไฟต่างๆถูกหนูกัดขาดป่นปี้ ผมบอกครูประหยัดว่าอย่างนี้เห็นท่าจะซ่อมยากเสียแล้ว ครูประหยัดไม่พูดว่าอะไรได้แต่ยิ้มๆ

ต่อมาอีกไม่นานมีคนรับซื้อของเก่าผ่านมา เห็นรถคันนี้จอดอยู่ในสภาพนั้นมานานแล้ว จึงมาถามขอซื้อในราคาของเก่า ครูประหยัด ก็เลยขายไปเป็นซากรถได้ไม่กี่สตางค์ จนบัดนี้ผมก็ยังไม่ทราบว่า ครูประหยัดขับรถยนต์เป็นแล้วหรือยัง..

จักรยานยนต์ ฮอนด้า จีแอล - 100 สีแดงของผม ลักษณะเหมือนในรูปนี้ เพราะว่าเป็นรุ่นเดียวกัน

(ขอขอบคุณภาพประกอบจาก www.thaisecondhand.com )

ตั้งแต่ซื้อรถคันแรกมาแล้วจนกระทั่งคันที่ ๒ คือรถเก๋งโตโยต้าสีแดง รถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้า GL-100ของผม ก็เลยต้องจอดไว้เฉยๆที่ข้างๆบ้าน มีผ้าพล๊าสติกเก่าๆปิดคลุมตากแดดตากฝนอยู่อย่างนั้น

นานๆลูกชายของผมจึงจะเอามาขี่ไปหาเพื่อนๆในซอยวัดกู้เสียที จริงๆแล้วผมก็ไม่อยากจะให้เขาเอาไปขี่กลัวจะเกิดอันตราย เพราะว่ารถในถนนมันมากขึ้นทุกวัน

จนวันหนึ่งมอเตอร์ไซค์คันนี้ลูกชายของผมเอาไปขี่ แล้วอยู่ดีๆโซ่เกิดขาดขึ้นมา ไม่ทราบเพราะเหตุใด ว่าจะเอาไปซ่อมให้ใช้ได้จะได้ขี่ไปซื้อของในซอยบ้าง แต่ก็ไม่ได้ไปซ่อมสักทีรีรออยู่นั่นเอง

จริงๆแล้วค่าซ่อมก็คงไม่กี่บาท แต่เมื่อไม่ได้ไปซ่อมมันก็ขี่ไม่ได้  จึงจอดไว้เฉยๆอย่างนั้น เครื่องก็ไม่เคยได้ไปติดมันเลยด้วยซ้ำไป

วันหนึ่งในตอนเช้าหลังจากซื้อรถคันใหม่มาได้สัก ๓ เดือนอยู่ดีๆรถโตโยต้าคันใหม่ของผม ติดเครื่องเท่าไรก็ไม่ติดผมยืนงงอยู่ตั้งนาน ว่าทำไมอยู่ดีๆจึงเป็นอย่างนี้ไปได้

หลังจากสต๊าร์ท จนแบตเตอรี่อ่อนแล้วก็ยังไม่ติด ผมจึงโทรศัพท์ไปหาช่างซ่อมรถยนต์อิสระคนหนึ่ง (ไม่ได้ประจำอู่รถที่ไหน วนเวียนซ่อมรถของขาประจำของแกๆก็บอกว่าพอกินแล้ว) ซึ่งรู้จักกันมานาน ชื่อนายโรเบิด (เป็นชื่อเรียกเล่น) แต่ผมเรียกแกว่า ช่างเบิด

บ้านพักของช่างเบิดนี้อยู่ในซอยคลังมนตรี คลองประปา ถนนประชาชื่น (บ้านจริงๆแกอยู่โคราช) ผมบอกให้ช่างเบิดช่วยมาดูรถให้หน่อย ช่างเบิดถามอาการของรถเสร็จแล้ว

ก็เตรียมเครื่องมือและอะหลั่ย จานจ่ายสาย ไฟจานจ่าย ซึ่งช่างเบิดคิดว่าน่าจะเป็น ที่ตรงจานจ่ายนี้แหละที่รถสต๊าร์ทไม่ติด ใส่รถกระบะปิคอัพตรงดิ่ง มาที่บ้านผมทันที

เมื่อช่างเบิดมาถึงก็ทำการตรวจสอบรถของผมทันที คนที่เป็นช่างตรวจประเดี๋ยวเดียวก็รู้จุดที่มันเสีย มันก็จริงอย่างที่ช่างเบิดแกสันนิษฐาน แกถอดฝาครอบจานจ่ายพร้อมทั้งถอดปลั๊กหัวเทียนออก แล้วก็หยิบสายไฟมาตรวจดูทีละเส้น

ปรากกว่ามีเส้นหนึ่งเป็นรอยหนูกัด ยางหุ้มสายฉีกขาด ทำให้ไฟตรงสายที่ฉีกนั้น ไปแตะกับตัวเครื่องยนต์แล้วก็รั่วลงดินได้ มันจึงสต๊าร์ทเท่าไรก็ไม่ติด

ผมเขียนเรื่องนี้เสร็จแล้วก็ลงเผยแพร่มาหลายวัน ต่อมาเมื่อวันเสาร์ที่ ๖ พ.ย. ๕๓ ที่ผ่านมานี้ ผมไปตลาดนัดใกล้ๆบ้าน บังเอิญจริงๆที่ได้เห็นรถแบบเดียวสีเดียวกับของผมเมื่อเกือบ ๒๐ ปีมาแล้ว จึงได้ถ่ายรูปมาและอดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมเจ้าของเขาจึงรักษาได้ดีขนาดนี้ ดูแล้วก็คิดถึงรถคันนั้นของผมบ้างเหมือนกัน.. (จริงๆแล้วถ่ายมาหลายรูปหลายมุม) = ผู้เขียน

ช่างเบิดจึงจัดแจงเปลี่ยนสายไฟและจานจ่ายของใหม่ ที่เอามาด้วยให้ผมทั้งชุด ๕ เส้น  (ไปที่หัวเทียน ๔ เส้นไปที่คอล์ย ๑ เส้น) ที่จริงแล้วไฟมันรั่วเพียงเส้นเดียวเท่านั้น แต่ช่างเบิดแกบอกว่าเปลี่ยนทั้งทีเปลี่ยนทั้งชุดเลยจะดีกว่า

ประเดี๋ยวเดียวก็แก้ไขให้ผมเสร็จเรียบร้อย ผมจ่ายเงินค่าอาหลั่ยและค่าบริการให้เขา ช่างเบิดยกมือไหว้ผมและเก็บเครื่องมือทำท่าจะกลับ

แล้วพลันสายตาของช่างเบิด เหลือบไปเห็นรถ มอเตอร์ไซค์ของผมจอดอยู่ข้างๆรั้วบ้านซึ่งเป็นโรงจอดรถ พลางถามผมว่า “รถนั่นพี่ไม่ได้ใช้แล้วหรือ ทิ้งไว้เฉยๆอย่างนั้นมันจะเสียหมดนะครับพี่ครับ ”

ผมบอกว่า “รถไม่ได้เสียอะไรหรอกมันยังวิ่งได้อยู่ พอดีโซ่มันขาดยังไม่ได้ไปทำ ผมก็เลยจอดเฉยๆอยู่อย่างนั้นแหละ จะหาเวลาไปทำให้มันวันสองวันนี้”

ช่างเบิดยืนคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดกับผมว่า “ถ้าไม่ค่อยได้ใช้แล้วอย่าจอดอยู่เฉยๆอย่างนี้เลยครับ ขายให้ผมเอาไปทำประโยชน์จะดีกว่า พี่ขายให้ผมได้ไหมครับ ”

ช่างเบิดพูดขึ้นพร้อมกับเดินนำหน้าผมไปยังที่รถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรช่างเบิดก็พูดออกมาอีก

“ผมจะเอาไปซ่อมให้มันดีแล้วจะทำเป็นพ่วงข้าง เสร็จแล้วตั้งใจจะไปถวายวัดที่เขาค้อ เพชรบูรณ์ ให้พระท่านบรรทุกน้ำ และใช้งานอื่นๆด้วย”

“ทำไมต้องไปถวายวัดถึงเขาค้อนั่นล่ะ” ผมสงสัยจึงถามช่างเบิด ช่างเบิดตอบว่า

“พอดีเมียผมเป็นคนเพชรบูรณ์มีที่มีทางอยู่ที่เขาค้อด้วย ใครไปเที่ยวน้ำตกศรีดิษฐ์ จะต้องผ่านที่ผม ตรงนั้นมันใกล้ๆวัดที่บ้านก็เลยคุ้นเคยกันกับเจ้าอาวาส ผมไปทอดผ้าป่ากันหลายหนแล้ว ถ้าพี่มีโอกาสไปเที่ยวกันนะ” ช่างเบิดถือโอกาสชวนผมเสียเลย

เมื่อช่างเบิดต้องการอย่างนั้น ผมจึงเดินไปปรึกษาภรรยาของผมซึ่งอยู่ในบ้าน ภรรยาผมบอกว่า

“ถ้าขายก็ไม่รู้จะคิดราคาเขาอย่างไร และอีกอย่างหนึ่งฉันก็ไม่อยากจะขาย มันก็รับใช้เรามามากแล้ว เราก็ควรจะให้มันอยู่กับเราตลอดไป” ภรรยาผมพูดเหมือนมันเป็นคนที่เคยอยู่ด้วยกันมานาน

คุณหวานภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆด้วยกันมากับผู้เขียนกว่า ๔๐ ปี ภาพนี้ถ่ายที่ด้านหลังของบ้านสวน สามชุก สุพรรณบุรี เมื่ออากาศค่อนข้างเย็นลง 

อันที่จริงแล้วตั้งแต่ซื้อมันมาครั้งแรกนั้น ผมและภรรยาก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะซื้อมาเพื่อขาย ตั้งใจว่าซื้อมาเพื่อใช้งานมันตลอดไปต่างหาก แต่ในครั้งนี้ ผมบอกภรรยาของผมว่า

“ถ้าคิดไปอีกทีหนึ่ง เขาก็บอกแล้วว่าเขาจะเอาไปซ่อมให้ดี แล้วก็จะเอาไปถวายให้พระที่วัด ถ้ามันไปอยู่วัดแล้วมันก็คงจะได้วิ่งเล่นทั้งวัน แทนที่จะมาจอดอยู่เฉยๆกับเราอย่างนี้ ”

ภรรยานั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ามาพูดว่า “ถ้าเราขายเราก็ไม่รู้ว่าจะขายเท่าไร เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเราให้เขาไปเฉยๆ ให้เขาเอาไปซ่อมแล้วเอาไปถวายวัด เราก็จะได้บุญไปด้วยดีไหม”

“ก็ดีเหมือนกัน”  ผมว่าแล้วก็ออกมาบอกช่างเบิดว่า “เอาอย่างนี้นะเมื่อช่างเบิดอยากได้รถไปถวายวัดผมก็จะยกให้เปล่าๆเลย ไม่คิดราคาอะไรหรอกจะมาเอาเมื่อไรก็มาเอาไปเลย ผมจะเตรียมเอกสารและสมุดเสียภาษีรถให้”

ช่างเบิดมองหน้าผมแล้วคงคิดว่าพูดเล่นหรือเปล่า “ถ้าอย่างนั้นผมยกเอาไปวันนี้เลยนะครับ เพราะวันนี้พอดีเอารถปิ๊กอัพมา เอกสารถ้ายังหาไม่เจอผมค่อยมาเอาวันหลังก็แล้วกัน”

ผมเห็นว่าช่างเบิดมีความประสงค์อย่างนั้น ผมก็บอกว่า “ ก็ตามใจก็แล้วกัน” แล้วผมกับช่างเบิด ก็ช่วยกันยกรถ ฮอนด้า  GL – 100 สีแดงของผมที่เมื่อก่อนนั้นเคยใช้มันมาประจำด้วยความรัก และทะนุถนอม ขึ้นบนรถปิ๊กอัพของช่างเบิด

ในขณะที่ช่วยกันยกรถนั้น ผมเกือบจะเปลี่ยนใจ และคิดว่าเราไม่ควรให้เขาไปเลยเคยอยู่ด้วยกันมาหลายปี จำเป็นต้องมาจากกันไปอย่างกะทันหันในวันนี้เอง

ต่อจากนี้ไปเราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว เมื่อคิดถึงตอนนี้แล้วผมก็เกือบจะเปลี่ยนใจใหม่โดยไม่ให้เขาแล้วจริงๆ

แต่เมื่อพูดไปแล้วก็ไม่อยากจะคืนคำ แล้วคิดไปในทางที่ดีว่า ถ้าหากว่าช่างเบิดเขาจะให้ไปอยู่ที่วัด ที่เขาค้อจริงๆอย่างที่เขาบอกแล้ว ก็ควรจะยินดีและดีใจที่จะได้ไปรับใช้พระ  และถ้ามีโอกาสจะไปเยี่ยม หวังว่าคงเจอกันอีก

เมื่อคิดอย่างนี้ทำให้สบายใจขึ้น ผมช่วยช่างเบิดยกมอเตอร์ไซค์ที่ให้เขาเปล่าๆขึ้นรถกะบะ ช่างเบิดเอาเชือกผูกตรึงไว้อย่างแน่นหนา กันมันจะเลื่อนไถลเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ช่างเบิดมาลาผมและภรรยาซึ่งอยู่ในบ้าน แล้วก็ขับรถปิ๊กอัพบรรทุกเอามอเตอร์ไซค์คันคู่ทุกข์คู่ยากของผมจากไป

ภรรยาของผมไม่ได้ออกมาดูวันจากไปของมอเตอร์ไซค์ของเราเลย คงจะสงสารมันมากจึงออกมาดูไม่ได้ ภรรยาของผมก็เป็นอย่างนี้แหละ ใจอ่อนขี้สงสารเป็นที่สุด

ช่างเบิดกลับไปนานแล้วเราสองคนไม่ได้ออกไปไหน ภรรยาของผมดูซึมๆไปคิดว่าคงไม่ได้เสียดายมันหรอก แต่สงสารมันที่มันต้องไปอยู่กับคนอื่น เราเลื่อนงานที่จะไปพบลูกค้าเอาไว้ก่อน

เมื่อมันอยู่เราไม่ได้คิดถึงและเอาใจใส่มันเลย เมื่อมันไปแล้วเราจึงเริ่มต้นคิดถึงมัน ต่อจากนี้ไปเราคงคิดถึง ฮอนด้า ของเราไปอีกนาน

สุดท้ายมันเป็น “มอเตอร์ไซค์ที่ให้เปล่า” ผมและภรรยาของผมทำกับมันดีหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะคิดอย่างไร

แต่ผมรู้ตัวว่าผมทำกับมันไม่ดีนัก ทำยังกับว่ามันไม่มีราคาอะไรเลยมันเป็น “มอเตอร์ไซค์ให้เปล่า” เหมือนกับว่ามันหมดราคาแล้ว

นี่ดีนะว่ามันคิดน้อยอกน้อยใจไม่เป็น ถ้ามันคิดน้อยใจเป็นละก้อ มันคงน้อยใจเป็นอย่างมาก ที่เราผลักไสไล่ส่งมันอย่างกะทันหันอย่างนั้น ทั้งๆที่มันก็อยู่กับเรามาตั้งนาน

มันคงจะคิดว่าน่าจะบอกมันล่วงหน้าสักหน่อยหนึ่งก็ยังดี จะได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ในวันจากกัน เหมือนมันไม่มีราคาอะไรมันจึงเป็นแค่ "รถมอเตอร์ไซค์ที่ให้เปล่า" จริงๆ ...!

จบภาค ๑

เขียนโดย ปฏิพัทธ์ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๓

ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ ๑ คลิ๊ก

ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ ๒ คลิ๊ก

ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ ๓ คลิ๊ก

ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ ๔ คลิ๊ก

ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ ๕ คลิ๊ก

ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ ๖ คลิ๊ก

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้398
เมื่อวานนี้746
สัปดาห์นี้2759
เดือนนี้9017
ทั้งหมด1328351

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

2
Online