เพื่อนเอ๋ย ๓

นายโห้ กับเพื่อนคนหนึ่งคือ นายอู๊ด

   กลิ่นของซากสัตว์ตายพลุ่งคลุ้งขึ้นมา เขามองที่พื้นของเรือมีซากของหนูตัวขนาดใหญ่ ตายแห้งแล้วเหลือแต่หัวกะโหลก และกระดูกกับขนหยาบๆของมัน

นอกจากนั้นพวกมันคงช่วยกันขนเศษผ้า เศษหญ้าแห้งมาทำรังคงจะมาออกลูกกันที่นี่ด้วย พร้อมกับเศษอาหารเศษกระดูกเก่าๆ เกลื่อนกลาด
“อื้อฮือ มันโคตรจะเหม็น “ นายเหม่งอุทาน แล้วเอากิ่งไม้แห้งมาเขี่ยซากหนูและรังของมันออกไปจากท้องเรือ กลิ่นเหม็นอับเหม็นหืนกระจายคลุ้งไปทั่ว

“ จะรั่วหรือเปล่าหนอ ” นายเหม่งพูดขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบพายเล็กๆด้ามสั้นๆ ๒ อัน ที่วางอยู่ที่กระดานปูพื้นท้องเรือขึ้นมา
“ สนุกแน่วันนี้   ”นายโห้พูดขึ้นมาบ้างแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความชอบใจในความคิดของตัวเอง “เราคิดว่าจะพายไปถึงไหนกัน ”  ผู้เขียนถามเหมือนกับปรึกษาเพื่อนที่ชอบผจญภัยทั้งสอง

นายโห้หันมองไปทางแม่น้ำ “ ในแม่น้ำๆกำลังขึ้นสูงอย่างนี้เราอย่าเอาเรือออกไปพายเล่นในแม่น้ำเลย เราเข็นเรือลงน้ำตรงที่น้ำไหลเข้ามาผ่านบ้านป้าม่อมนี่แหละ” นายโห้หันกลับมามองไปยังน้ำที่ไหลผ่านคันดินที่พัง เสียงน้ำไหลกระทบกับสิ่งกีดขวางอื้ออึงดังสนั่น ที่อยู่ไกลไปจากบ้านป้าม่อมประมาณ ๒๐ วาเห็นจะได้

“น้ำก็จะไหลพาเรือพวกเราไปเรื่อยๆจนถึงริมทางรถไฟ เมื่อถึงนั่นแล้วน้ำคงหายเชี่ยวเราก็จะพายเล่น ไปทางคลองวัดสนามชัย  (คลองมะขาม) ไปดูเขาเอาลอบเอาไซดักปลากันที่สะพานรถไฟสักพัก น้ำเข้านาใหม่ๆอย่างนี้ปลาซิวปลาสร้อยปลาเล็กปลาน้อยคงมากน่าดู บ่ายหน่อยก็ย้อนกลับเอาเรือมาเก็บที่เดิม แล้วถ้าอยากพายเรือเล่นอีก พวกเราก็มาขอยืมป้าแกอีกก็ได้  ” นายโห้บอกแผนการเดินทางให้เรารู้

คุยกันไปคุยกันมา นายโห้ก็คุยให้ผู้เขียนกับนายเหม่งนึกสนุกไปด้วย ผู้เขียนกับนายเหม่งก็นึกสนุก คล้อยตามไปกับนายโห้ด้วยแล้ว ในใจก็คิดไปถึงเรื่องที่จะมาขอยืมเรือป้าม่อมอีกในวันข้างหน้าไปโน่นเลย

นายเหม่ง อุ้มน้องคนเล็กที่หลังบ้านในตลาดเจ็ดเสมียน

“ เอาพี่โห้เอาไงเอากันฉันไปด้วย ” นายเหม่งว่า ผู้เขียนยิ้มให้นายเหม่งและสงสัยว่า มันคงจะลืมเรื่องที่จะรีบไปหาปลาแล้วมั๊ง นายเหม่งจับที่กราบเรือแล้วออกแรงลองขยับเรือดู เรือก็โคลงเคลงไปตามแรงผลักของนายเหม่ง

ดังได้กล่าวมาแล้วว่าเรือลำนี้เป็นเรือเล็ก และเก่ามากแล้วไม้คงแห้งจัด มันจึงมีน้ำหนักเบา เป็นเรือสำหรับหาปลาก็ได้ ใช้สัญจรไปมาตอนหน้าน้ำก็คล่องนั่งได้สัก ๓ คนน่าจะพอดี

“เอาเลยพวกเรา ไอ้เก้ว มึงมาเข็นทางท้ายเรือนี่กับกู ไอ้เหม่งมึงพยายามดันหัวเรือบังคับมันให้ตรง ให้มันออกไปทางร่องน้ำโน่น”  นายโห้ร้องออกคำสั่ง

นายโห้ก็เป็นคนอย่างนี้ เวลาทำอะไรไม่ว่าเรื่องอะไรกับใคร เอาจริงเอาจังไปหมด (คนแบบนี้ต่อมาจึงตั้งตัวเป็นเถ้าแก่ได้) เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ เคยผจญภัยกันมานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อไม่นานมานี้ก็ร่วมกันกับเพื่อนๆอีกหลายคนไปขโมยมะม่วงวัดกัน จนเกือบถูกกำนันจับได้ พวกเราจึงรู้นิสัยกันดี

ผู้เขียนซึ่งเตรียมตัวอยู่แล้วบอกว่า “ ได้เลยโว้ยโห้ อย่าให้เร็วปรู๊ดปร๊าดล่ะ “ พลางออกแรงดันเรือพร้อมๆกัน “ เอ้าฮึบ.. ฮึบ.. ฮึบ..! ” เสียงพวกเรา ๓ คนดังก้องไปในละเมาะไม้

สถานีรถไฟเจ็ดเสมียนดั้งเดิมเป็นอย่างนี้ ต่อมาเมื่อเดือน มีนาคม ๒๕๕๓ ทางการรถไฟได้ทำการรื้อสถานีเก่าที่เห็นนี้ แล้วก็ปลูกสร้างขึ้นใหม่มาเป็นสถานีรถไฟเจ็ดเสมียนในปัจจุบันนี้

เรือเล็กลำนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนที่ออกมาจากไต้ถุนบ้านป้าม่อม พอพ้นชายคาแล้วก็จะเป็นพื้นดินเหนียว ประกอบกับน้ำเริ่มจะท่วมขึ้นมาถึงหลังเท้าแล้วพื้นดินเหนียวนี้จึงลื่น
“พี่ ๆ ฉันว่าเราคว่ำเรือกันก่อนดีกว่า เอาเศษขยะออกไปให้หมดเสียก่อน และเผื่อบางทีอาจจะมีตะขาบ แมงป่องหนีน้ำมาซ่อนตัวอยู่ บ้างก็ได้  ”

พวกเราเห็นดีด้วยกับความรอบคอบของนายเหม่ง เมื่อช่วยกันออกแรงฉุดเรือออกมาพ้นชายคาบ้านแล้ว ก็จัดแจงช่วยกันคว่ำเรือแล้วเคาะๆดูเพื่อหวังว่าถ้ามีตะขาบแมงป่องซ่อนอยู่ก็จะหลุดออกมา เรือก็คว่ำง่ายเหลือเกิน ไม่รู้ว่าทำด้วยไม้อะไร เรือของป้าม่อมลำนี้จึงเบา

จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรซ่อนอยู่ จึงได้หงายเรือขึ้นดังเดิม แล้วช่วยกันเข็นเรือลุยน้ำมาห่างจากบ้านป้าม่อม ไปอีกประมาณ ๒๐ วา จึงถึงตรงที่พื้นดินต่ำลงไปซึ่งมีลักษณะคล้ายคลองตื้นๆ น้ำกำลังไหลเชี่ยวมาก ซึ่งในเวลานั้นแม้แต่ทางบ้านป้าม่อมเองซึ่งเป็นที่สูงหน่อยน้ำก็เริ่มขึ้นท่วมรอบๆบ้านป้าม่อมแล้ว น้ำสูงเกือบท่วมหลังเท้า

แม้ว่าเรือจะเบาดังที่บอกไว้ในตอนแรก แต่เมื่อออกแรงเข็นกันมาตั้งไกลอย่างนี้ ผลของมันก็คือพวกเราก็หอบไปตามๆกัน โดยเฉพาะนายเหม่งซึ่งตัวเล็กสุดถึงกับนั่งพ่นลม เป่าปากปู๊ดๆเพื่อให้หายเหนื่อยเร็วๆ 
เมื่อเข็นเรือมาถึงตรงนี้แล้วก็จะเหลืออีกอย่างเดียวเท่านั้นคือการเข็นลงน้ำ พวกเราจึงนั่งพักกันเสียก่อน

ในขณะที่นั่งพักก็คุยกันไปพวกเราคุยกันว่า นายโห้จะเป็นคนอยู่ท้ายเรือเอง มีหน้าที่คอยคัดท้ายบังคับเรือ ให้ไปในทางที่ต้องการ และต้องออกแรงช่วยกันพายด้วยไม่ใช่คอยคัดท้ายอย่างเดียวเหมือนที่เขาแข่งเรือยาวกันที่หน้าวัด

นายโห้เลือกพายมาด้ามหนึ่งขยับๆดู คงจะเหมาะกับมือของเขามาก นายโห้บอกว่า “อันนี้ของกู ” หน้าที่นี้นายโห้เป็นคนเลือกเอง ส่วนนายเหม่งตัวมันเล็กที่สุดจึงให้นั่งอยู่เฉยๆตรงกลางลำเรือ ผู้เขียนเป็นคนอยู่ทางหัวเรือช่วยพายเรือให้เคลื่อนที่ไป ซึ่งผู้เขียนคิดอยู่ในใจว่า ในตอนแรกนี้ยังไม่ต้องออกแรงพายหรอก น้ำเชี่ยวอย่างนี้เรือของเราคงจะไหลตามน้ำทุ่นแรงไปได้อีกไกล

เมื่อแบ่งหน้าที่กันแล้ว ตอนนั้นน้ำเซาะคันกั้นน้ำกินระยะทางกว้างมากขึ้น น้ำจึงไหลบ่าไหลเชี่ยวมากยิ่งขึ้น น้ำไหลบ่าผ่านบ้านป้าม่อมไป ต้นไม้ใบหญ้าที่ขวางทางเดินของน้ำ ที่อยู่ในบริเวณป่าละเมาะใกล้บ้านป้าม่อมนั้น หลุดลอยถอนรากถอนโคนไปก็มาก จะมีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆเท่านั้น เช่นต้นจามจุรี ต้นข่อย ต้นมะม่วง ต้นมะขามเทศ ต้นยาง ที่เป็นต้นไม้ใหญ่ยังทนน้ำอยู่ได้ โดยไม่ถูกน้ำพัดพาไปด้วย

“ถ้ากูบอกว่าเริ่มเข็น พวกมึงออกแรงเข็นเรือพร้อมๆกันเลยนะ เราจะเอาเรือลงน้ำแล้ว สนุกละโว้ย “ นายโห้บอกแล้วหัวเราะด้วยความชอบใจ 
หลังจากมองดูน้ำที่ไหลเชี่ยวกันเพลินๆและหายหอบดีแล้ว นายโห้ก็ส่งเสียงให้สัญญาณทันที “เอ้าพวกเรา เริ่มเข็น ลงน้ำกันได้แล้วโว้ย ” เราสามคนลุกขึ้นยืนอย่างทะมัดทะแมง

ออกแรงเข็นเรือพุ่งหัวลงน้ำทันที เรือมีน้ำหนักไม่มากนัก มันจึงลื่นไหลหัวทิ่มลงน้ำไปอย่างง่ายดาย เสียงพวกเรา ๓ คนหัวเราะพูดคุยกันลั่น คงจะคิดเหมือนๆกันว่า “ นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้พายเรือเล่นกันในวันนี้ ”

ในขณะที่เรือกำลังพุ่งลงไปตัดกับสายน้ำ พวกเราทั้งสามคนก็กระโดดขึ้นเรือกันตูดยังไม่ทันได้แตะกับท้องเรือ แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น  เมื่อเรือพุ่งลงน้ำตามแรงส่งของพวกเราแล้ว

กระแสร์น้ำอันเชี่ยวและขุ่นคลั๊ก ได้ปะทะกับลำเรือทันทีเสียงดังปึง  มันสั่นสะเทือนจนพวกเราต่างหัวทิ่มลงไป พังพาบกับท้องเรือจนจุก ตัวเรือโดนน้ำกระแทกแทบจะพลิกคว่ำลงไปทันที นายเหม่งร้องออกมาเสียงหลงด้วยความตกใจ เสียงนายโห้ร้องบอก

“เฮ้ย เฮ้ย ระวังโว้ย บ้าเอ๊ยเราเอาเรือลงน้ำผิดทางแล้วละ ” พลางจับขอบเรือเอาไว้แน่น เราทั้งสามคนเอียงวูบวาบไปตามเรือ

ในภายหลังพวกเราจึงรู้ว่า ไม่มีใครหรอกที่จะเอาเรือลงน้ำเชี่ยวๆอย่างนั้นโดยลักษณะตัดกับสายน้ำ อย่างน้อยก็ต้องหันหัวเรือตามน้ำไปจึงจะถูกต้อง  ป้าม่อมบอกในภายหลังว่า  “น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ พวกมึงไม่เคยได้ยินหรือไง พวกมึงนี่ ”

สายน้ำขุ่นเชี่ยวปะทะกับลำเรือ พาเราลอยละลิ่วทางด้านหัวเรือไปปะทะกับต้นข่อยใหญ่ ที่เมื่อไม่นานมานี้พวกเราเด็กนักเรียนโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน เคยมากางเต็นท์เข้าค่ายพักแรมกันที่โคนต้นข่อยนี้ เสียงดังกึก

เรือตะแคงวูบน้ำเข้าเรือกางเกงเริ่มเปียกน้ำแล้ว พาย ๒ อันที่ตั้งใจว่าจะพายเรือกันเล่นนั้น กระเด็นหลุดจากมือนายโห้และผู้เขียน หายไปในสายน้ำ ตอนนั้นไม่ได้สนใจมันแล้ว เราทั้งสามคนเกร็งแขนเกาะแคมเรือกันแน่น และคิดว่าอีกสักประเดี๋ยวคงจะหลุดจากตรงนี้ไปแล้วก็จะช่วยกันวิดน้ำออกจากเรือ

เรือเอียงวูบวาบเนื่องจากหัวเรือปะทะกับต้นข่อยแตก ไม้ที่ทำหัวเรือซึ่งเป็นไม้บางๆหลุดลงน้ำหายไป กระแสน้ำตีเข้ามากระทบข้างเรือ พวกเราพยายามขืนเรือเอาไว้ไม่ให้มันล่ม แต่ไม่ไหวน้ำแรงมากอย่างนี้

เรือลำนี้ก็เล็กและเบาด้วย จึงถึงนาทีสุดท้ายของมัน เมื่อน้ำพัดพาเรือเข้ากระทบกับต้นยางใหญ่อีกต้นหนึ่งเสียงดังสนั่น  เราทั้งสามคนกระดอนออกจากตัวเรือ หล่นลงน้ำไป เหตุการณ์ทั้งหมดในตอนนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น

ตั้งแต่เรือคว่ำจมน้ำไปนั้น พวกเราไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมากันเลย ต่างคนก็จะพยายามเอาตัวรอดกันให้ได้เท่านั้น น้ำพัดพาผู้เขียนไปปะทะกับต้นไม้ใหญ่บ้างเล็กบ้าง พุ่มไม้บางต้นที่จมลู่อยู่ไต้น้ำ รู้สึกว่าเนื้อตัวจะมีอาการขัดๆและแสบๆไปหมด และคิดว่านายโห้และนายเหม่งก็คงจะโดนอย่างนี้เช่นเดียวกัน

 

ทางเดินไปวัดสนามช้ยที่ถูกน้ำพัดขาดเป็นแนวยาว

น้ำพัดพาผู้เขียนหลุดรอดออกไป จากป่าข้างบ้านป้าม่อมโดยไม่ได้ไปฟาดกับต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่ง กระแสร์น้ำพัดพาลอยลิ่วไหลผ่านถนนที่จะไปวัดสนามชัยแบบผลุบๆโผล่ๆ อีกสองคนนั้นน้ำจะพัดพากันไปทางไหน จะได้รับอันตรายอะไรกันมั่งก็ไม่รู้

ผู้เขียนคิดว่าคงไม่มีใครเป็นอะไร หรือถึงกับจมน้ำตาย อาศัยความเชี่ยวชาญในการอยู่ในน้ำ ซึ่งเป็นธรรมดาของเด็กเจ็ดเสมียนโดยทั่วไป

ผู้เขียนประคองตัวลอยน้ำออกมาถึงทุ่งโล่งใกล้ทางรถไฟ ซึ่งตรงนั้นน้ำไหลเอื่อยๆแล้ว จึงได้เห็นเพื่อนทั้งสองคนนั้น ก็ลอยคออยู่แถวๆนั้นเหมือนกัน

ผู้เขียนตะโกนบอกสองคนนั้น ให้รีบว่ายเข้าฝั่งตรงทางรถไฟเร็วๆ เกรงว่าตะคริวจะกินขา เราสามคนว่ายน้ำเข้ามาหากันที่ริมทางรถไฟ อย่างอ่อนระโหยโรยแรงและสะบักสะบอมเต็มที

ภาพนี้ถ่ายจากสถานที่จริงตรงที่ ถนนเจ็ดเสมียน - หนองบางงู ตัดทางรถไฟน้ำกำลังขึ้นท่วมท้องทุ่ง ตั้งแต่หน้าโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียนไปจนถึงคลองมะขาม และน้ำกำลังลอดไต้สะพานไปยังอีกฝั่งของทางรถไฟแล้ว

พวกเราขึ้นจากน้ำไปนั่งอยู่บนทางรถไฟ นายโห้ยกแขนให้ดูเสื้อแขนยาว ผ้าหนาๆสีเทาๆ เสื้อผ้ามีรอยขาดหลายแห่ง ตามแขนขามีริ้วรอยถูกกิ่งไม้ใบหญ้าบาดเลือดซิบๆ

ตอนนี้ยังไม่ได้สำรวจกันว่ามีใครได้แผลอะไรกันมั่ง ที่เห็นชัดๆคือที่ปลายคางของนายเหม่งนั้น มีแผลแตกเป็นรอยยาว เลือดไหลซิบๆอยู่  เรานั่งตากแดดกันอยู่ตรงนั้น พูดอะไรกันยังไม่ออกทั้งสามคน เพราะว่าเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงมาหยกๆ

สักครู่หนึ่งนายโห้จึงเอ่ยปากขึ้น “บ้าเอ๊ย เป็นงี๊ได้ไง ไม่รู้ว่าน้ำมันพัดพาเรือไปทางไหน กูได้ยินเสียงเรือกระทบกับต้นยางเสียงดังเปรี๊ยะ กูว่าเรือคงพังหมดแล้ว จะอย่างไรก็แล้วแต่ พวกเราต้องช่วยกันหาให้เจอนะโว้ย ”

“จะหาเจอได้ยังไงพี่โห้ พื้นที่มันกว้างมากมาย ป่านนี้มันไม่แยกส่วนลอยไปออกคลองมะขามแล้วรื้อ ” นายเหม่งว่า
ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อไป ที่ริมทางรถไฟใกล้ๆกับที่เรานั่งพักกันนั้น มีสิ่งหนึ่งลอยน้ำมาผลุบโผล่ พวกเราจึงเพ่งมองกันให้ดีว่ามันเป็นอะไรกันแน่ เมื่อมองได้ชัดแล้ว ที่แท้มันเป็นส่วนหนึ่งของเรือลำที่พวกเราขอยืมมาจากป้าม่อมนั่นเอง
นายโห้รีบลงไปในน้ำลากมันมาเกยตื้นเอาไว้ มันเป็นกระดานกราบเรือข้างหนึ่งเท่านั้น ส่วนอื่นๆของเรือไม่รู้ว่ามันลอยน้ำหายไปไหนหมด มันอาจจะลอยออกคลองใดคลองหนึ่งแล้วก็ได้ หรืออีกทีอาจจะลอยวนเวียนแถวนี้ก็ไม่แน่ 
ในตอนนั้นพวกเราจึงได้รู้กันว่า น้ำได้พัดลำเรือเข้าไปปะทะกับต้นไม้ใหญ่หลายๆต้น ทำให้เรือแตกออกเป็นหลายชิ้น แล้วก็ลอยตามน้ำออกมาทางนี้

ไม่ต้องไปหาไปเหอมันแล้วพวกเรา วันนี้พวกเรากลับบ้านกันก่อน กูจะไปบอกแม่กูให้ไปพูดกับป้าม่อมเอง พวกมึงไม่ต้องเป็นห่วง “  นายโห้แสดงความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นผู้เริ่มต้น
แต่จริงๆแล้วผู้เขียนและนายเหม่งก็เห็นแววตาที่วิตกกังวลฉายออกมาของนายโห้ มันคงคิดว่าถ้าแม่มันรู้เรื่องนี้เข้าก็คงจะโดนตีเป็นแน่  เรื่องนี้อย่าว่าแต่นายโห้ที่จะถูกทำโทษ ผู้เขียนและนายเหม่งก็คงจะโดนเหมือนกัน อย่างช้าก็คงไม่เกินในตอนเย็นวันนี้แหละ...!

ใครๆก็ต้องยอมรับว่าเด็กเจ็ดเสมียนทุกคนนั้น ว่ายน้ำเป็นกันมาตั้งแต่เกิด เกี่ยวกับเรื่องน้ำแล้วไม่มีใครกลัว พอโตขึ้นมาก็จะเชี่ยวชาญเรื่องอยู่ในน้ำเป็นอันมาก น้ำลึก น้ำตื้น น้ำเชี่ยวแค่ไหนก็ไม่กลัวเล่นน้ำกันได้ทั้งวัน
เพราะว่าพวกเราอยู่ริมแม่น้ำแม่กลองกันมาตั้งแต่เกิด เด็กๆในตลาดเจ็ดเสมียนวันไหนที่ไม่ได้ไปโรงเรียน ก็จะมีแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเล่นน้ำเสมอ ดังนั้นแม่น้ำ สายน้ำกับเด็กเจ็ดเสมียนนั้นจึงเป็นของคู่กัน

แต่ทำไมในวันนี้พวกผู้เขียนทั้งสามคน จึงได้พาเรือไปอับปางกลางสายน้ำอย่างนั้นเล่า เรื่องนี้ตอบง่าย เด็กเจ็ดเสมียนเก่งเรื่องน้ำก็จริงแต่เรื่องเรือนั้น ทุกๆบ้านในตลาดเจ็ดเสมียนไม่มีใครมีเรือเอาไว้ใช้เลย

เด็กเจ็ดเสมียนทุกคน ทุกรุ่น พายเรือเป็นเสียเมื่อไหร่เล่า .......!

นายแก้ว ผู้เขียนเพื่อนเอ๋ยทั้ง  ๓  ตอน

นายโห้ คุณสุรพงษ์ แวทอง เสียชีวิตแล้ว เมื่อ ๙ มกราคม ๒๕๕๔ ทำให้ข้าพเจ้านายแก้วผู้เขียนได้เขียนเรื่องนี้ซึ่งเกี่ยวกับ นายโห้ ขึ้นมา  นายเหม่ง คุณคะนอง คุ้มประวัติ เสียชีวิตแล้วเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐  ขอได้รับความอาลัยรักจากเพื่อนที่ชื่อ " นายแก้ว " มา ณ ที่นี้.

นายอู๊ดเพื่อนสนิทคนหนึ่งของนายโห้ เมื่อวันฌาปนกิจศพของนายโห้ ที่วัดเขาวังราชบุรี เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๔ (นายแก้ว ถ่ายภาพ)

ย้อนกลับไปอ่าน "เพื่อนเอ๋ย ตอนที่ ๑"  โปรด คลิ๊ก

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้165
เมื่อวานนี้317
สัปดาห์นี้1311
เดือนนี้7478
ทั้งหมด1337362

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online