คนเก่าเจ็ดเสมียน ๑
ไม่ใช่ภาพทายปัญหาแต่เป็นภาพคนเก่าของตำบลเจ็ดเสมียน ที่บางคนอาจจะไม่รู้จัก
ภาพคนเจ็ดเสมียนในสมัยเมื่อเกือบ ๕๐ ปีมาแล้ว มาช่วยงานบวชของนายแดง (นายชูชาติ เทพหัส) บุตรชายของป้าม่อมขายปูน ที่วัดเจ็ดเสมียน (ถ้าต้องการดูภาพให้ชัดกว่านี้กลับไปดูภาพนี้ที่ อัลบั้มภาพในอดีต จะขยายได้ชัดเจนมากกว่านี้ )
ภาพต่างๆที่นำมาลงในเวบ เจ็ดเสมียนนี้ บางภาพที่ไม่ได้มีจุดที่น่าสนใจอะไร ก็จะลงไปทั้งภาพแล้วก็บรรยายภาพตามที่เห็นในภาพนั้น ในตอนนี้มาเห็นว่าภาพบางภาพนั้นมีจุดที่น่าสนใจอยู่ในภาพหลายจุด ที่พอจะขยายตรงจุดนั้นแล้วนำมาเสนอได้ จึงได้คิดทำขึ้นมาทั้งนี้เพื่อท่านผู้ชมจะได้เห็นภาพที่ไม่เคยได้เห็นหรือเห็นไม่ชัด ซึ่งจะเป็นผลดีสำหรับท่านที่ชอบของเก่า ภาพเก่า และเรื่องราวเก่าๆของชาวเจ็ดเสมียนทั้งหลาย ภาพแบบนี้แหละที่จะเป็นตัวเล่าเรื่องให้ได้รู้เรื่องราวในอดีตได้มากขึ้น
สำหรับภาพนี้เป็นภาพที่ขยายออกมาแล้วได้ภาพที่ชัดพอสมควร ถึงขนาดมองออกว่ามีใครบ้างในภาพนี้ ผมในฐานะผู้บรรยายก็จะบรรยายเท่าที่รู้มาเท่านั้น ส่วนท่านผู้ใดที่รู้เรื่องราวของท่านที่อยู่ในภาพนี้ มากกว่าที่ผมบรรยายมานี้ ถ้าจะส่งข้อความมาบอกบ้างก็จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง โดยส่งมาที่ This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
คนเก่าเจ็ดเสมียนคนแรกในภาพนี้คือคนที่ยืนอยู่ทางซ้ายสุดของภาพ เห็นหน้าขาวๆนั้น คือป้าไต้โม้ย ในอดีตท่านก็อยู่ในห้องแถวตลาดเจ็ดเสมียน เป็นชาวเจ็ดเสมียนอย่างแท้จริง ผมจำได้อย่างลางเลือนว่าห้องของท่านอยู่ติดหรือใกล้กับร้านไทยเจริญ ของเฮียเล็กนั่นเอง (คงไม่ผิดไปมากกว่านี้)
ร้านไทยเจริญในปัจจุบันนี้ยังอยู่ แต่ไม่ได้ตัดเย็บเสื้อผ้าแล้ว เฮียเล็กแกไปทำโรงสีข้าวชื่อไทยเจริญ ป้าบ๊วยซึ่งเป็นแม่ของเฮียเล็ก จึงดูแลร้านแทนจนเดี๋ยวนี้ ท่านผู้อ่านที่เพิ่งรู้จักตลาดเจ็ดเสมียน โดยการโหม...โปรโมตตลาดเจ็ดเสมียนให้เป็นตลาด ๑๑๙ ปีขึ้นมา หรือท่านที่รู้จักเจ็ดเสมียนมานานพอสมควรแล้ว ก็รู้แต่เพียงว่าในตลาดเจ็ดเสมียนในอดีตนั้น มีร้านทองอยู่ร้านหนึ่ง คือร้านของนายซุ่ย นางอิน นายซุ่ย (ซ้าย) เจ้าของร้านทองที่ตลาดเจ็ดเสมียนในอดีต และอาจจะมีบางท่านที่รู้มากกว่านี้ คือที่ตลาดเจ็ดเสมียนมีร้านทองนอกจากร้านนายซุ่ยแล้ว ยังมีร้านทองของนายปอสื่ออีกร้านหนึ่ง ซึ่งอยู่ติดกับร้านของนายซุ่ย และได้เลิกกิจการไปหมดทั้งสองร้าน โดยหันไปประกอบอาชีพอย่างอื่นแทนแล้ว เมื่อตอนที่ผมยังเป็นเด็กๆ และอยู่ที่ห้องแถวในตลาดเจ็ดเสมียนนั้น ตลาดเจ็ดเสมียนทั้งสองแถวมีกี่ห้อง และมีใครเป็นเจ้าของห้องนั้นบ้างผมจะรู้จักหมด เพราะว่าลูกๆหลานๆของเจ้าของห้องนั้นๆ จะเป็นเด็กตลาดเจ็ดเสมียนที่วิ่งเล่นกันอยู่ทุกวัน ห้องของป้าโม้ยที่อยู่ติดๆกับร้านตัดเสื้อผ้า ไทยเจริญนั้น ผมจำได้ว่า เป็นร้านขายทองอีกร้านหนึ่งในอดีตของตลาดเจ็ดเสมียน รับซื้อทองและของมีค่าอื่นๆ เช่นเดียวกับร้านนายซุ่ยอีกด้วย ป้าโม้ยผู้เป็นเจ้าของร้านเคยทักทาย และคุยกับผมบ่อยๆเมื่อผมเดินผ่านหน้าร้าน ผมเคยเห็นในร้านของป้าโม้ยในเวลานั้น มีตู้โชว์แบบที่ร้านทองเก่าๆเขามีดูเหมือนว่าจะทาด้วยสีฟ้าอ่อนๆ และมีอุปกรณ์ในการทำทอง ตาชั่งสำหรับชั่งทอง เครื่องเหยียบเป่าลมเป็นหีบเล็กๆสำหรับเป่าลมขึ้นมาในขณะที่หลอมทอง และอุปกรณ์อื่นๆอีกมาก ในตอนที่ผมเห็นนั้น ร้านของป้าโม้ย เป็นลักษณะร้านทองที่ซบเซาแล้ว หรือบางทีอาจจะเพิ่งเลิกกิจการไปใหม่ๆ ผมคิดว่าร้านทองของป้าโม้ยนั้นคงจะเลิกกิจการก่อนร้านนายซุ่ยเสียอีก ป้าไต้โม้ย (นั่งหน้าขวา) ในวันงานแต่งงานของบุตรสาวคนหนึ่ง มองในภาพแล้วผู้เขียนไม่รู้จักใครเลย ป้าโม้ยคงไปจัดงานที่อื่นไม่ใช่ที่เจ็ดเสมียนเป็นแน่ ชีวิตก่อนหน้าของป้าโม้ยนั้นเป็นมาอย่างไร ผมไม่ทราบเพราะว่าในขณะนั้นผมยังเด็กอยู่ และคงไม่ต้องถึงขนาดไปสืบเสาะเรื่องราวเก่าๆของป้าโม้ยมาเสนออีกด้วย ครูประวิทย์ ไทยแช่ม ไปทัศนาจรที่นครนายก เมื่อ ๕๓ ปีมาแล้ว ป้าโม้ยมีบุตรกับครูประวิทย์เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น คือคุณ เกษมศรี ไทยแช่ม (ติ๋ม ) เป็นเพื่อนกับครูปราณี ซึ่งเป็นน้องสาวของผม ปัจจุบันเป็นพยาบาลวิชาชีพประจำอยู่ที่โรงพยาบาลโพธาราม และมีบ้านอยู่ที่ริมถนนสายเจ็ดเสมียน – หนองบางงู อยู่ใกล้ๆบ้านครูตลับนั่นเอง บุตรสาวของป้าไต้โม้ย คือคุณเกษมศรี (ติ๋ม) เมื่อสมัยเป็นวัยรุ่นอยู่ที่ตลาดเจ็ดเสมียน ผมต้องขอโทษท่านผู้ที่ติดตามอ่านด้วย ที่เรื่องของป้าโม้ยดูเหมือนว่าจะไม่ละเอียดมากนัก ที่เป็นดังนี้เพราะเหตุว่า ป้าโม้ย ไม่มีลูกชาย จึงทำให้ผมและพรรคพวกไม่ได้สนิทสนมกับครอบครัวนี้เป็นพิเศษ จึงไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากนัก. คนถัดมาที่อยู่ข้างหน้าคนผมขาวๆนั้น ผู้เขียนต้องขอโทษด้วยที่ไม่ทราบจริงๆว่าคุณป้าคนนี้คือใคร พอจะมีใครบอกได้บ้างไหมครับ ดังนั้นขอผ่านไปก่อนก็แล้วกัน งานบวชพระของนายแดง
ป้าแจ่มเป็นคนรูปร่างเล็กจึงค่อนข้างจะเตี้ยไปสักหน่อย ป้าแจ่มกับแม่ของผมและป้าม่อมขายปูนนั้น เป็นพรรคพวกเดียวกันสนิทกันมาก จริงๆแล้วคนในตลาดที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็จะสนิทกันและไปมาหาสู่กันเสมอ สำหรับป้าแจ่มนั้นเมื่อเวลาที่แกว่างๆ แกชอบมากินหมากที่บ้านผม คุยกันไปบ้วนน้ำหมากใส่กระโถนเล็กๆไป ปากงี้แดงเถือก นายชูชาติ เทพหัส (แดง) คือผู้ที่บวชในครั้งนั้น ปัจจุบันอายุเกือบ ๗๐ ปีแล้ว สามีของป้าแจ่มชื่อลุงเกีย ๆนี้เป็นเพื่อนกับบิดาของผมมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ที่เขาทำงานอยู่ที่โรงสีไฟเจ็ดเสมียน เรื่องราวของเขาที่บิดาของผมบันทึกไว้รวมกับเพื่อนคนอื่นๆด้วย ในครั้งนั้นเมื่อมีการย้ายศาลตาผ้าขาว จากกำแพงโบสถ์วัดเจ็ดเสมียน ซึ่งแต่เดิมศาลตาผ้าขาวอยู่ตรงประตูทางเข้าโบสถ์ ด้านทางทิศตะวันออก แต่เนื่องจากมีการสร้างโบสถ์ใหม่และทำกำแพงโบสถ์ เมื่อประมาณ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว เข้าก็เลยอัญเชิญศาลตาผ้าขาวย้ายมาอยู่ที่ศาลสร้างใหม่ ตรงข้างถนนหลังสถานีรถไฟแล้วก็อยู่เรื่อยมาดังในปัจจุบันนี้ ลุงเกีย(ซ้ายสุด) ป้าแจ่ม ยืนอยู่ตรงกลางรูปร่างเล็กๆ ถ่ายที่สนามบินดอนเมืองเมื่อวันที่ไปส่งลูกชายคือ พี่ประกาศ (พี่ชายของประมูล) และภรรยากลับไปสหรัฐอเมริกา ในภาพนี้มีคนที่สำคัญคนหนึ่งของเจ็ดเสมียนไปส่งพี่ประกาศที่สนามบินดอนเมืองด้วย ท่านเป็นใครจะนำเรื่องมาเล่าในภายหน้า. เมื่อลุงเกียสามีของป้าแจ่มในเวลานั้น มีอายุมากแล้วจึงรับเป็นคนเฝ้าดูแล เก็บ ปัด กวาด ศาลตาผ้าขาวแห่งใหม่นี้ จนกระทั่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานมานี้ ปัจจุบันนี้ไม่ทราบว่าที่ศาลตาผ้าขาวนั้นใครเป็นผู้ดูแลอยู่ ในสมัยก่อนนั้นนอกจากลุงเกียซึ่งเป็นสามีของป้าแจ่ม จะทำงานที่โรงสีเจ็ดเสมียนแล้ว ป้าแจ่มแกก็ทำขนมจีนออกขายในวันที่มีตลาดนัดด้วย ร้านของแกที่ขายเป็นประจำก็คือที่โคนต้นก้ามปูใหญ่กลางตลาดนั่นเอง ต้นก้ามปูใหญ่ อยู่กลางตลาดและอยู่ตรงหน้าห้องแถวของผู้เขียน โคนต้นก้ามปูนี้จะมีร้านไม้ดังที่เห็นในรูป เป็นที่วางหาบขนมจีนของป้าแจ่ม ภาพที่พอจะเห็นต้นก้ามปูใหญ่ต้นนี้หาไม่ได้เลย จึงต้องเอาภาพนี้มาลงอยู่บ่อยๆ เด็ก ๒ คนที่ยืนอยู่นี้คือ น้องๆของผู้เขียนเอง โตขึ้นมาแล้วก็รับราชการครูทั้งสองคน และจะเกษียรอายุราชการพร้อมกันในเดือนกันยายน ปี ๒๕๕๔ นี้ “ ไอ้เก้ว มึงมาเมื่อไหร่วะ มึงไปอยู่กรุงเทพฯ มึงโตขึ้นเยอะเลยนี่หว่า ” แกทักผมเร็วปรื๋อ เพราะว่าป่าแจ่มแกเป็นคนพูดเร็วมาก และหมากก็อยู่ในปากแกด้วย ถ้าไม่ตั้งใจฟังดีๆบางทีก็ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ป้าแจ่มแกหยิบจับ (ขนมจีนจะแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆแบนๆไว้ เรียกว่า จับ) ขนมจีนใส่จานให้ผม เพราะว่าแกรู้ว่าผมต้องกินเท่านั้นเท่านี้ แล้วป้าแจ่มแกก็ราดน้ำพริกให้ผมเสียชุ่มโชกเป็นพิเศษ แล้วก็บอกผมว่า “มึงจะเอาผักอะไรมึงก็หยิบเอา ” แล้วแกก็หันไปหยิบขนมจีนให้ลูกค้าที่รออยู่อีกหลายคน แถมด้วยใบแมงลักหยิบใส่ทับหน้าลงไปให้ดูมีสีสันเขียวๆบ้าง แล้วตักพริกขี้หนูป่นจากโถกระเบื้อง ที่ป้าแจ่มแกใส่พริกป่นเอาไว้ลงไปนิดหน่อย (ไม่ใช่พริกขี้นกนะครับ) พริกขี้หนูของป้าแจ่มนี้ แกคั่วเอง ตำเอง กินกับขนมจีนอร่อยมาก ไม่เผ็ดจัดเหมือนพริกขี้นกที่เผ็ดจัดกินไม่อร่อย พอรสได้ที่ดีแล้วทีนี้ก็ตักเข้าปาก แหม..! อร่อยดีเหลือเกิน บางครั้งผมก็ซัดเสียสองจาน เพื่อไม่ให้เสียเที่ยวที่มาเยี่ยมบ้านแต่ละครั้ง ป้าแจ่มเป็นคนคุยเก่ง และพูดเร็วดังที่ได้บอกมาแล้ว ขณะที่ผมกินขนมจีนที่หน้าร้านของแกๆก็จะคุยกับผมถึงลูกของแกคือ ประมูล (นาวาโท ประมูล กุลบุปผา) ซึ่งเป็นเพื่อนกับผู้เขียนในสมัยเด็กด้วย นี่คือป้าแจ่ม กุลบุปผา แม่ค้าขายขนมจีนชื่อดังในตลาดเจ็ดเสมียนในอดีต ที่ไม่มีใครที่อยู่เจ็ดเสมียนหรือตำบลใกล้เคียงเมื่อในอดีตจะไม่รู้จัก มีหลายครั้งเมื่อตอนเด็กๆที่ผมไปหาประมูลที่บ้านในตอนเย็นๆ บางครั้งก็จะเห็นป้าแจ่มและลุงเกีย พร้อมด้วยคนอื่นๆอีกหลายคน ช่วยกันทำขนมจีนกันอย่างโกลาหล เพื่อจะนำไปขายที่นัดเจ็ดเสมียน ในวันรุ่งขึ้น....
คนที่รู้อย่างนี้มีน้อยคน โดยมากจะรู้เพียงว่าตลาดเจ็ดเสมียนนี้มีร้านทองเพียงร้านเดียวคือร้านทอง ง่วนหลีเอง ของนายซุ่ยนางอินเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่ผมจะบอกต่อไปนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ท่านผู้อ่านคิดไม่ถึงก็เป็นได้
ดังนั้นชีวิตในตอนหลังที่ผมเคยรู้เคยเห็นนี่ ป้าโม้ยได้แต่งงานกับครูประวิทย์ ไทยแช่ม ครูโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน บ้านเดิมของครูประวิทย์นั้นอยู่ที่คลองบ้านใหม่ ใกล้ตลาดโพธาราม เมื่อได้แต่งงานกันแล้วก็มาอยู่ที่ห้องแถวตลาดเจ็ดเสมียนอีกต่อมาเป็นเวลานาน
คนต่อมาที่ยืนข้างหลังคนผมขาวนั้นคือ ป้าแจ่ม กุลบุปผา เป็นแม่ของ นาวาโท ประมูล กุลบุปผา เพื่อนสนิทเมื่อตอนเด็กๆของผมเอง ในภาพนี้ป้าแจ่มก็มาช่วยงานบวชนาคนายแดงกับเขาด้วยเหมือนกัน
เกี่ยวกับเรื่องขนมจีนแล้ว ป้าแจ่มนี่ถือว่าสุดยอดเจ้าอร่อยของเจ็ดเสมียนเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นขนมจีนราดด้วยน้ำยาร้อนๆควันฉุย หรือน้ำพริกที่เดือดปุดๆอยู่บนเตา ของป้าแจ่มนี่อร่อยเด็ดขาด
ในตอนหลังๆที่ผมไปจากเจ็ดเสมียนแล้ว เมื่อมีโอกาสมาเยี่ยมบ้านถ้าหากว่าตรงกับวันมีนัดพอดี ก็จะต้องกินขนมจีนของป้าแจ่ม เป็นอาหารมื้อเช้าซึ่งอดไม่ได้จริงๆ ป้าแจ่มเห็นผมก็จะต้องทักผมก่อนเสมอ
ตรงนี้แหละที่ผมชอบมาก หยิบจานขนมจีนที่ป้าแจ่มแกราดน้ำพริกให้เสียชุ่มโชกมาแล้ว ก็จัดการหยิบหัวปลีดิบที่หั่นเป็นฝอยไว้แล้วในกะละมังใหญ่ ที่มีผักหลายชนิดอยู่เต็ม เอาโปะลงไปในจานขนมจีน
เติมโน่นนิดนี่หน่อย แล้วผมก็เอาช้อนแบบโบราณที่เคลือบเป็นสีต่างๆ (แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสีเขียว) สับๆเส้นขนมจีน แล้วก็คลุกเคล้าน้ำพริกที่ราดไว้ชุ่มโชก หัวปลีหั่น ใบแมงลัก พริกขี้หนูป่น เข้ากันดีแล้วก็ตักใส่ปากให้ได้รู้รสเสียก่อนว่ายังขาดอะไรอีก ถ้าชอบเค็มก็เติมน้ำปลาลงไป
นายแก้ว ผู้เขียน ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๔