กว่าจะถึงวันนั้น ๑ ( บทนำ)

   

    รูปถ่ายติดใบสุทธิของผู้เขียนเมื่อปี ๒๕๐๓

     ผมเป็นคนเจ็ดเสมียนผมเกิดที่ตำบลเจ็ดเสมียน และเป็นเด็กตลาดเจ็ดเสมียนมีเพื่อนฝูงมากมายที่เป็นเด็กรุ่นเดียวกัน ชีวิตในวัยเด็กที่เจ็ดเสมียนนั้นเป็นชีวิตที่มีความสุขสนุกสนาน จนกระทั่งวันหนึ่งในปี พ.ศ. ๒๕๐๓

     เมื่อผมเรียนหนังสือจบชั้นมัธยมปีที่  ๖  จากโรงเรียนในตัวอำเภอ พร้อมกับเพื่อนๆที่อยู่ที่เจ็ดเสมียนอีกหลายคน เพื่อนบางคนของผมที่ทางบ้านของเขามีฐานะดีมีเงิน เขาก็จะส่งเสริมให้ลูกหลานไปเรียนต่อในโรงเรียนที่ดีๆ ในระดับม.๗ ม.๘ ในเมืองใหญ่ๆหรือส่งเข้ากรุงเทพฯไปเลย และพวกเขาหวังว่าเมื่อเพื่อนผมที่มีฐานะดีๆเหล่านี้เรียนจบแล้ว ก็จะให้เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยหรือส่งไปเรียนเมืองนอกต่อไป เขาจะก็ส่งเสริมกันไปอย่างเต็มที่เพื่ออนาคตของลูกหลาน และเพราะว่ามีเงินที่จะส่งได้

   ในปีนั้น (๒๕๐๓) เพื่อนของผมบางคนอีกส่วนหนึ่ง ที่ไม่อยากเรียนต่อทางสายสามัญก็มี หันไปสมัครเข้าเรียนทางทหาร ตำรวจ หรือเข้าเรียนต่อในสายวิชาชีพ และก็มีอีกบางคนเหมือนกันที่จะไม่เรียนต่ออะไรเลย คืออยู่บ้านเฉยๆโดยมากจะเป็นเด็กผู้หญิง

    สำหรับผมนั้นผมไม่ได้คิดล่วงหน้ามาก่อนเลยว่า เมื่อผมพยายามเรียนจนจบม.๖ กับเขาแล้ว เตี่ยของผมจะให้เรียนอะไรต่อ ผมจะปรึกษากับแม่ก็ไม่ได้ เพราะว่าแม่ของผมไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องนี้เท่าไรนัก เรื่องอะไรทั้งหลายก็ต้องรอเตี่ยคนเดียว มีคนข้างๆบ้านที่ผมเรียกเขาว่า อี๊ ต่ไม่ได้เป็นญาติกันจริงๆเขาเป็นเพื่อนบ้านที่ดี อี๊แกบอกผมด้วยความหวังดีว่า " อาเก้วเอ๊ย..! ให้ใจเย็นๆไปก่อน เอาไว้เมื่อเฮีย  (อี๊คนนี้เรียกเตี่ยผมว่าเฮีย ) กลับมาค่อยปรึกษากันดูอีกทีเวลายังอยู่อีกนาน " แม้ว่าผมจะเชื่อ อี๊ คนนี้หรือไม่เชื่อก็ตาม ผมก็ต้องรออยู่ดี ดังนั้นผมจึงต้องรอเตี่ยของผมก่อนไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร ระยะนั้นใจของผมวุ่นวายเต็มที

  อี๊ที่บ้านอยู่ใกล้ๆกัน  ถ่ายที่หน้าโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียนในสมัยหนึ่ง

    เวลานั้นเตี่ยของผมไปทำงานในที่ไกลๆ เตี่ยบอกว่าเพื่อหาเงินมาเลี้ยงพวกผม งานใกล้ๆบ้านก็ไม่มีจะให้ทำ เพราะว่าเตี่ยของผมทำงานหนักแบบกุลีไม่เป็น  เมื่อสมัยที่แกยังหนุ่มๆอยู่นั้น แกเป็นถึงครูใหญ่ที่โรงเรียนเจ็ดเสมียนนี้เอง ถ้าหากว่าแกทำงานเป็นครูอยู่จนกระทั่งเกษียณอายุ แกก็จะได้อยู่ที่บ้านไม่ต้องร่อนเร่ไปทำงานที่ไกลๆอย่างเดี๋ยวนี้ และจะมีหน้ามีตาให้ชาวบ้านเขาเคารพนับถือ ลูกๆก็จะมีหน้ากับเขาด้วยเพราะว่าเป็นถึงลูกของครูใหญ่ด้วย เตี่ยทำงานแบบหนักๆไม่ได้ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว จึงได้แต่เป็นเสมียน รับจ้างทำบัญชี หรือทำบัญชีป่าไม้ ในกรณีที่อยู่โรงเลื่อย และในความเป็นจริงก็ทำงานอยู่โรงเลี่อยในที่ต่างๆมาตลอด

    ตั้งแต่เตี่ยของผมลาออกจากครูมาก็ทำงานเป็นเสมียนมาตลอด เริ่มแรกที่โรงสีไฟเจ็ดเสมียน โรงเลื่อยจักรที่หัวหิน โรงเลื่อยจักรที่ปากแรด บ้านโป่ง และอีกหลายๆที่ คนก็เลยเรียกเตี่ยผมว่า  “ เสมียน ”  มาตลอด ผมยังเคยคิดว่าเตี่ยของผมนี้แหละคือ หนึ่งในเสมียนทั้งเจ็ดคนของตำนานตำบลเจ็ดเสมียนนี้แหละ
   
จนกระทั่งหลังจากย้ายที่ทำงานมาหลายที่แล้ว สุดท้ายก็ไปอยู่ที่โรงเลี่อยจักรในป่าอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี โดยการชักชวนของคนในเจ็ดเสมียนนั่นเอง  ดังนั้นการเดินทางจะกลับบ้านทีหนึ่งก็ลำบากลำบน  กว่าแกจะได้กลับมาบ้านสักครั้งหนึ่งก็เป็นเวลานานๆ

   เมื่อเตี่ยไปอยู่ในที่ไกลๆอย่างนี้ การติดต่อกันมีทางเดียวคือการส่งข่าวกันโดยทางจดหมาย แต่โรงเลื่อยที่เตี่ยไปทำงานนั้นอยู่ในป่าทึบที่เรียกว่า หนองน้ำเขียว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขาเขียว การเดินทางของจดหมายจึงใช้เวลาที่นานมากจดหมายจึงไม่ค่อยถึง ทางบ้านเขียนจดหมายไปบอกข่าวอะไรทีหนึ่งจดหมายนี้ต้องไปค้างอยู่ที่ร้านค้าในตลาด  บ้านหัวกุญแจ (ชื่อตลาดแห่งหนึ่งอยู่ในเขตอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ) เสียก่อน
  จนกว่าจะมีคนหรือรถไม้ออกมาจากโรงเลี่อย เพื่อมาซื้อของหรือมาธุระอย่างหนึ่งอย่างใดที่ตลาด  ร้านค้านั้นจึงจะฝากจดหมายไปให้คนในโรงเลื่อย รวมทั้งจดหมายของทางบ้านผมด้วย  บางครั้งนานเป็นเดือนจดหมายเหล่านี้จึงจะถึงมือผู้รับในโรงเลื่อย เพราะว่าคนที่ออกมาจากโรงเลื่อย ก็ไม่แน่เสมอไปที่จะเอาจดหมายกลับมาให้ ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นอะไรกันทำให้ผมคิดว่า คนไม่มีน้ำใจนั้นมีมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว

  เตี่ย เมื่อครั้งจากลูกจากเมียไปทำงานเป็น "เสมียน" โรงเลี่อยที่หัวหิน ที่นี่ยังดีที่การติดต่อกันง่าย

   ดังนั้นในครั้งนี้ผมจึงคอยเตี่ยของผมกลับมาอย่างลมๆแล้งๆ เพราะนึกว่าคงจะอีกนานจดหมายของผมที่ได้เขียนไปบอกเตี่ยนั้นจึงจะถึง และก็คงจะไม่ทันการณ์ทันเวลาแล้ว ผมพยายามบอกตัวเองเสมอมาเมื่อตอนที่ผมอยู่คนเดียวเงียบๆ ท่ามกลางน้ำตาที่หยดลงมาว่า มันเป็นวาสนาของผมเองที่จะไม่ได้เรียนต่ออย่าไปโทษใครเลย เพราะว่าครอบครัวของเราไม่เหมือนครอบครัวคนอื่นๆเขา ผมจึงทำใจว่าจะไม่เรียนมันละ แล้วแต่ว่าพรหมลิขิตจะนำไปทางไหนก็จะปล่อยไปตามดวง (ได้ยินคนอื่นๆเขาชอบพูดกันอย่างนี้) ดังนั้นเวลาคุยกับเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ในตลาด พวกเขาคุยกันอย่างภาคภูมิใจที่พ่อแม่จะส่งไปเรียนที่นั่นที่นี่ ถ้าเขาคุยกันถึงเรื่องนี้ ผมก็ต้องขอกลับบ้านก่อน เดินหนีเขาออกมากลัวว่าเขาจะถาม..! แล้วมานั่งคิดอะไรของผมเงียบๆคนเดียว จนบางครั้งแม่ผมบอกกับน้องๆของผมว่า "ไอ้เก้วมันเป็นอะไรของมัน"

    เมื่อนานมาแล้วย้อนหลังไปจากนี้ เตี่ยของผมกลับมาบ้านในครั้งก่อนๆ เคยพูดให้ผมและคนอื่นๆในบ้าน ได้ยินว่า  “ ถ้าไอ้เก้วมันเรียนจนจบ ม.๖ แล้ว เรื่องเรียนก็จะให้มันพอเท่านี้ก่อน มันได้เรียนมาจนถึง ม. ๖ ก็ถมเถแล้ว เตี่ยคิดว่าจะพามันไปสมัครฝึกงานตามอู่รถ หรือโรงกลึงที่ราชบุรีให้มันกินนอนอยู่กับเขาเลย ให้มันฝึกงานกับเขาอย่างจริงจัง เมื่อนานๆเข้าเมื่อมันมีความชำนาญดีแล้วก็ค่อยออกมาทำส่วนตัว ”
   เตี่ยผมเคยบอกผมอย่างนี้ เป็นเหมือนการวางแผนชีวิตให้ผมล่วงหน้า ผมก็ว่าดีเหมือนกัน และเตี่ยก็บอกอีกว่า “ เราเป็นลูกผู้ชายเราจะทำอะไรก็ได้ขอให้ทำอย่างจริงจัง คนอย่างเราไม่จำเป็นต้องเรียนสูงๆจนสำเร็จโน่นนี่หรอก ขออย่างเดียวทำอะไรก็ทำให้จริงจัง ” แกย้ำอีก
  แล้วเตี่ยก็นำเอาคำพูดของใครก็ไม่รู้ว่า (ลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นกำนันโกวิท พูด) รู้อะไรรู้กระจ่างเพียงอย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล ” ผมได้ฟังเตี่ยบอกแล้วผมก็รู้โดยอัตโนมัติเลยทีเดียวว่า มีความหมายว่าอย่างไร คิดว่าท่านผู้ที่กำลังอ่านอยู่นี้ก็คงจะรู้เหมือนกัน แล้วเตี่ยก็พูดอีกว่า “มีตัวอย่างเยอะแยะไปที่เขาเก่งเพียงอย่างเดียวแล้วก็ได้ดี ”

   แล้วเตี่ยของผมก็ยกตัวอย่างใครต่อใครหลายๆคน ที่ประสบความสำเร็จเพราะความเก่งของเขา ผมฟังแล้วก็แน่ใจเลยว่าผมคงไม่มีความสามารถถึงอย่างนั้นหรอก ถึงอย่างไรเตี่ยผมก็ให้กำลังใจผมเสมอ  และบอกผมอีกว่า “ ต่อไปต้องพยายามนะ ทุกอย่างต้องสู้ เตี่ยไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรจะให้ นอกจากวิชาและการเรียนรู้เท่านั้น ”  แล้วเตี่ยก็สอนอะไรอีกหลายอย่าง นี่เป็นคำพูดคำสอนพวกผม ที่เตี่ยกลับมาบ้านในครั้งก่อนๆนั้น
   พวกน้องๆของผมนั้นเมื่อเตี่ยพูดอะไร เขาก็ยังคงไม่เข้าใจอะไรมากนักหรอก คงคิดแต่เพียงว่า ทำไมเตี่ยจะต้องไปทำงานไกลๆด้วย ทำไมไม่อยู่บ้านให้ครบหน้าครบตาเหมือนพ่อแม่ของเพื่อนๆคนอื่นๆเขา ในตอนนั้นพวกเขาคงคิดกันได้ไม่มากกว่านี้ สักพักเดียวก็ออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆต่อไปอีก

   วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความหวังที่ผมจะได้เรียนต่ออะไรที่ไหนก็หมดไปไม่มีวี่แววว่าเตี่ยจะกลับมาบ้านเลย อี๊ ข้างๆบ้านก็คอยปลอบใจผมอยู่เรื่อยๆที่เห็นผมแกมักจะเดินมาปลอบใจผม “เก้ว ใจเย็นๆก่อนนะ อี๊ว่า เฮีย ต้องมาแน่นอน  ”  อี๊แกคงฝันไปว่าเตี่ยผมจะมา ผมบอกอี๊ว่า “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่คิดอะไรแล้ว ”

   แต่บังเอิญชีวิตของผมที่กำลังจะหยุดอยู่ที่เจ็ดเสมียนนี้ ได้เปลี่ยนไปและจะเป็นเหตุให้ผมต้องไปจากเจ็ดเสมียน โดยไม่ได้กลับมาอยู่ที่เจ็ดเสมียนอีกเลย ื่อวันนั้นมาถึง ไม่นานนักอยู่ๆเตี่ยของผม ก็กลับมาบ้านโดยทางรถไฟที่วิ่งมาจากสถานีบางกอกน้อย มาถึงสถานีเจ็ดเสมียนในตอนเย็นวันหนึ่ง เตี่ยหิ้วกระเป๋าเดินทางขนาดไม่ใหญ่นักใบเดิมที่เคยเอาไปจากบ้านเมื่อนานมาแล้ว พร้อมกับหอบของหลายอย่างเดินลงมาจากสถานีรถไฟ ผ่านสนามตีแบดมาทางตลาด น้องของผมที่โตแล้ว ๒ คนมองเห็นเข้า รีบวิ่งแข่งกันไปรับเตี่ย แล้วตะโกนเสียงดังลั่น  “เตี่ยมาแล้ว เตี่ยมาแล้ว ”  ในขณะที่วิ่งไปรับนั้น ด้วยความดีใจ แม้แต่อี๊ข้างบ้านก็ทำท่าดีใจเช่นกัน เตี่ยคงจะได้รับจดหมายจากผมที่ส่งข่าวไปบอก แกคงจะเป็นห่วงเรื่องการเรียนต่อของผมเป็นเหมือนกัน แกจึงกลับมาบ้านในครั้งนี้เร็วกว่าที่พวกผมทางบ้านคิดไว้มากนัก

  ผมมีพี่น้องเท่านี้แหละครับ เมื่อเด็กๆก็มีความสุขกับชีวิตที่ตลาดเจ็ดเสมียน ริมแม่น้ำแม่กลองตลอดมา

   ในค่ำวันนั้นเราพ่อแม่ลูกก็ปรึกษากันถึงเรื่องการเรียนต่อของผม เตี่ยคงจะคิดถึงเรื่องการเรียนของผมมาตลอด เพราะว่าเตี่ยบอกว่าตั้งแต่ได้รับจดหมายจากผมเมื่อหลายวันมาแล้ว ก็คิดจะกลับมาบ้านอย่างเร็วที่สุด  ผมจึงได้รู้ว่าในใจจริงๆของเตี่ยนั้น ก็คงอยากจะให้ผมได้เรียนต่อเหมือนๆกับเพื่อนๆของผมเหมือนกัน แกคงไม่ต้องการที่จะให้ผมไปอยู่ตามอู่รถดังที่แกเคยบอกไว้หรอก เรื่องการเรียนนี้ใจของผมนั้นเบื่อการเรียนคนิตศาสตร์ เคมี และเรียนภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก เมื่อเตี่ยผมถามว่าอยากเรียนไปทางสายอาชีพ (อาชีวะในสมัยนี้) บ้างหรือไม่หรือจะเรียนต่อ ม.๗ ม. ๘ ผมรีบบอกทันทีเลยว่า ผมไม่อยากเรียนทางสายสามัญเพราะว่าผมหัวไม่ดี  ( "มีแต่ขี้เลื่อย " ไอ้เหม่งเพื่อนผมที่ตลาด เคยกระแหนะกระแหนผมอย่างนี้)  ผมอยากเรียนทางสายอาชีพมากกว่า เตี่ยผมจึงบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเตี่ยจะพาไปฝาก ไอ้ส่ง ที่กรุงเทพฯให้.. (มีต่อ)

    (ติดตามให้ได้ครับว่า ไอ้ส่ง ที่เตี่ยผมบอกนั้นมันเป็นใคร)

    โรดทราบ  เื่องนี้เป็นเรื่องที่เพิ่งเริ่มต้นในการที่ผมไปจากเจ็ดเสมียนตลอดกาล ซึ่งผมผู้เขียน ได้เล่าเรื่องเริ่มตั้งแต่ได้ออกจากเจ็ดเสมียนไป แล้วไม่ได้กลับมาอยู่ที่เจ็ดเสมียนอีกเลยจนกระทั่งปัจจุบันนี้  (ญาติพี่น้องยังอยู่) เป็นเรื่องที่ผมต้องไปผจญชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯด้วยตัวคนเดียว เป็นเรื่องที่ยาวพอสมควร ถ้าท่านที่ชอบเรื่องเก่าๆในแนวนี้ก็คงจะสนุกสนานไปด้วย แต่ถ้าท่านไม่ชอบก็ขอให้ท่านละเลยเรื่องนี้ไปเสีย โดยที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อิงกับความจริง และสิ่งที่สำคัญของเรื่องนี้คือ ชื่อตัวละครในนี้จะมีชื่อจริงและชื่อปลอมบ้างเพื่อความเหมาะสม ขอให้ท่านอ่านด้วยความสนุกนะครับ ..


ียนโดยนายแก้ว คนเจ็ดเสมียน เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๔

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้702
เมื่อวานนี้485
สัปดาห์นี้2676
เดือนนี้8843
ทั้งหมด1338727

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

3
Online