กว่าจะถึงวันนั้น ๕ (อดีตนายตรวจทาง)

   สถานีรถไฟเจ็ดเสมียนในอดีต ปัจจุบันนี้สถานีรถไฟรื้อสร้างใหม่แล้ว 

   ตาทองคำนิ่งคิดพร้อมกับพยุงตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอนพลางพยักหน้า “เออ ..เออ จำได้..จำได้ ” แล้วตาก็คุยกับเตี่ยต่อไปถึงเรื่องเก่าๆ ถามหาแม่ของผมและใครต่อใคร ที่เป็นคนเก่าๆที่เจ็ดเสมียนที่ตาเคยรู้จัก

   ในวันนี้สภาพของตาทองคำทรุดโทรมไปมาก เป็นเพราะแกมีอายุมากแล้ว ประกอบกับไม่ได้ออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้ นอนแซ่วอยู่กับห้องชั้นล่างอยู่อย่างนั้น ในวันหนึ่งๆจะได้เคลื่อนไหวบ้างก็ตอนลุกขึ้นแล้วก็เดินคลำๆไปเข้าห้องน้ำอาบน้ำ หรือถ่ายทุกข์หนักเบา ก็เท่านั้นเอง

   แต่เดิมตาทองคำทำงานการรถไฟในตำแหน่งนายตรวจทาง แถวๆเพชรบุรีมาก่อนที่จะย้ายมาอยู่เจ็ดเสมียน ต่อมาเมื่อได้แต่งงานกับยายซึ่งเป็นคนบางตะบูนจังหวัดเพชรบุรีแล้ว จึงได้ย้ายมาเป็นนายตรวจทางรถไฟเขตุเจ็ดเสมียน ตาทำงานและมีบ้านพักอยู่ที่เจ็ดเสมียนมานานตั้งแต่ผมยังไม่เกิด เพราะว่าในตอนนั้นแม่กับเตี่ยของผมยังไม่ได้แต่งงานกัน

   เตี่ยของผมเป็นคนโพธารามมาเป็นครูที่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๘ เมื่อเขามีอายุได้ ๑๙ ปี เป็นครูสอนเด็กต่อมาอีกหลายปีเตี่ยของผมจึงได้แต่งงานกับ หลานคนหนึ่งของนายตรวจทางเจ็ดเสมียนคือ  นางสาวสละ ซึ่งเป็นแม่ของผมเอง และต่อมาอีกเตี่ยของผมจึงได้ย้ายจากโพธารามมาอยู่ที่เจ็ดเสมียน เป็นการถาวรตั้งแต่นั้นมา

   นางสละ สุวรรณมัจฉา แม่ของผู้เขียน ภาพนี้เมื่อแต่งงานแล้ว

    เป็นเพราะเหตุนี้เมื่อยายถามตาว่า “ จำครูลิว ได้หรือเปล่า ”  แน่นอนครับตาต้องจำได้เพราะว่าความคุ้นเคยกันแต่เก่าก่อนนั้นยาวนานมากทีเดียว

   เมื่อตอนที่ผมยังเด็กอยู่ ในขณะที่เตี่ยของผมไปทำงานอยู่ที่โรงเลื่อยหัวหิน ในตอนนั้นครอบครัวของผมยังไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งที่แน่นอน เจ้าของโรงเลื่อยหัวหิน ซึ่งมีบ้านอยู่ในโรงเลื่อยเก่า ที่ใกล้ๆโรงสีเจ็ดเสมียน  ได้ให้ครอบครัวของผมได้เข้าไปอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเก่าๆ ซึ่งร้างแล้วไม่มีคนอยู่ ภายในบริเวณโรงเลื่อย

    วันหนึ่งอยู่ๆตาทองคำก็โผล่มาที่บ้าน ผมจำไม่ได้แล้วว่าในเวลานั้นตาทองคำ เกษียณอายุราชการไม่ได้เป็นนายตรวจทางแล้วตาไปอยู่ที่ไหน วันนั้นตามาเยี่ยมแม่และพวกผม ผมมองเห็นตาเดินเข้ามาที่บ้านผมแต่ไกล ตาใส่กางเกงสีกากี ใส่เสื้อคล้ายๆเสื้อซาฟารีในสมัยนี้เป็นสีกากีเข้าชุดกับกางเกง สวมหมวกกะโล่แข็งๆ ถือไม้เท้าตรงที่จับโค้งๆเป็นตะขอเหมือนด้ามร่ม เดินตัวตรงรูปร่างสมาร์ท สมกับที่เคยเป็นนายตรวจทางของการรถไฟมาก่อน

    ตาเดินเข้ามาหัวเราะร่าผมตะโกนเรียกแม่ บอกแม่ว่าตามาหา แล้วตากับแม่ของผมก็คุยกันได้สักพักใหญ่ๆ ตาจึงขอตัวบอกว่าจะไปเยี่ยมเพื่อนเก่าๆที่ตลาดเจ็ดเสมียนอีก นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็นตา จนกระทั่งมาเห็นอีกในขณะนี้นั่งอยู่ตรงหน้าผมนี่เอง

   เตี่ยยายและตาทองคำนั่งคุยกันอยู่ตรงนั้น เพื่อรอน้าส่งซึ่งจะเลิกงานแล้วออกจากโรงงานประมาณ ๕ โมงเย็น เตี่ยดูนาฬิกาข้อมือแล้วบอกผมว่า " ถ้าน้าส่งมาแล้วก็จะคุยธุระกันให้เสร็จแล้วเก้วก็อยู่ที่นี่เลย ส่วนเตี่ยจะไปนอนค้างที่บ้านเจ้าของโรงเลื่อยซึ่งอยู่ที่ ถนนเยาวราช รุ่งเช้าจึงนั่งรถกลับไปโรงเลื่อยกับเถ้าแก่เขาเลยจะสะดวกดี " ผมพยักหน้ารับรู้เพราะว่าก่อนหน้านี้เตี่ยก็บอกไว้ครั้งหนึ่งแล้ว

   ไม่นานนักชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ นุ่งกางเกงขายาวใส่เสื้อเชิตแขนสั้นสีกากี เดินเข้ามาในบ้าน เมื่อเขามองเห็นผู้ที่กำลังคุยกับยายว่าเป็นใครแล้ว เขาก็ยกมือไหว้ทันที

ภาพของนายบุญส่ง หรือนายเดชา พลหาญ (คนสูง) คิดว่ามีเพียงภาพเดียวเท่านี้ ภาพนี้ไม่ใช่ภาพในตอนที่ผมได้ไปอยู่กับน้าบุญส่งส่งใหม่ๆตามเนื้อเรื่อง แต่เป็นภาพที่ถัดมาจากในเรื่องประมาณ ๑๕ ปี เป็นภาพที่ถ่ายที่เจ็ดเสมียนในคราวที่น้าส่งไปเยี่ยมแม่ของผม (กลาง) โดยพาภรรยาคนสุดท้ายไปด้วย (ซ้ายสุด)

 
     คนๆนี้แหละคือ นายบุญส่ง หรือนายเดชา พลหาญ  คนที่ผมต้องเรียกเขาว่าน้าส่ง ผมไหว้น้าส่งๆก็ทักทายผม “เนี่ยเก้วเหรอ เออ..! โตเร็วนี่หว่า ” น้าส่งหันไปทางเตี่ย “เมื่อก่อนที่ผมไปเจ็ดเสมียนนะ เก้วยังตัวเล็กอยู่เลย ” แล้วเตี่ยกับน้าส่งคุยกันต่อไปอีกนาน

    ผมคิดย้อนไปในเวลานั้นผมคิดว่าผมก็จำได้ ในตอนนั้นตายังไม่เกษียณอายุ ยังพักอยู่ที่บ้านนายตรวจทางตรงกันข้ามกับสถานีรถไฟเจ็ดเสมียน มีเด็กหนุ่มวัยรุ่นหลายคนมาจากกรุงเทพฯ มาที่บ้านพักตา หนึ่งในนั้นผมจำได้ว่าเป็นน้าส่งนั่นเอง น้าส่งแบกปืนยาวลูกกรดของตาพร้อมกับเพื่อนๆพวกนั้นไปยิงนก ตามสวนมะม่วง ท่าทางสนุกกันน่าดู

   ผมจำได้เพียงแค่นั้น จำไม่ได้ว่าน้าส่งค้างคืนที่บ้านตาหรือว่าพาพวกกลับกรุงเทพฯในวันนั้นเลย

  เตี่ยคุยกับน้าส่งคงจะคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่จะ ให้ผมมาเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนการรถไฟนั่นเอง ผมไม่ได้นั่งฟังเขาคุยกันหรอกครับ เพราะว่านั่งอยู่ในห้องไต้ถุนแคบๆ นานๆเข้ารู้สึกร้อนและอึดอัดเป็นยิ่งนัก ผมจึงออกมาหน้าบ้านมานั่งอยู่ที่โต๊ะไต้ต้นกระดังงาที่ยายแกนั่งอยู่ในตอนแรก

   เตี่ยคุยกับน้าส่งคงจะรู้เรื่องกันดีแล้ว เตี่ยจึงเรียกผมเข้าไปข้างในอีกแล้วบอกต่อหน้าน้าส่งว่า “ ตกลงพรุ่งนี้น้าส่งเขาจะพาไปสมัครสอบนะ พอดีเขากำลังรับสมัครอยู่พอดี เกือบๆจะเป็นวันสุดท้ายแล้ว ”

   น้าส่งพูดเสริมขึ้นมาว่า “ปีนี้มีเด็กมาสมัครสอบกันเยอะมาก  ก็ลองๆไปสอบกับเขาดูก็แล้วกัน บางทีถ้าน้าเจอเจ้านายในนั้นก็จะลองๆฝากให้ ”
    ผมบอกน้าส่งว่า “ผมขอขอบคุณน้าส่งที่จะช่วยเหลือผม แต่ผมเกรงใจไม่อยากให้น้าส่งวุ่นวายไปด้วย ผมจึงขอสอบเอาเองก็แล้วกัน จะได้หรือไม่ได้นั้นก็ไม่เป็นไร ” น้าส่งมองหน้าผม ไม่รู้ว่าแกจะหมั่นไส้ผม และคิดว่าไอ้นี่พูดอวดดีนักเดี๋ยวกูไม่ช่วยเสียเลย แกจะคิดอย่างนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ 

   “อย่างงั้นพรุ่งนี้เช้าน้าจะพาไปสมัครเตรียมตัวเอาหลักฐานไปด้วย ” แล้วน้าส่งก็บอกหลักฐานที่จะใช้ซึ่งมีแค่สองสามอย่างเท่านั้น ผมเตรียมตัวเอามาจากบ้านเรียบร้อยแล้ว

   เย็นมากแล้วก่อนเตี่ยจะกลับไปโรงเลื่อยที่อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ในวันพรุ่งนี้ เตี่ยได้บอกผมว่าเตี่ยให้เงินเอาไว้กับยายเพื่อช่วยเป็นค่ากินค่าอยู่บ้างแล้ว ในช่วงแรกนี้คิดว่ายังไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรมากนัก เตี่ยเอาเงินให้ผมติดตัวไว้ใช้ในยามจำเป็นบ้างไม่มากนัก

   แล้วก็สั่งสอนผมหลายๆอย่างด้วยความเป็นห่วง ที่สำคัญคือให้ผมมีความอดทน อดกลั้นในสิ่งที่จะมากระทบกระทั่ง ทั้งจากในบ้านและนอกบ้าน เพราะว่าผมไม่เคยออกนอกบ้านไปอยู่กับใครที่ไหนเลย หลายปีมานี้ผมอยู่กับแม่อยู่กับน้องๆ แวดล้อมไปด้วยเพื่อนฝูงมากมายอย่างมีความสุขที่ตลาดเจ็ดเสมียนตลอดมา

   นอกจากเมื่อตอนเด็กๆที่ไปอยู่ที่บ้านโป่งเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็เตี่ยนี่แหละที่เป็นผู้จัดให้ไปอยู่กับเพื่อนของเขา  ต่อจากนั้นมาก็อยู่บ้านมาตลอด ผมบอกเตี่ยว่าถ้าหากว่าผมไปสมัครสอบที่นี่เสร็จแล้ว ก็อยากจะกลับไปบ้านที่เจ็ดเสมียนก่อน หรือว่าถ้าเขาสอบในเร็ววันนี้ก็จะสอบจนเสร็จแล้วก็จะขอกลับบ้าน

   เตี่ยบอกว่าก็ตามใจแล้วแต่เห็นสมควรก็แล้วกัน ถ้าจะกลับก็บอกน้าส่งเขาก่อนให้เขารู้เรื่อง เอาสตางค์ที่เตี่ยให้ไว้นั่นแหละเป็นค่ารถ ถ้าขึ้นรถยังไม่ถูกก็ถามน้าส่งเขาให้ดีนะ อย่าหลงไปไหนเสียล่ะ
    เตี่ยคุยกับผมไม่นานนักและเห็นว่าผมเข้าใจดีแล้ว เขาจึงได้ไปลาตายายและน้าส่ง พร้อมกับบอกว่า “บุญส่ง ฉันขอฝากไอ้เก้วมันด้วยนะ มีอะไรก็แนะนำมันหน่อย มันไม่เคยอยู่กับคนอื่นเลย ” น้าส่งบอกว่า “วางใจได้หรอกพี่ ผมจะดูแลให้อย่างดีเลยทีเดียวพี่ไม่ต้องเป็นห่วง  ” แล้วเตี่ยก็หิ้วกระเป๋าออกจากบ้านน้าส่งไป
 
   เมื่อเตี่ยจากไปเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ผมก็เหมือนตัวคนเดียวรู้สึกว่า ว้าเหว่ น้ำตาซึมออกมา หวนคิดถึงแม่และน้องๆที่อยู่ทางบ้าน ป่านนี้เขาทำอะไรกันอยู่ เพื่อนๆอีกหลายคนเวลานี้เขาพบปะกันคุยอะไรกันบ้าง คิดแล้วผมอยากจะกลับบ้านทันทีในตอนนั้นเลย (ผมคิดว่าท่านผู้อ่านหลายๆท่านที่ต้องจากบ้านไปอยู่ที่อื่นๆแบบเดียวกับผมนี้ ในตอนแรกๆก็คงจะคิดเหมือนผม )

  คิดถึงน้อง(คนทางซ้าย)และเพื่อนๆของเขาที่อยู่ทางบ้านเจ็ดเสมียน ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่

  คิดถึงคนเก่าคนแก่แห่งตลาดเจ็ดเสมียนที่คุ้นเคยกันเคยเห็นกันมาตั้งแต่ผมเด็กๆ

    การแปลกถิ่นแปลกที่มันเข้ามาครอบงำผมอีกครั้งหนึ่งแล้ว เหมือนเมื่อคราวที่ผมต้องจากบ้านไปอยู่กับเพื่อนของเตี่ย ที่บ้านโป่ง ในครั้งนั้นผมได้รับรสชาติของความขมขื่น ลำบากใจ ลำบากกายอย่างแสนสาหัส มันจึงอยู่ในจิตใจของผมมาจนทุกวันนี้
   แต่ในครั้งนี้ผมต้องคิดในทางที่ดีไว้ก่อน เพราะว่าอย่างน้อยคนที่ผมมาอยู่ด้วยนี้ก็นับว่าเป็นพี่น้องกัน คงไม่เหมือนกับเมื่อคราวที่ผมอยู่กับคนอื่นที่บ้านโป่งเป็นแน่ อีกอย่างหนึ่งในคราวนั้นผมยังเด็กอยู่ อายุเพิ่งจะ ๑๑ – ๑๒ ขวบเท่านั้น

   เตี่ยออกไปเพียงชั่วครู่เดียวได้ยินเสียงน้าส่งร้องเรียกผม “เก้ว เข้ามาข้างในเร็ว มาคุยกันหน่อย ”  ผมรีบเดินเข้าไปหาน้าส่งตรงที่ตานอนอยู่ แล้วนั่งลงตรงแคร่ใกล้ๆที่ตานอน “เก้วในตอนแรกนี้น้าจะให้เก้วขึ้นไปนอน ที่ห้องข้างบันใดชั้นบนก่อนนะ ตรงนั้นยังว่างอยู่ ห้องที่นี่ไม่มีมุ้งลวดจึงต้องกางมุ้งนอน พอดีมีมุ้งเก่าๆอยู่หลังหนึ่งคืนนี้กางนอนไปก่อน แล้วพรุ่งนี้จะให้คนไปซื้อมาให้ " 

 

    นายแก้ว   ผู้เขียน กว่าจะถึงวันนั้น "ตอนนายตรวจทาง"  ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้305
เมื่อวานนี้317
สัปดาห์นี้1451
เดือนนี้7618
ทั้งหมด1337502

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

3
Online