บุญมา ทรัพย์สิน ๒ (ไปคัดเลือกทหาร )

 

เด็กนักเรียนชั้นประถม โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน

     เมื่อผมไปโรงเรียนมัธยมวัดสนามชัยในวันแรกนั้น ผมก็ไม่ได้เคอะเขินแต่อย่างใด เพราะว่า เด็กนักเรียนที่มาเรียนที่โรงเรียนนี้ ก็เป็นเด็กเจ็ดเสมียนแทบทั้งนั้นรู้จักกันไปหมด

    ในตอนบ่ายของวันแรกที่ผมมาเรียน และลงเล่นฟุตบอลกันอยู่ที่กลางสนามนั้น โดยไม่คาดฝันผมก็มาเจอ “บุญมา ทรัพย์สิน” เพื่อนเก่าของผมที่ตั้งแต่เรียนอยู่ที่โรงเรียน วัดเจ็ดเสมียนด้วยกัน กำลังไล่กวดลูกฟุตบอลอยู่ เราต่างดีใจกันมากที่ได้มาพบกันอีกครั้งหนึ่ง
   บุญมา เรียนจบ ป.๔ ที่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียนแล้ว ก็มาเข้าเรียนที่โรงเรียนนี้ตั้งแต่ชั้น ม. ๑ เขาก็ไม่คาดฝันว่าอยู่ๆวันดีคืนดี จะมาเจอผมที่นี่ในชั้น ม. ๒ จากนั้นมาเราก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันเหมือนเมื่อก่อนนั้น เราเรียนชั้น ม. ๒ ด้วยกันแต่อยู่คนละห้อง ต่อมาได้รู้ว่าบุญมาเรียนหนังสือเก่งมากด้วย

   ตอนบ่ายๆเมื่อโรงเรียนเลิกแล้ว ถ้าผมกับบุญมาไม่ได้ลงซ้อมเตะบอลกัน เราก็จะเดินกลับบ้านด้วยกันเพราะว่าไปทางเดียวกัน บุญมามักจะชวนผมไปเที่ยวที่บ้านเขาเสมอ บ้านเขาอยู่เลยวัดใหม่ไปหน่อยดังที่ได้เคยบอกไปแล้ว อาชีพของครอบครัวบุญมานั้นก็ยังเหมือนเดิม คือทำไร่ไถนาเป็นอาชีพหลัก แล้วเลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงปลาเป็นอาชีพเสริมด้วย
     เพราะเหตุว่าบุญมาเป็นเด็กที่เรียนเก่งและชอบเล่นกีฬาด้วย พ่อของเขาจึงเคยบอกผมว่า “พ่ออยากจะส่งให้เขาเรียนจนถึงที่สุด จะกว่าเขาจะไม่อยากเรียนนั่นแหละ” และทุกครั้งที่ผมมาเที่ยวบ้านบุญมาผมก็ได้รับต้นไม้ต้นเล็กๆ ติดมือกลับไปบ้านอีกด้วยเสมอ
 
   ในปีนั้นเราเรียนอยู่ด้วยกันจนครบเทอมในมัธยมปีที่ ๒ สอบไล่เสร็จแล้ว บุญมาถามผมว่า “ แก้ว จะเรียนที่นี่ต่อไปหรือเปล่า ” ผมก็บอกว่า “ยังไม่รู้เหมือนกัน พ่อบอกว่าบางทีอาจจะให้ไปเรียนต่อ ม.๓ ที่โรงเรียนที่ในอำเภอโพธาราม” บุญมาบอกผมอีกว่า “เราอยากตามไปเรียนกับแก้วด้วย แต่ว่าพ่อคงไม่ให้ไปหรอก ”
    โรงเรียนสอบภาคปลายเสร็จแล้ว โรงเรียนก็หยุดเทอมระยะยาวไปจนถึงกลางเดือน พฤษภาคมนั่นแหละจึงเปิดเทอมเรียนกันใหม่ แล้วผมก็ห่างๆ บุญมา ทรัพย์สินไปบ้างในตอนนั้น เพราะว่าวันๆผมก็ไปตกปลา หาผึ้ง กันกับเพื่อนๆเด็กตลาดเจ็ดเสมียนรุ่นๆเดียวกัน
    จนต่อมาเมื่อโรงเรียนเปิดเทอม พ่อของผมก็พาผมไปเข้าโรงเรียน ที่โพธาราม เหมือนๆกับเด็กตลาดทั่วไป ตอนเช้าก็ขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟ “เจ็ดเสมียน” ไปกันเป็นฝูง ในตอนบ่ายโรงเรียนเลิกแล้ว ก็กลับโดยรถไฟ สะดวกดีกว่าทุกๆตอนที่ผมไปโรงเรียน เป็นที่ถูกใจผมเป็นยิ่งนัก

 

  เมื่อผู้เขียน (ที่ ๓ จากขวา) ไปเรียนที่โรงเรียนในอำเภอโพธาราม ภาพนี้ไปทัศนาจรกับเพื่อนที่เขาวังเพชรบุรี. 

    ส่วนบุญมาเคยบอกผมว่า พ่อให้เรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมวัดสนามชัยเหมือนเดิม และจะเรียนให้จนจบ ม. ๖ ที่โรงเรียนนี้  ถึงแม้ว่าผมกับบุญมาจะเรียนอยู่คนละโรงเรียนแล้ว แต่ผมก็ยังไปเที่ยวที่บ้านของบุญมาเสมอ บ้านที่อยู่เลยวัดใหม่ไปนั้น บางทีผมเคยชวนเพื่อนบางคนที่เป็นเด็กตลาดในรุ่นเดียวกันไปด้วย แต่ก็เป็นบางครั้งส่วนใหญ่แล้วผมจะไปคนเดียวเท่านั้น

    บุญมายังคงเหมือนเดิมแม้จะเติบโตขึ้นมามาก เวลาพูดก็จะยิ้มตลอด เวลาหัวเราะจะเห็นฟันและเหงือกหมดทั้งปาก นิสัยร่าเริงแบบจริงใจอยู่เสมอ เวลาผมจะกลับบ้านชอบพูดว่า “แก้ว เอาอะไรไปกินที่บ้านหน่อยรอเดี๋ยวนะ “ แต่ละเที่ยวที่ผมมาบ้านบุญมานั้น ผมไม่อยากจะเอาของอะไรติดมือกลับบ้านไปด้วยหรอกครับ  นอกจากต้นไม้ต้นเล็กๆเท่านั้น
    เพราะว่าผมมาที่บ้านบุญมาแต่ละที ผมไม่ได้ตั้งใจมาเอาอะไรเลยนอกจากต้นไม้เท่านั้น แต่ก็โดนบุญมาคะยั้นคะยอยัดเยียดให้ผมทุกครั้ง ผมเลยต้องรับเอาไปบ้าง เพื่อไม่ให้บุญมาเขาเสียน้ำใจ เมื่อเขาให้ของกินผมได้เขาก็หัวเราะชอบใจ มองเห็นฟันขาวพร้อมกับเหงือกหมดทั้งปาก ซึ่งผิดกับที่บ้านผมเมื่อตอนโรงเรียนเลิกแล้ว ก่อนกลับบ้านบางครั้งผมก็เคยชวนบุญมาแวะที่บ้านผมที่ตลาดบ้าง

   ห้องแถวในตลาดเจ็ดเสมียนของผู้เขียนก็เคยทำบุญบ้านครั้งหนึ่ง เมื่อน้องๆมีงานทำกันแล้ว (ในภาพคุณอารีย์กำลังจุดธูป)


 “ ที่บ้านเราไม่มีอะไร ที่จะให้บุญมาติดมือกลับบ้านหรอกนะ”
     ผมบอกบุญมาอย่างนี้  บุญมาหัวเราะเห็นเหงือกหมดทั้งปาก แล้วบอกว่า ” เฮ้ยไม่ต้องหรอก ที่บ้านเรามีของกินเยอะแล้ว เพื่อนไม่ต้องห่วงนะ “
    เมื่อผมได้ยินแล้วผมก็สบายใจ นี่แหละคือการเกรงใจของคนชื่อบุญมา ทรัพย์สิน แห่งบ้านพงสวาย การคบหาเป็นเพื่อนกันของผมกับบุญมา ก็ดำเนินกันต่อไปเรื่อยๆด้วยความแนบแน่นตลอดมาแม้ว่าจะอยู่กันคนละโรงเรียนแล้ว
    จนกระทั่งเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ผมกับบุญมาก็ต้องห่างกันเหมือนกับจากกันไปเลย เพราะเหตุว่า ในปีนี้ผมกับบุญมาต่างก็เรียนจนจบชั้น ม.๖ กันแล้ว ผมต้องเข้าไปเรียนต่อในกรุงเทพฯโดยการเห็นดีของผมเอง พ่อของผมได้พาผมไปฝากอาศัยบ้านญาติอยู่อีกนั่นแหละ
     พ่อบอกว่า “อยู่ๆไปก่อน ให้พอคุ้นเคยสถานที่และผู้คน แล้วก็ค่อยขยับขยายทีหลัง” แต่ครั้งนี้นับว่าก็ยังดีหน่อยที่เจ้าของบ้าน ที่ผมจะไปอาศัยอยู่นั้นเป็นญาติห่างๆ ถึงแม้จะไม่ใช่ญาติที่สนิทจริงๆก็ตามที ก็ยังดีกว่าไปอยู่กับญาติที่ไม่ใช่ญาติเสียเลยที่บ้านโป่ง เมื่อในอดีตที่ผ่านมา
    ในขณะที่ผมไปอยู่ที่กรุงเทพฯนั้น ผมกลับมาเยี่ยมบ้านที่ตลาดเจ็ดเสมียนบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยบ่อยนัก และเมื่อมาถึงบ้านแล้วก็จะไปเที่ยวกับเพื่อนที่สนิทๆกัน เมื่อสมัยอยู่ที่ตลาดเจ็ดเสมียนนี้ เลยไม่ได้แวะไปหาบุญมาเลย เพราะว่าเวลาที่มาเจ็ดเสมียนนี้ของผมก็คือ วันหยุดในวันเสาร์ และจัดแจงกลับกรุงเทพฯในบ่ายวันอาทิตย์  เวลามันน้อยมาก ดังนั้นผมก็เลยไม่ได้ไปเยี่ยมไปหาบุญมาที่บ้านเขาเลย  ผมจึงไม่ทราบว่าบุญมาได้ไปเรียนต่ออะไรที่ไหนหรือไม่
        
      ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนของการรถไฟ ซึ่งเป็นโรงเรียนเกี่ยวกับการรถไฟโดยตรง ๓ ปี สำเร็จแล้วจึงได้รับการบรรจุให้ปฏิบัติงานอยู่ใน แผนกช่างกลโรงงาน ซึ่งเป็นโรงงานซ่อมรถไฟที่ใหญ่ที่สุดของการรถไฟไทย โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ “มักกะสัน” ในกทม.นั่นเอง

 

เมื่อผู้เขียนทำงานการรถไฟ (โรงงานมักกะสัน กทม.) กับสาธร วงษ์วานิช (เป็นนักเรียนทหารเรือ) เพื่อนเด็กเจ็ดเสมียนด้วยกันมาเยี่ยมถึงที่บ้านพัก นิคมมักกะสัน (ภาพนี้ก่อนที่ผู้เขียนคัดเลือกทหารในปี ๒๕๐๗)

      ในวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๗  ซึ่งตรงกับ วันเสาร์ แรม ๗ ค่ำ เดือน ๕ นั้น ที่หน้าอำเภอโพธาราม มีการคัดเลือกทหารเกณฑ์ ในรุ่นผมที่ตำบลเจ็ดเสมียนนั้นก็ถึงกำหนดที่จะต้องเข้าคัดเลือกกันในปีนี้แล้ว
     ได้ทราบข่าวมาบ้างว่า มีผู้ที่จะต้องไปคัดเลือกทหารในรุ่นเดียวกันกับผมนี้ ไปวิ่งเต้นกับใครต่อใครเสียเงินไปคนละมากๆเพื่อจะได้ไม่ต้องไปเป็นทหาร แล้วต่อมาเขาเหล่านั้นก็ไม่ถูกคัดเลือกให้เป็นทหารจริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาวิ่งเต้นกันอย่างไร สำหรับผมไม่ได้คิดในเรื่องนี้ คิดว่าถ้าจะต้องเป็นก็เป็นไม่เห็นจะถึงกับตายอะไร ถ้าเป็นก็ดีจะได้มีประสบการณ์ในชีวิตมากๆขึ้นไปอีกด้วย   
    คนที่ไม่ต้องไปคัดเลือกทหารจริงๆเลยก็มี เช่นเพื่อนของผมหลายคนไม่ต้องไปคัดเลือก เพราะเขาได้เป็นนักเรียนทหารกันก่อนหน้านั้นแล้วคือ สาธรนั้นจบมัธยม ๖ ก็ไปสมัครเรียนโรงเรียนทหารเรือ เขาก็เป็นทหารเรือไปเลย หรือว่านายสุชาตินั้นเป็นนักเรียนทหารอากาศ นายอโณทัย เป็นข้าราชการกรมทาง และยังมีอีกหลายคนที่ไม่ต้องไปคัดเลือกทหารเหมือนผม เพราะว่าเขาต้องเป็นทหารอยู่แล้ว

   นายโอฬาร ลักษิตานนท์ (อู๊ด นั่งหันหลัง) นายสุรพงษ์ แววทอง (โห้) คัดเลือกทหารด้วยกัน แต่ไม่ถูก 

     นอกจากผมแล้วในตำบลเดียวกันที่ต้องคัดเลือกทหาร ก็มีเช่น นายโห้  นายอู๊ด และอีกหลายๆคนในตำบลเจ็ดเสมียนนี้เป็นต้น เมื่อถึงวันคัดเลือกคนอื่นๆที่ไปคัดทหารในวันนั้นพร้อมผมมีที่ไม่ถูกก็หลายคน มีถูกทหารกันแค่ ๓ คนเท่านั้น คือนายเส็ง น้ำทิพย์ นายบุญมา ทรัพย์สิน และนายแก้ว สุวรรณมัจฉา

    บุญมา ทรัพย์สินนั้นตั้งแต่จากกันไปเมื่อคราว จบชั้น ป. ๔ แล้วได้จากกันไปปีหนึ่ง พอชั้นมัธยม ๒ ผมกลับมาเรียนที่โรงเรียนวัดสนามชัยอีก ๑ ปี ก็ได้เรียนด้วยกัน พอขึ้นชั้น ม. ๓ ผมไปเรียนที่โรงเรียนในโพธาราม จึงไม่ได้พบกันทุกวันนานๆทีจึงไปหาเขาที่บ้านของเขาสักครั้งหนึ่ง เมื่อผมเข้ากรุงเทพฯจึงได้จากกันมาตั้งแต่นั้น หลายปีมาแล้วไม่ได้พบกันเลย
     มาพบกันอีกทีก็ในวันคัดเลือกทหารนี่เอง  และก็ถูกทหารเหมือนกัน ผลัด ๒ เหมือนกันเสียอีกด้วย เมื่อตอนเช้าที่เราเจอกันนั้น เนื่องจากไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว จึงได้คุยกันถามทุกข์สุขกันอยู่เป็นเวลานาน บุญมาบอกว่าตั้งแต่จบ ม.๖ แล้ว ก็ไม่ได้ไปเรียนต่อที่ไหนเลย พ่อของเขาก็พยายามจะให้เรียนต่ออย่างน้อยเป็นครูก็ยังดี เพราะว่าฐานะทางบ้านก็พอส่งให้เรียนได้ แต่บุญมาปฏิเสธไปเอง

    บุญมาบอกกับพ่อของเขาว่า ถ้าได้ทำงานและบังเอิญต้องถูกส่งไปอยู่ไกลๆ ก็จะไม่มีคนอยู่กับพ่อและแม่ เพราะว่าบุญมาเป็นลูกคนเดียว (ในขณะนั้น) จึงอยากอยู่ใกล้พ่อแม่คอยดูแลพ่อแม่ และช่วยพ่อแม่ทำงานในไร่ในนา
     ตั้งแต่นั้นมาบุญมาก็ทำงานต่างๆช่วยพ่อแม่ งานบางอย่างที่พอจะทำคนเดียวได้ บุญมาก็ทำเสียเอง เป็นการแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ บุญมาบอกว่า ว่างๆไปเที่ยวที่บ้านบ้างนะ ตอนนี้เลี้ยงปลาไว้บ่อใหญ่ จะวิดน้ำจับขายในเร็วๆนี้ ให้ผมไปจับปลาที่บ้านให้ได้เลย ผมก็รับปาก (แต่ปรากฏว่าไม่ได้ไป)
 
     เมื่อผมกับบุญมาจับได้ใบแดงซึ่งเป็นเครื่องหมายว่า จะต้องไปเป็นทหารรับใช้ชาติเสีย ๒ ปี พร้อมๆกันกับบุญมาด้วย แต่ในหมายกำหนดนั้นจะต้องไปในผลัด ๒ ก็คือ จะต้องไปประมาณเดือน พฤศจิกายน ปลายปีโน่นเลย ในวันนั้นเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ใครที่ถูกผลัดที่ ๑ ก็จะต้องไปเข้ากรมกองในวันรุ่งขึ้นเลย ส่วนผมนั้นก็ยังโชคดีที่ถูกในผลัดที่ ๒ ยังมีโอกาสได้ไปลางานที่การรถไฟเสียก่อน เวลาออกจากทหารมาแล้วก็ยังมีโอกาสกลับมาทำงานได้

    บางคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมทำงานราชการแล้วยังต้องไปเกณฑ์ทหาร หรือต้องไปเป็นทหารด้วย กรมกองอื่นๆอาจจะได้รับการยกเว้น แต่การรถไฟนั้นจริงๆแล้วมันเป็นองค์กรกึ่งราชการ ที่เรียกว่ารัฐวิสาหกิจนั่นเองครับ จึงไม่มีข้อยกเว้นในเรื่องการเป็นทหาร ต้องไปเป็นทหารเสียก่อนถ้าไปคัดเลือกแล้วถูกนะครับ ดีอย่างเดียวคือเขาจะเก็บตำแหน่ง เก็บงานไว้ให้เราเมื่อเราออกจากทหารแล้ว

    เสร็จธุระเรื่องทหารของผมแล้วผมก็กลับกรุงเทพฯ แล้วก็ไปทำงานตามปกติของผม  และผมก็ได้ทำเรื่องการที่จะไปเป็นทหารของผมกับทางการรถไฟไว้เรียบร้อย เพื่อว่าเวลาออกจากทหารแล้วก็จะกลับมาทำงานต่อไปได้อย่างเดิม
    จนกระทั่งวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๗ ผมได้ลางานล่วงหน้าแล้วจึงได้กลับมาบ้านที่เจ็ดเสมียน เพื่อเตรียมตัวเข้ากรมกองทหารของผม ในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๗ ซึ่งจะตรงกับวัน อาทิตย์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ปีมะโรง คืออีก ๕ วันต่อไปนี้นั่นเอง

    เมื่อผมกลับมาบ้านที่ตลาดเจ็ดเสมียนนั้น ผมไม่ได้พบกับเพื่อนฝูงที่สนิทกันบางคน ที่เคยวิ่งเล่นกันอยู่ที่เจ็ดเสมียนเมื่อตอนเด็กๆเลย ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่นกันหมด
       ผมถีบจักรยานตระเวนไปคุยกับใครต่อใครที่เจ็ดเสมียนนี้ ไปคุยกับพวกลูกกำนันที่บ้านกำนัน ไอ้เล็ก (ยงยุทธ วงศ์ยะรา) ไอ้นิด (ยุทธนา วงศ์ยะรา) ไอ้ทน (ลูกนายตรวจทางฉุย)  ที่เคยเป็นเพื่อนและประกอบวีรกรรมกันมากมายเมื่อสมัยเด็กๆ เมื่อพบกันแล้วก็นั่งคุยกันเป็นเวลานานๆ

     ส่วนบุญมานั้นก่อนจะถึงเวลาไปกรมทหาร ผมถีบจักรยานแวะไปหาที่บ้านของเขา ที่เลยวัดใหม่ไปหน่อยในตอนบ่าย วันนั้นพบบุญมาอยู่ที่บ้านพอดีได้คุยกันเป็นเวลานาน ในตอนหนึ่งที่คุยกันนั้นบุญมาบอกว่า “สี่ห้าวันมานี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ไม่ค่อยสบายตัวเลย เวลาตอนบ่ายๆมักจะมีไข้ตัวร้อน แถมปวดหัวด้วย”

    ผมบอกว่า “แล้วได้ไปให้หมอเขาตรวจดูหรือเปล่า ถ้ามันเป็นเรื้อรังหลายๆวันแล้วก็ควรไปให้หมอเขาตรวจดูบ้าง ถ้ามันยังไม่หายขาดแล้วจะต้องไปฝึกทหารเช่นนี้ก็จะลำบากแน่ๆ “
    บุญมาบอกว่า “ เราก็ไปซื้อยามากินเอาเองบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปหาหมอเลย ว่าจะไปหาเย็นนี้แหละ “ ผมคุยกับบุญมาจนเย็นจึงได้ถีบจักรยานกลับบ้านที่ห้องแถวในตลาด.

นายแก้ว ผู้เขียน บุญมา ทรัพย์สิน ๒

กรุณาคอยอ่านตอนต่อไปที่นี่ที่เดียว..

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้462
เมื่อวานนี้343
สัปดาห์นี้1951
เดือนนี้8118
ทั้งหมด1338002

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online