บุญมา ทรัพย์สิน ๗ (ไปเที่ยวนอกค่าย)

 ชุดฝึกทหารเกณฑ์ในสมัยเมื่อกว่า ๔๐ ปีมาแล้ว

   ผมขอย้อนไปนิดหนึ่ง ในวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ เมื่อสองอาทิตย์ ที่ผ่านมาแล้วนั้น ผมกับบุญมา และไอ้โทน รวมกัน ๓ คน ปรึกษากันแล้วว่าจะไปเที่ยวกันที่นอกค่าย ทางทิศตะวันตกของค่ายนี้

   ผมได้ยินเพื่อนทหารรุ่นพี่ ที่เข้ามาฝึกก่อนผม บอกว่าเดินไปทางทิศตะวันตกตามทางเดินที่มีอยู่แล้ว สักพักหนึ่งแล้วจะถึง คลอง (ในภายหลังจึงรู้ว่าคลองนั้นคือ แม่น้ำปราณบุรี) แล้วว่ายน้ำข้ามคลองไปจะเป็นนอกเขตุค่ายธนรัชต์ เป็นที่ดินของเอกชน พื้นที่ตรงนั้นชาวบ้านปลูกพืชไร่เช่นสับปะรด กล้วย อ้อย มันสำปะหลัง พืชสวนครัว และต้นไม้อื่นๆ ผมสามคนคิดว่าอยากจะไปเที่ยวดูบ้าง อยู่ที่กองร้อยจำเจก็เบื่อเหมือนกัน

   ดังนั้นในเช้าวันนี้ ผม บุญมา และไอ้โทน พากันตื่นแต่เช้าแต่งตัวธรรมดาไม่ได้ใส่ชุดฝึก  คือนุ่งกางเกงข้าสั้นสีขี้ม้า เสื้อคอกลมสีขาวซึ่งเป็นผ้าดิบ ดิบมากๆ เป็นของที่ได้รับแจกเมื่อคราวเข้ามาเป็นทหารในตอนแรก 
 
   แล้วก็ใส่รองเท้าคอมแบ๊ท (ไอ้โอ๊บ) ใส่หมวกจ๊อกกี้ของทหารไปเท่านั้น เพื่อเตรียมไว้เผื่อต้องบุกป่าฝ่าดง โมงเช้าเราทั้งสามคนไปกินอาหารกันที่โรงอาหารก่อน ที่โรงอาหารในวันหยุดเสาร์อาทิตย์อย่างนี้ ไม่ค่อยมีทหารมากินข้าว เพราะว่าได้รับวันลากลับบ้านเสียส่วนใหญ่  

   กินอาหารเช้ากันเรียบร้อย เราเดินออกมาจากโรงอาหาร เดินสวนกับนายทหาร ตั้งแต่นายสิบตรีขึ้นไปเราก็ทำความเคารพ โดยยกมือทำวันทยาหัตถ์ สิบตรีและทหารเหล่านั้นก็รับความเคารพ และยิ้มให้ด้วยความพอใจ ผ่านกรมกองต่างๆ ผ่านบ้านพัก นายทหาร นายสิบ ที่ปลูกเป็นหมู่ๆ

   ผ่านกรมฝึกเบื้องต้นที่ ๒  (กรม บ.๒) เราทั้งสามคนมองดูทิวทัศน์ซ้ายขวาด้วยความแปลกตา เพราะว่าอยู่ในค่ายทหารแห่งนี้มาเกือบ ๒ เดือนแล้วยังไม่เคยผ่านมาทางนี้เลย   
   มีรุ่นพี่ๆบางคนบอกว่า ถ้าฝึกเบื้องต้นที่  ๑ ผ่านพ้นไปแล้ว ๒ เดือน แล้วย้ายที่ฝึกใหม่อีกสองเดือนนั้นตก (ไปอยู่) เหล่าไหนก็ตกไป เช่นไปอยู่เสนารักษ์ สื่อสาร ปืนใหญ่ สารวัตรทหาร หรือขนส่ง เป็นพลขับก็ไปฝึกขับรถสำเร็จแล้วก็มีใบอนุญาตขนส่ง ของทางทหารออกให้ด้วย

   หรือไปตกที่อื่นๆก็ไปฝึกนั้นๆอีก ๒ เดือน จึงย้ายไปประจำการถาวรที่เหล่าไหนก็แล้วแต่คำสั่งลงมา  รุ่นพี่ทำหน้าตื่นเต้นแบบสยอง แล้วบอกว่าขอโทษทีอย่าไปตกที่กองร้อย ๒ กรมฝึกเบื้องต้นที่ ๒ เหล่าทหารราบ ก็แล้วกัน เพราะที่นั่นอยู่ในนรกชัดๆ มีร้อยเอกหยิบ แสงชัน เป็นผู้บังคับกองร้อย มีจ่าและนายสิบเป็นผู้ควบคุมประจำ มีครูฝึกที่มาจากหน่วยต่างโดยเฉพาะแต่ละท่าน ล้วนแต่โหดสุดๆ  มีโหด มีมัน แต่ไม่มีฮาเลย ตลอดการฝึกที่กองร้อยเหล่าทหารราบอีก ๒ เดือน

  ชุดฝึกทหารเกณฑ์ของ พลฯแก้ว สุวรรณมัจฉา เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๐๗

   กองร้อยที่เพื่อนทหารรุ่นพี่บอกนั้นก็นี่ไงล่ะ พวกผมกำลังเดินผ่านนี่ไง มองเห็นด้านหลังของกองร้อยมีต้นละหุ่งขึ้นเต็มเป็นดงใหญ่ ต้นละหุ่งนี้ที่เขาเอาเมล็ดมันไปขาย คนที่ซื้อเอาไปก็เอาไปกลั่นทำน้ำมันละหุ่ง ออกมาขายอีกทีหนึ่ง

   ที่ไต้ถุนกองร้อย ๒ มีทหารประปรายเพราะว่าเป็นวันหยุดไม่ได้มีการฝึก พวกทหารเหล่านี้เป็นทหารที่เข้ามารุ่นก่อนพวกผม ประมาณ ๒ เดือน ไม่รู้ว่ามาจากจังหวัดไหน กำลังจะครบกำหนดและกำลังจะย้ายจากค่ายนี้ไปอยู่ในกรมกองอื่นๆ 

  ผมบอกไอ้สองคนที่เดินตามผมมานั้นว่า อาทิตย์หน้านั้นพวกเราก็จะย้ายที่ฝึกกันแล้ว พวกเรามาภาวนาให้มาตก ที่นี่ก็แล้วกันเอาไหมจะได้ไม่ต้องย้ายออกไปนอกค่ายธนะรัชต์นี้  สองคนนั้นสั่นหน้าดิกๆ

  ไอ้โทนว่า " ไม่เอาโว้ย กูไม่อยากมาเผชิญหน้ากับ ผู้กองหยิบว่ะ  เสือสองตัวไม่ควรจะมาอยู่ถ้ำเดียวกัน " ว่าแล้วมันก็หัวเราะก๊ากใหญ่ บุญมาพูดขึ้นมาเบาๆว่า "เราก็ไม่เอา โหดมากๆไม่ค่อยจะดีหรอก ถ้าให้มาอยู่ขอตายดีกว่า " แล้วก็หัวเราะหึๆ ยื้มเห็นฟันขาวโพลนเกือบทั้งปากตามสไตล์ของเขา

  พวกเราเดินเล่นดูภูมิประเทศไปเรื่อยๆ หน้าหนาวอากาศเย็นๆอย่างนี้ไม่ค่อยหิวน้ำกันเท่าไร  ถ้าเดินกันมานานๆก็นั่งพักกันบ้าง หยิบกระติกอลูมิเนียมของทหาร ที่ติดตัวเอามาด้วยซึ่งบรรจุน้ำมาเต็มที่ หมุนฝาปิดที่เป็นเกลียวออกยกขึ้นซดน้ำชื่นใจไปตามๆกัน

  ผู้เขียนกับน้อง ๓ คน เมื่อครั้งยังอยู่ที่ตลาดเจ็ดเสมียน

  เดินกันอย่างไม่เร่งรีบชมนกชมไม้กันไปเรื่อยๆ สองชั่วโมงต่อมาก็ทะลุแนวป่ามาถึงคลองใหญ่ที่น่าจะเรียกว่าแม่น้ำ แต่ก็ไม่กว้างมากเท่ากับแม่น้ำแม่กลองที่เจ็ดเสมียน มีน้ำไหลเอื่อยๆ มองเห็นดินทรายโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเป็นระยะ แสดงว่าในขณะนั้นน้ำคงแล้ง แทบว่าจะเดินข้ามคลองนี้ได้

   ที่ริมคลองตรงนี้มีร่องรอยของคนที่ข้ามไปมาอยู่เสมอ ชาวบ้านคงจะเข้ามายิงหมูป่าในเขตุค่ายทหาร เพราะว่ายังเป็นป่าทึบอยู่ หรือจะข้ามไปมาเพื่ออะไรพวกผมก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่เท่าที่พวกผมเดินมาสามชั่วโมงนี้ ยังไม่ได้เดินสวนทางหรือเห็นคนเดินมาสักคนเดียว

  (ตรงจุดที่ผมข้ามคลองไปนี้  ในปัจจุบันนี้ได้ทราบว่า เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เรียกว่า ท่าเสด็จ ท่าเสด็จเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจแบบธรรมชาติ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปราณบุรี ทางด้านทิศตะวันตกของค่ายธนะรัชต์ ซึ่งขึ้นกับตำบลเขาน้อย ห่างจากถนนเพชรเกษมประมาณ 12 กิโลเมตร)

   เรารู้มาจากทหารรุ่นพี่ที่บอกมาว่า ให้ลงน้ำว่ายข้ามคลองไป แล้วต่อจากนั้นเมื่อขึ้นจากตลิ่งแล้ว ก็จะเป็นไร่อ้อย สับปะรด ไร่กล้วย และต้นไม้อื่นๆ เช่นมะม่วง มะพร้าวสุดลูกหูลูกตา

  พวกเราเริ่มลงคลองนี้ไป โดยถอดเสื้อกางเกงรองเท้าออกหมด เหลือแต่กางเกงชั้นในตัวเดียว แล้วเทินขึ้นบนหัว ลุยน้ำลึกบ้างตื้นบ้างนั้นไปจนกระทั่งถึงตลิ่งอีกฝั่งหนึ่ง เราพากันรีบสวมเสื้อกางเกงเพราะน้ำในคลองหน้าหนาวนี้เย็นมาก เรียบร้อยแล้วขึ้นจากคลองนั้น

  ก็เป็นจริงอย่างที่รุ่นพี่บอก มองเห็นไร่สับปะรดสุดลูกตาจริงๆ  มองเห็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ ปลูกอยู่ไต้ต้นมะม่วงใหญ่ ข้างไร่สับปะรดนี้หลังหนึ่งลิบๆ  พวกเราจึงพากันเดินไปที่บ้านหลังเล็กนั้น

   ที่บ้านหลังเล็กนั้นมีชายกลางคนและหญิงคนหนึ่ง สองคนผัวเมียนี้พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กที่สร้างอย่างหยาบๆชั้นเดียวหลังนี้ ผมทั้งสามคนก็เข้าไปทักทายด้วย สองคนผัวเมียนี้บอกว่าชื่อ นายแสง กับนางเหรียญ บ้านจริงๆอยู่ที่ใกล้ๆวัดเขาน้อยนี่เอง 

   นายแสงบอกว่า ต้องออกไปจากตรงนี้อีกประมาณ ๑๐ กว่า กิโลเมตรจึงจะถึงบ้าน แล้วนายแสงก็บอกต่ออีกว่า มีพลทหารเข้าใหม่หลายคนและหลายรุ่นแล้ว ที่ทนคิดถึงลูกเมีย และทนคิดถึงบ้านไม่ไหว ข้ามฝั่งมาจากในค่ายแล้วใช้เส้นทางๆนี้ หลบหนีออกจากค่ายไป บางคนก็ถูกทหารสารวัตรจับได้ ก็ต้องกลับไปติดคุกที่ในค่ายอีก เป็นอย่างนี้แทบทุกรุ่น ครั้งแรกที่นายแสงเห็นพวกผมนั้นก็คิดว่าเป็นพวกหนีทหารมาจากค่ายเช่นเดียวกัน

   นายแสงทำไร่สับปะรดที่นี่จึงได้มาอยู่เฝ้าไร่และจะไปๆมาๆ อยู่ที่นี่ประมาณสักอาทิตย์ สองอาทิตย์ก็จะกลับบ้านครั้งหนึ่ง แล้วก็จะกลับมาอีก สลับกันอย่างนี้เรื่อยไปเพื่อไปเอาเสบียงอาหารมาเพิ่มเติม

  นายแสงบอกว่าที่มาดูแลไร่อย่างใกล้ชิดนี้ เพราะว่าบางทีมีช้างป่าเข้ามากินและเหยียบย่ำทำลายสับปะรดเสียหายเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นพวกมันเข้ามาแต่ไกลก็ต้องยิงปืนลูกซองขึ้นฟ้า เพื่อให้มีเสียงดังพวกมันจะได้ตกใจและหนีเข้าป่า บางทีก็หนีลงน้ำข้ามเข้าไปในเขตุค่ายทหาร "ผมไม่กล้ายิงช้างจริงๆหรอกครับ สงสารพวกมัน " นายแสงบอกพวกผม

   เกือบเที่ยงแล้วชายและหญิงชาวไร่สองคนนั้น ก็ชวนผมกินข้าวเที่ยงด้วยกัน แกบอกว่าที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรกินหรอก ส่วนใหญ่ที่เอามาจากบ้านข้างนอกก็มีไข่ กะปิ น้ำปลา และบางทีก็มีปลาเค็ม แล้วก็ปลูกพริกปลูกผักไว้กินบ้าง ต้นกล้วยก็ปลูกไว้ตามแนวขอบไร่ ได้กินหัวปลีและออกลูกให้เรากินตลอด

    เที่ยงกว่ามากแล้วข้าวก็สุกจากการหุงใหม่ๆด้วยไม้ฟืน หัวปลีต้ม ไข่ทอด ก็ลำเลียงมา นายแสงนั้น ตำน้ำพริกกะปิกับพริกกะเหรี่ยงที่เผ็ดสะเด็ด ถ้วยใหญ่เพื่อจิ้มกับหัวปลี จากนั้นเราก็ลงมือกินข้าวกันด้วยความเอร็ดอร่อย

  ความที่ไม่ค่อยได้เห็นข้าวขาวเลยเป็นเวลานาน พอได้เห็นข้าวขาวนี้มากระทบสายตา เล่นเอาแสบตาเพราะข้าวสีขาวส่งประกายวับ  กว่าจะปรับสายตาได้ น้ำพริกกับหัวปลีต้ม ของนายแสงอร่อยมาก แถมแนมด้วยไข่เจียวร้อนๆอีก พวกผมก็เลยกินกันแบบลืมตัว ไม่คิดเกรงใจนายแสงเลยทำเอาอิ่มมากลุกแทบไม่ขึ้น

  กินข้าวกันเสร็จแล้ว พวกผมยังนั่งคุยกับนายแสงและนางเหรียญอีกเป็นเวลานาน ผมคิดดูแล้วก็เกรงใจเขามาก ที่มาขัดเวลาทำงานทำการเขานานแล้ว แถมยังกินข้าวกับเขาเสียอีก จึงได้ลากลับเมื่อบ่ายมากแล้ว

  นี่เป็นเหตุการณ์ของผมและเพื่อนทั้งสอง เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมาแล้วที่ผมหวนคิดขึ้นมา ผมอาบน้ำเสร็จแล้วก็เดินลงไปชั้นล่าง ตามที่ได้บอกกับบุญมาไว้ว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อน  วันนี้ที่กองร้อยนี้มีทหารกลับบ้านมาก  เพราะว่าอีกอาทิตย์เดียวก็จะย้ายจากกองร้อยนี้แล้ว ทหารที่จะเข้ามาผลัดใหม่จากจังหวัดอื่นๆ ก็จะเข้ามาอยู่แทนอีก ๒ เดือน เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทหารเก่าอย่างพวกผมนี้จึงได้ลากลับบ้านมากเป็นพิเศษ

  ผมกับบุญมายังไม่อยากกลับบ้าน จึงไม่ได้ลากับเขาด้วย แต่ไอ้โทนมันอยากกลับบ้าน อยากไปหาแฟนมัน มันจึงได้ลาไป  ผมเดินไปถึงเตียงของบุญมา เห็นบุญมานั่งอยู่ที่ขอบเตียงเอาขาห้อยลงไปที่พื้นเหม่อมองอะไรอยู่

   ผมถามบุญมาว่า " คิดอะไรอยู่หรือ"  บุญมาว่า " ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย คิดว่าเราทำไมไม่เหมือนคนอื่นเขา เป็นเหมือนคนอ่อนแอจริงๆ บางทีเราเหมือนตัวถ่วงในการฝึกของเรานี้ " ผมก็ว่า " จะไปคิดอะไรมากมายเลย คนเรามันเลือกที่จะเป็นหรือไม่เป็นอะไรได้เล่า "

นายแก้ว ผู้เขียน บุญมา ทรัพย์สิน ๗ (ไปเที่ยวนอกค่าย)

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้273
เมื่อวานนี้736
สัปดาห์นี้1009
เดือนนี้10256
ทั้งหมด1340140

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

3
Online