บุญมา ทรัพย์สิน ๘ (นายทหารเวร)

ผู้เขียน (นั่งซ้าย)กับเพื่อนเมื่อครั้งเป็นเด็กอยู่ที่เจ็ดเสมียน

   ตั้งแต่ผมให้บุญมากินยาลดไข้ ไปสองเม็ดก่อนหน้านี้แล้ว อาการของบุญมาก็ดีขึ้น ไข้ก็ลดลงไป ผมจึงตัดบทเพื่อไม่ให้บุญมาคิดแต่เรื่องนี้ว่า " เออ ..!  วันนี้เป็นคืนวันศุกร์  เราออกไปเดินเล่นกันที่ลานบินกันดีไหม"

" ที่สนามมวยเราได้ยินว่าจะมี อภิเดช ศิษย์หิรัญ จะมาชกโชว์ให้พวกเราได้ดูกัน เราควรไปดูกันหน่อย แล้วเดินเล่นกันสักพักก็กลับ " บุญมาพยักหน้าแล้วว่า " ไปก็ไปอยู่เฉยๆ ไข้มันก็ทำท่าจะขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆไปอยู่ในที่โล่งๆก็คงจะดี แต่กลับกันเร็วหน่อยก็แล้วกัน รู้สึกไม่ค่อยจะดีตั้งแต่บ่ายๆมาแล้ว " ผมเอาหลังมือขึ้นมาอังที่ขมับของบุญมาดู หลังจากกินยาลดไข้ไปแล้ว หัวก็ยังร้อนอยู่แต่ไม่มากนัก

   ผมจึงบอกให้บุญมาใส่เสื้อกันหนาวเพิ่มไปอีกชั้นหนึ่ง กลางๆเดือนมกราคมอย่างนี้อากาศในค่ายธนะรัชต์หนาวมาก เพราะว่าค่ายธนะรัชต์แห่งนี้ เหมือนกับจะอยู่ท่ามกลางป่าและภูเขาที่ล้อมรอบค่าย ภูมิประเทศเป็นป่าทึบเสียเกือบครึ่ง อากาศจึงหนาวเย็นกว่าปกติทั่วไป 

   ผมกับบุญมาเดินออกจากกองร้อย ๔ กรมฝึกเบื้องต้นที่ ๑ ที่เราอยู่กันมาเกือบ ๒ เดือนมุ่งตรงไปยังลานบินซึ่งเป็นสถานที่จัดงานรื่นเริง กล่อมขวัญทหารที่ไม่ได้กลับบ้าน งานนี้จะมีไปทุกเย็นจนถึงกลางคืนในวันศุกร์และเสาร์  ในงานนั้นจะเห็นทหารที่ไม่ได้กลับบ้าน เดินกันขวักไขว่ แสดงว่าทหารที่ไม่ได้กลับบ้านในอาทิตย์นี้มีมากเหมือนกัน

   สักสามทุ่มเห็นจะได้บุญมาก็ชวนผมให้กลับกองร้อย เพราะว่ามีอาการตัวร้อน ขึ้นมาและอ่อนเพลียไม่มีกะจิตกะใจจะเดินเล่นอีกแล้ว ผมก็เลยบอกว่า " ยังงั้นรีบกลับกันดีกว่า กินยาลดไข้อีกสัก ๒ เม็ดเสียก่อนแล้วก็นอนพักผ่อนไปเลย เช้าขึ้นมาอาการไข้คงหายไป " 

  ที่ผมบอกบุญมาเช่นนี้ก็เพราะว่า ระยะหลังนี้บุญมาก็เป็นอย่างนี้ คือมีอาการตัวร้อน ไข้ขึ้น พอกินยาลดไข้แล้วก็นอนพักผ่อน อาการเหล่านั้นก็จะหายไปในวันรุ่งขึ้น ระหว่างเดินกลับกองร้อยกันนั้น  เราคุยกันเรื่อยมา บุญมาบอกว่า " การย้ายในครั้งนี้อยากให้ไปตกที่ราชบุรี ถ้าเป็นกรมทหารช่างก็จะดีเพราะว่ามันอยู่ใกล้ๆบ้าน " กรมการทหารช่างที่ราชบุรีนี้ตั้งอยู่ในตัวเมืองราชบุรี อยู่ห่างจากตลาดเจ็ดเสมียนประมาณ ๑๒ กิโลเมตรเท่านั้น 

 ผมก็ว่า " เราก็อยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน วันจันทร์ไปแล้วนั่นแหละจึงจะรู้ ผู้กองเขาคงจะเอาประกาศมาปิดเอง "

  สามทุ่มกว่าๆแล้วอากาศหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ ผมกับบุญมาเดินฝ่าความหนาวเย็นของอากาศไปคุยกันไป ก่อนถึงกองร้อยบุญมาบอกว่าปวดหัวมากขึ้น ตัวสั่นๆเหมือนไข้สูงขึ้น  ผมบอกบุญมาว่า " ยังงั้นเลยไปโรงพยาบาลกันเลยจะดีกว่านะ เป็นอะไรร้ายแรงขึ้นมาแล้ว จะไปหมอไม่ทัน " บุญมาบอกว่า " ยายังมีอยู่ ถ้าไปโรงพยาบาลตอนนี้ หมอเวร ก็คงจะจ่ายยาแบบเดียวกับที่มีอยู่มาให้อีก " 

  ผมบอกว่า " ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจคืนนี้กินยาที่มีอยู่ระงับไปก่อน ถ้าวันพรุ่งนี้เป็นอย่างนี้อีกก็ควรจะไปหาหมอ ถ้าหมอให้อยู่นอนโรงพยาบาลเลย ก็ไม่เป็นไรแล้ว เพราะว่าการฝึกของพวกเราก็ฝึกกันหมดแล้ว ถ้าบุญมาอยู่โรงพยาบาลก็เพียงแค่ การย้ายก็ต้องย้ายไปที่หลังเราเท่านั้น " บุญมาก็เห็นดีด้วยและรับปากว่าพรุ่งนี้ ไปให้หมอที่โรงพยาบาลตรวจอีกที และหมอจะให้นอนโรงพยาบาลหรือไม่ อย่างนี้ก็ต้องแล้วแต่หมอเท่านั้น

  ผมกับบุญมาเดินมาถึงกองร้อยและไปที่เตียงของบุญมาที่ชั้นล่าง บุญมารีบเอายาลดไข้ขึ้นมากิน ๒ เม็ดแล้วเอนตัวลงนอน ผมคลี่ผ้าห่มกับกางมุ้งให้  แล้วบอกบุญมาว่า " ใส่เสื้อกันหนาวทับกันสองตัวเลยนะ ไม่ต้องถอดอากาศคืนนี้มันหนาวน่าดูเลย " 

  แสงไฟนีออน ๔๐ แรงเทียน ที่ติดอยู่ที่เพดาน ห่างจากที่เตียงของบุญมานั้น สาดแสงมากระทบใบหน้าของบุญมา ผมเห็นใบหน้าของบุญมานั้น ซีดเซียว รอบๆกระบอกตา ดำคล้ำ ขณะที่บุญมาเอนตัวลงนอนนั้น ดูเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงเอาเสียเลย

   อาการอย่างนี้ผมเห็นตั้งแต่บ่ายมาแล้ว ที่พวกเราไปฝึกรอดวิถีกระสุนที่สนามในป่ากัน แล้วก็สำเร็จได้ผ่านกันทุกคน ในตอนนั้นบุญมาก็มาบอกผมว่าเขาอาการไม่ค่อยดี แต่พอถึงตอนนี้ ผมมีความรู้สึกว่าอาการของบุญมาไม่ดีขึ้นเลย เหมือนว่าไข้มันหลบในอยู่ พอมีอาการอ่อนเพลีย อ่อนแอ ไม่แข็งแรงเมื่อไร มันก็จะขึ้นมาเล่นงานทันที ที่เรียกว่า ไข้มาลาเรียเรื้อรัง  
             
   ผมเคยรู้มาว่า อาการของไข้มาลาเรียนั้น เกิดจากเชื้อมาลาเรีย ซึ่งมียุงก้นปล่อง เป็นตัวนำมาให้เรา โดยกัดเราเข้าโดยไม่รู้ตัว  หรืออีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ถูกยุงก้นปล่องกัด  ก็อาจเกิดจากการได้รับเลือดจากคนที่มีเชื้ออยู่

   ลักษณะเฉพาะของ ไข้มาลาเรียนี้คือ จะมีอาการปวดหัว  ครั่นเนื้อครั่นตัว  ปวดเมื่อยตามตัว คล้ายจะเป็นไข้หวัดใหญ่ ต่อมาจะมีอาการไข้จับสั่นเป็นเวลา ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของไข้มาลาเรีย และอาการจับไข้ จะแบ่งเป็น ๓ ระยะ คือ

          ๑. ระยะหนาว มีอาการหนาวสั่นมากและไข้เริ่มขึ้น ปวดศีรษะ ผิวหนังซีด อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
          ๒. ระยะร้อน ไข้ขึ้นสูงประมาณ ๔๐ ํ ซ. ปวดศีรษะมาก อาจปวดลึกเข้าไปในกระบอกตา หน้าแดง ตาแดง กระสับกระส่าย เพ้อ กระหายน้ำ ชีพจรเต้นเร็ว อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ
          ๓. ระยะเหงื่อออก จะมีเหงื่อออกชุ่มทั้งตัว ไข้จะลดลงเป็นปกติ แต่จะรู้สึกอ่อนเพลีย และหลับไป ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษา หรือรักษาไม่ถูกต้อง แม้ว่าไข้จะหายไปแล้ว แต่ก็อาจกลับเป็นใหม่ได้  ถ้ารักษาไม่ถูกต้อง อาจมีโรคแทรกร้ายแรงถึงตายได้ จึงเรียกว่า มาลาเรียชนิดร้ายแรง

   นี่เป็นอาการคร่าวๆของโรคไข้มาลาเรีย ซึ่งจากการที่ผมมองดูบุญมาอยู่นั้น ผมก็ว่าบุญมาน่าจะยังเป็น ไข้มาลาเรียที่แอบแฝงอยู่ในร่างกาย เพราะว่าอาการของบุญมาที่เป็นแต่ละครั้งนั้น ก็เหมือนกับที่ผมรู้มาจริงๆ 

  ผมคิดว่าน่าจะเป็นมานานแล้ว อาจจะเป็นจากบ้านในขณะที่ไปตัดฟืนในไร่ หรือ นอนหลับไปภายในบ้าน ซึ่งไม่ได้กางมุ้งในตอนกลางวัน ยุงก้นปล่องจะ มีชุกชุมในตอนกลางวัน และมันจะกัดเราและปล่อยเชื้อมาลาเรียให้เรา และมันก็จะค่อยๆฟักตัว จนเราเกิดอาการดังกล่าว การรักษาต้องรักษาให้จริงจัง และรักษาให้ถูกวิธีด้วย แต่การรักษานั้นเป็นเรื่องของแพทย์ 

   อาการของบุญมาที่เป็นขึ้นมา ที่ผ่านๆมาแล้วนั้น มันเป็นอาการของไข้จับสั่นชัดๆ ผมบอกให้บุญมาไปหาหมอที่โรงพยาบาลก็หลายหน แต่บุญมาก็อ้างโน่นนี่เรื่อย จนผมไม่อยากจะเซ้าซี้เขาแล้ว แต่มาในคืนวันนี้นี่เองที่บุญมารับปากกับผมว่า ในวันรุ่งขึ้น ก็จะไปหาหมอที่โรงพยาบาลแน่นอน ทำให้ผมดีใจไปด้วย และคิดว่า ในอาทิตย์หน้านั้นจะมีการย้ายพวกผมออกไป และจะมีทหารใหม่เข้ามา ถ้าบุญมายังนอนที่โรงพยาบาลอยู่ เราจะเจอกันอีกหรือไม่หนอ

   คืนนั้นผมกลับขึ้นไปยังเตียงนอนของผมแล้ว ซึ่งอยู่บนชั้นสองของอาคารหลังนี้ ที่เรียกว่าหมวด ๑ ประมาณ ๔ ทุ่มเศษ ผมมองดูเตียงนอนของทหารเพื่อนๆรุ่นเดียวของผม ที่เรียงกันเป็นพืด ไปจนสุดฝาผนังทางอีกด้านหนึ่ง ไม่ค่อยมีมุ้งกางขึ้นมาเลย นี่แสดงว่า วันนี้ (คืนวันศุกร์) มีทหารลากลับบ้านกันเกือบครึ่งกองร้อย แม้แต่ไอ้โทนก็ลากลับบ้านในอาทิตย์นี้ด้วย โล่งไปหมด

   นนไม่หลับก็เลยคิดถึงเรื่องต่างๆที่ผ่านมา ผู้เขียนกับเพื่อนหญิงที่สนิทกัน พร้อมกับเพื่อนที่ทำงานด้วยกันอีกหลายคน ไปเที่ยวกันที่วังตะไคร้ ก่อนที่จะมาเป็นทหารไม่นานนัก

  ผมจัดแจงกางมุ้งแล้วก็เข้าไปนอน คืนนี้อากาศหนาวเป็นพิเศษ นี่ก็เกือบ ๕ ทุ่มเข้าไปแล้ว ผมก็ยังนอนไม่หลับคิดถึงเรื่องต่างๆที่ผ่านมา แล้วก็คิดถึงเรื่องบุญมาด้วยสลับกันไปมา กำลังเคลิ้มๆผมได้ยินเสียงฝีเท้า กุก กุก ของสิบเอก มงคล ซึ่งเข้าเวรกองร้อยในคืนนี้ เดินผ่านเตียงนอนของผม หายเงียบไปทางห้องที่ทำการของแก

   ต่อมาผมก็ได้ยินเสียงทหารยามกองร้อยของผมนี้ข้างล่าง วิ่งดังปับ ปับ ปับ เข้าไปรายงานทหารคนหนึ่งที่เรียกว่า นายทหารเวร ที่เดินฝ่าความมืดเห็นแต่แสงสะท้อนของกระบี่ที่ท่านสะพายมา แว๊บ แว๊บ ท่านมาตรวจความเรียบร้อยในบริเวณนี้ เสียงรายงานดังลั่นสุดท้ายได้ยินว่า ครับผม...! เสียงแบบนี้ ผมได้ยินจนชินหูแล้ว ตั้งแต่เป็นทหารอยู่ที่นี่

  ผู้ที่เป็นนายทหารตั้งแต่นายร้อยตรีขึ้นไป เป็นนายทหารประจำที่ต่างๆอยู่แต่ละกรมกองนั้น ก็จะผลัดเปลี่ยนกันเป็น นายทหารเวร ออกตรวจตราในยามค่ำคืนในหน่วยงานของตน ทุกๆคืน บางท่านก็ดุเหมือนเสือ วางมาดเอากับพลทหารใหม่ให้กลัวจนตัวสั่น

   พลทหารยามบางคนที่เข้ามาเป็นทหารใหม่ๆนั้น ยังรายงานไม่เป็น ไม่คล่อง ก็มักจะถูกนายทหารที่เข้าเวรเป็นนายทหารเวรที่ดุๆ อวดยศเบ่งบารมี (เก่งกับพลทหารเท่านั้น) บางคนดุด่าและแกล้งทำโทษเอาโดยเห็นเป็นของสนุก หนักบ้าง เบาบ้างแล้วแต่อารมณ์ของแต่ละท่าน

   แต่ก็มีนายทหารเวรบางท่านเหมือนกัน ที่ท่านมักจะเมตตาต่อทหารยามใหม่ๆเหล่านี้เสมอ  ถ้ารายงานผิด พูดไม่รู้เรื่องด้วยความกลัวท่านก็จะบอกให้พูดช้าๆ แล้วท่านก็สอนให้พูดตามท่าน เมื่อพูดตามแล้วท่านก็ชมเชยทหารผู้นั้นเพื่อเป็นกำลังใจ ผมจำได้ว่ามีสองสามท่านที่เป็นอย่างนี้ จนบัดนี้ผมก็ยังจำหน้าท่านได้อยู่

  ดังนั้นเรื่องที่เกี่ยวกับนายทหารเวรนี้ จึงมีผู้คิดมิดีมิร้ายเลียนแบบกันขึ้นมา มันเป็นแผนของพวกทหารเกณฑ์นี่แหละ แต่เป็นรุ่นพี่ๆที่อยู่นานแล้ว ทำเอากับรุ่นน้องอย่างพวกผม เมื่อเข้ามาอยู่ใหม่ๆกลัวนายทหารเวรปลอมเหล่านี้กันลนลาน

  การแต่งกายของนายทหารเวรนั้น ต้องแต่งกายในชุดฝึก คือแต่งกายขุด ฟาติกส์ (แบบชุดทหารลายพราง กางเกงขายาวมีกระเป๋าปะหลายกระเป๋า เสื้อก็พับแขนขึ้นมาเหนือข้อศอก ใส่หมวก  รองใน คือรองจากหมวกเหล็กอีกทีหนึ่ง ชุดแบบนี้ทหารไทยเรามาแต่งกันเมื่อ มีสงครามเวียตนามนี่เอง แต่สมัยผมนั้นยังไม่มีผ้าแบบลายพรางนะครับ )
   แล้วก็สะพายกระบี่อันยาว ฝักชุบโครเมี่ยมมันวับ ซึ่งเป็นจุดที่พวกทหารเกณฑ์ที่ถูกอยู่เวรยามกลัวกันนักหนา เวลาท่านเดินต้องแสงไฟ ที่อยู่ตามเสา และไฟที่บนกองร้อย จะเห็นเป็นแสง แว๊บ วับ แว๊บ วับ ตลอดเวลาที่เดิน

  ชุดฝึกของพลทหารในสมัยปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นแบบนี้ ภาพนี้ถ่ายจากในป่าภายในค่ายธนะรัชต์ ถ่ายโดยสิบเอก เอี้ยน เฟรมมิ่ง ครูฝึกเดินป่าในตอนกลางคืน 

  พวกพลทหารที่มาเข้าเวรยามใหม่ๆ เมื่อเห็นทหารที่มีลักษณะแบบนี้เดินเข้ามาหา ก็จะรีบวิ่งเข้าไปรายงานทีเดียว แต่โดยมากนายทหารเวรเหล่านี้ มักจะออกมาตรวจถี่ ในตอนที่ยังไม่ดึกมากนัก พอดึกๆออกไปอากาศหนาวอย่างนี้ การตรวจตราต่างๆก็จะห่างๆออกไปด้วย นี่คือนายทหารเวรตัวจริง

   เมื่อนายทหารเวรตัวจริงหยุดพัก ไม่ค่อยออกมาตรวจในตอนดึกๆแล้ว ทีนี้ก็จะถึงคิวของนายทหารเวรตัวปลอมบ้าง พวกนี้ก็คือพวกทหารเกณฑ์รุ่นพี่ๆตัวแสบ ที่ผมเกริ่นให้ทราบตั้งแต่ทีแรกแล้ว

  เมื่อตอนที่พวกผมมาอยู่ใหม่ๆ ก็เคยโดนพวกนี้อำมาแล้ว คือ พวกมันจะทำกระบี่ปลอมเอาไว้ โดยเอาสติ๊กเกอร์สีขาวสะท้อนแสง มาพันรอบๆไม้รวกที่กะให้ยาวเท่ากระบี่ของจริง  แล้วทำด้ามเอาไว้ห้อยกับเข็มขัด

  เมื่อได้เวลาที่เขาจะได้รับความขำ ความฮากันแล้ว ประมาณตี ๑ หรือ ตี ๒ นายทหารเวรตัวจริงชักจะห่างๆออกไป พวกมันก็จะเริ่มปฏิบัติการกันทันที โดยการแต่งกายให้คล้ายนายทหารซึ่งกลางคืนตอนที่อยู่ห่างแสงไฟมองไม่ออก แล้วออกเดินดังปุบ ปุบ ปุบ ไปตามกองร้อยต่างๆ ที่รู้ว่าเป็นทหารเข้ามาฝึกใหม่

   แล้วแกล้งเดินตรงไปยัง พลทหารยามที่ทำหน้าที่อยู่ตรงนั้น พลทหารยามคนนั้นเห็นกระบี่ที่นายทหารเวรคนนั้น สะพายมาต้องแสงไฟ แว๊บ แว๊บ มาแต่ไกล ก็จัดแจงรวบรวมกำลังใจ สูดลมหายใจเข้าปอดให้เต็มที่ พร้อมจะรายงานนายทหารเวรผู้นั้นทันที แล้วก็คิดในใจว่า มันทำไมจึงมาตรวจถี่จริงโว้ย กูง่วงก็ง่วง จะหลับยามสักหน่อย ก็มาอีกแล้ว เวรกรรมของกูจริงๆ

   คิดได้แค่นั้น นายทหารเวรคนนั้นก็เดินมาถึงตัวเสียแล้ว เสียงรายงานของพลทหารคนนั้น เสียงดังฟังชัด แม่นยำและคล่องแคล่วเสียเหลือเกิน แต่ถึงจะรายงานอย่างไร มันก็ไม่เป็นที่พอใจของนายทหารเวรคนนั้นเสียที  จึงต้องรายงานใหม่หลายๆเที่ยว

   นายทหารเวรผู้นั้นก็ยังทำเป็นไม่พอใจหนักขึ้น สั่งลงโทษยึดพื้น ๒๐ เสร็จแล้วก่อนจะไปยังสั่งพลทหารผู้นั้นว่า พรุ่งนี้เช้าไปพบอั๊วหน่อยนะอั๊ว ร้อยโท มุก จันทรภาชน์  ที่อาคาร ๖๕ สั่งแล้วก็ทำท่าสั่นๆหัวเหมือนไม่สบอารมณ์ แล้วก็เดินจากไปเหมือนกับว่าไปตรวจที่อื่นต่อไป

    พลทหารนั้นก็ งงงวยเหลือที่จะกล่าว รายงานท่านอย่างดีแล้ว ท่านก็ยังไม่พอใจ คืนนี้ซวยจริงๆ พอรุ่งเช้าตั้งใจว่าจะไปหานายทหารเวรคนนั้น ตามที่แกได้สั่งเอาไว้ แล้วคิดว่าแกสั่งให้ไปหาทำไม ถ้าจะทำโทษเราก็เพียงแต่ ไปรายงานให้ผู้บังคับกองร้อยของเรา ทำโทษเราก็สิ้นเรื่อง

    คิดดังนั้นก่อนไปที่อาคาร ๖๕ เพื่อไปพบกับร้อยโท มุก ตามที่เขาสั่งไว้ ก็เดินเลียบเคียงเข้าไปถามผู้บังคับหมู่ดูก่อน ว่าอาคาร ๖๕ มันอยู่ที่ไหนหรือผมจะไปหา หมวดมุก เพราะว่าแกสั่งไว้

   ผู้หมู่ประจำกองร้อยนั้นได้ยิน พลทหารผู้นั้นมาถามดังนี้ ก็ปล่อยหัวเราะก๊ากออกมา บอกว่า อาคาร ๖๕ นั้นมันเป็นคุกทหารประจำค่ายธนะรัชต์  เป็นที่กักกันทหารที่ทำผิด ทหารที่หนี ร้อยโท มุก ที่นั่นมันไม่มีหรอก ไอ้มุก มันอยู่ที่ ร้อย ๑ โน่น มันเล่นงานมึงเข้าแล้วซี

  แต่อย่าไปเอาเรื่องอะไรมันเลยวะ คิดว่าเป็นการต้อนรับน้องใหม่ของพวกมันก็แล้วกัน  พลทหารใหม่ผู้นั้นแทบจะร้องไห้โฮออกมาด้วยความแค้นใจ ถึงกับตะโกนลั่นว่ามึงนะมึง มาหลอกกูได้  แต่แล้วอีกไม่นานพวกที่ถูกหลอกนี้ ก็จะหลอกรุ่นน้องๆต่อไปอีก เป็นเหมือนประเพณีรับน้องใหม่นั่นเอง.

หมายเหตุ ผู้เขียน 
 (พลทหาร มุก จันทรภาชน์ นี้มีตัวตนจริงเป็นคนดำเนินสดวก จ.ราชบุรี ปรากฏว่าในตอนหลังเมื่อผู้เขียนไปประจำการที่ สวนสนประดิพัทธ์หัวหิน ก็ไปเจอเขาซึ่งเขาได้ย้ายมาที่นี่ก่อนผู้เขียนได้หลายเดือนแล้ว และก็ได้เป็นเพื่อนกัน เคยไปบุกตีกับนักเลงตังเกเจ้าถิ่นที่เขาตะเกียบด้วยกัน โดยมี สิบโทสะอาด ภู่เต็ง เป็นคนนำไป  เป็นการล้างแค้นที่ทหารที่ค่ายสวนสนโดนทำร้าย เนื่องจากไปนั่งดูหนังขายยา ในตอนกลางคืนที่เชิงเขาตะเกียบกับลูกสาวชาวบ้านคนหนึ่ง โดย ไอ้สังข์ และพรรคพวกของมัน ซึ่งเป็นนักเลงประจำถิ่น และเป็นลูกเรือหาปลา ที่เรียกว่าเรือตังเก )

นายแก้ว เขียน บุญมา ทรัพย์สิน ๘ (นายทหารเวร)

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้185
เมื่อวานนี้317
สัปดาห์นี้1331
เดือนนี้7498
ทั้งหมด1337382

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online