งานคนเจ็ดเสมียนพบกัน ครั้งที่ ๒ / ๒

เรื่องราวของชาวเจ็ดเสมียน

งานวันคนเจ็ดเสมียนพบกัน ครั้งที่ ๒ ต่อ


          พวกผมเดินมาถึงศาลาประชาคม ที่ริมแม่น้ำแม่กลอง เกือบ ๖ โมงเย็น มองเห็นคนเดินกันอยู่ยังไม่มากนัก คนแรกที่ผมได้พบนั้นก็คือ  คุณมยุรี (เตียง)และนาย อ๋วย  น้องชายของคุณ เตียง ยืนกันอยู่ที่หน้าป้าย บอร์ดที่สำหรับติดรูป ซึ่งกำลังมีคนติดรูปอยู่ (มารู้ภายหลังว่าแฟนคุณครู อาภรณ์ นั่นเองที่กำลังเป็นคนติดรูปอยู่ )  ทักทายกันได้สักประเดี๋ยว คุณมยุรีก็ยังพูดคุย เก่งเหมือนเดิม แต่ผมมีความรู้สึกว่า นายอ๋วย เป็นคนไม่ค่อยพูดเลย ผิดกับเมื่อตอนเป็นเด็กๆ อยู่ที่ตลาดเจ็ดเสมียนนี้ เมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนของเขา ก็เห็นว่าพูดเก่งพอสมควร หรือว่า ได้พบเพื่อนและคนรู้จักกัน ตื้นตันใจจนพูดไม่ออกเลยนะ 

 

         

คุณอ๋วย (ซ้ายสุด) คุณมยุรี (เตียง ที่สามจากซ้าย) กำลังดูภาพในอดีตของคนเจ็ดเสมียน ที่ บอร์ด ด้วยความสนใจ ในขณะที่พี่น้องชาวเจ็ดเสมียนยังมาไม่มากนัก (patipat ถ่ายภาพ)

        

         คุณมยุรีได้แนะนำให้ผมได้รู้จัก   ท่านนายพันเอก สมพงษ์ วงศ์ยะรา  ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของท่านกำนันโกวิท กำนันแห่งตำบลเจ็ดเสมียนในอดีต นั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งฝ่ายจัดสถานที่ได้จัดไว้แล้ว นอกจากพี่สมพงษ์แล้วก็ยังมี พี่ณรงค์ วงศ์ยะรา ก็เป็นนายทหารเหมือนกัน ดูเหมือนว่าจะเป็น พันโท แล้วจึงเกษียรจากราชการ คนนี้เป็นน้องชายของเฮียตี๋ (จตุรงค์ วงศ์ยะรา อีกทีหนึ่ง วันนี้เฮียตี๋ไม่ได้มา) นั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกันด้วย  พันเอกสมพงษ์ นั้น ผมไม่ได้เห็นท่านเลย ในระยะเวลา ๔๐ – ๕๐ ปีที่ผ่านมานี้ จึงจำท่านไม่ได้
        

       

พันเอกสมพงษ์ วงศ์ยะรา กับ พันโทณรงค์ วงศ์ยะรา ยืนดูภาพเก่าๆของคนเจ็ดเสมียนด้วยความสนใจ  แหม..! สนใจภาพ Elvis (ตัวปลอม) ในปี 1961 เสียด้วยซี (patipat ถ่ายภาพ)

         ผมคุยกับท่านไม่นานนัก คุณมยุรี (เตียง)ก็บอกผมว่า มากันแล้ว ผมหันไปที่ทางเข้าหอประชุมแห่งนี้ ก็มีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา เป็นกลุ่มของ คุณบุปผานั่นเอง  ป้าเอ็ง ปีนี้ก็ยังมางานนี้อีกด้วย ทั้งๆที่อายุก็มากแล้ว เดินมาก็ไม่ได้ ก็ยังอุตส่าห์นั่งรถเข็นมา ทำให้คนที่มองเห็นนั้นซาบซึ้งจริงๆ
         ผมรีบเข้าไปทักทาย ป้าเอ็งก่อน ป้าเอ็งพูดเสียงเบาๆ ต้องตะแคง เงี่ยหูฟัง ผมจำได้ว่า ป้าเอ็งนี้ เมื่อสมัยที่ผมเด็กๆนั้น ก็พูดเสียงไม่ค่อยดังอยู่แล้ว เวลาจะด่า ไอ้อู๊ดที ไอ๊อู๊ด (รุ่นเดียวกับผม)  ลูกชายแกก็เลยไม่ค่อยกลัวเท่าไร เพราะแกด่าเสียงเบาๆนั่นเอง ผมคุยกับป้าเอ็งนิดหน่อยแล้วก็ลุกขึ้นมาทัก คุณบุปผา ลูกสาวของป้าเอ็ง ซึ่งเป็นพี่สาวของครูอาภรณ์อีกทีหนึ่ง คุณบุปผานี้ พวกเราที่ดูเน็ท กันบ่อยๆนั้น ก็จะรู้แล้วว่า เขาไปอยู่เสียที่ อเมริกา มาหลายสิบปีแล้ว และเพิ่งบินกลับมา เมื่อวันที่ ๓  นี้เอง 


คุณบุปผา ลักษิตานนท์ (เพิ่งจะบินมาจาก อเมริกา เมื่อวันที่ 3  เมษายน นี้)  เมื่อมาถึงสถานที่จัดงาน ได้ยืนคุยทักทายอยู่กับ คนเจ็ดเสมียน ที่มาคอยต้อนรับ      คุณอาภรณ์น้องสาวยืนอยู่ริมภาพทางด้านซ้ายมือ    กำลังวุ่นอยู่กับการดูแลงานนี้ให้เรียบร้อย(patipat ถ่ายภาพ)

 

         พูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว กลุ่มของคุณบุปผาก็เข็นรถนั่งของป้าเอ็งเข้าไปหาที่นั่ง กันข้างใน  พอดีอาภรณ์เดินสวนออกมาพอดี อาภรณ์นี้ มาดูแลและกำกับงานนี้ตั้งแต่บ่ายๆแล้ว เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย ในเรื่องสถานที่ และโต๊ะนั่งของพวกที่จะมาในเย็นวันนี้ รวมทั้งจัดบู๊ท ที่จะตั้งอาหารไว้ให้เรียบร้อย ครูอาภรณ์งานนี้จึงเหน็ดเหนื่อยมากกว่าคนอื่นๆหลายเท่า แต่ในสุดท้ายแล้ว ผลที่ออกมาก็ดีอย่างที่ต้องการ ไม่มีขาดตกบกพร่อง จนได้รับคำชมจากเพื่อนๆของผมที่มาในวันนี้เป็นอันมาก 

                                                                          บุตรสาวของคุณอาภรณ์ สถาปนิกอิสระ

            ผมต้องขอโทษคุณอาภรณ์ เป็นอันมากที่ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปของเขาไว้บ้างในงานนี้เลย  เนื่องจากว่า แกไม่ค่อยได้อยู่นิ่งและนั่งโต๊ะไหนเลย  และเมื่องานจบแล้ว ผมจึงคุยเรื่องนี้ขึ้นมา และบอกว่า จะเอารูปของอาภรณ์ที่มีคนถ่ายไว้ได้บ้าง เอามาลงให้  เรื่องรูปนี้ ในกล้องของผมไม่ได้ถ่ายทุกคนอย่างทั่วถึงเลยครับ  และที่ถ่ายได้บ้างก็ไม่ค่อยดีเลย ไม่ค่อยชัด จึงอยากจะขอประกาศให้ทั่วถึงอีกที ถ้าท่านใดที่ มาเที่ยวในคืนวันนั้นได้ถ่ายรูปไว้บ้างก็ส่งมาให้ผมบ้างนะครับ เลือกรูปที่สวยๆ เอามาลง เอามาดูกันครับ
           ผมบอกอาภรณ์ว่า เฮีย ก็ทำรูปภาพเก่าๆมาด้วยเหมือนกัน ตามที่อาภรณ์ได้สั่งผมเอาไว้ พร้อมกับเอาออกมาจากถุง ยื่นให้อาภรณ์ เอาไปให้คนที่กำลังติดรูปอยู่ ช่วยติดให้ด้วย ต่อจากนั้น ก็ถึงเวลาที่เพื่อนๆผมหลายคนเข้ามาทักทาย เด็กตลาดเจ็ดเสมียนรุ่นน้องๆ ที่รู้จักบ้างและไม่รู้จักบ้าง ก็เข้ามาทักทายผมกันหลายคน
          มัวแต่ทักทายกัน ที่ตั้งใจมาจากบ้านแล้วนั้น ว่าจะถ่ายรูปให้มากๆ เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสมาพบกันอีกเมื่อไร ก็เลยไม่ได้ถ่าย มันแต่คุยกันอยู่ คุยกับคนนี้ยังไม่ทันจบดี คนนั้นก็มาเริ่มเรื่องใหม่อีก เล่ากันแต่เรื่องเก่า พฤติกรรมเก่าๆดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ที่ประกอบกันเอาไว้เมื่อตอนเด็กๆ หัวเราะกัน ฮา ฮา เรื่องรูปจึงถ่ายมาได้เพียงนิดเดียว ในขณะเดียวกัน เครื่องดื่มเบียร์สด ตราสิงห์  (โดยคุณรังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์)  ก็มีคนเดินไป รินเอาเองบ้าง บริกรหญิงของเบียร์สิงห์ เอามาเติมให้บ้าง อาหารต่างๆ ที่มีอยู่หลายๆซุ้มนั้น ก็มีคนเริ่มทยอยไปสั่งเอาเอง เพิ่มเติมได้ไม่อั้นครับ
         ในโอกาสนี้ผมจึงขอถือโอกาส ขอโทษ เพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ คนเจ็ดเสมียนที่ผมทักทายไม่ทั่วถึง ทั้งท่านรู้จักและไม่รู้จัก บางท่านผมได้เชิญมาเป็นการส่วนตัว ไม่ทราบว่าท่านได้มากันหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ถ้ามากัน ผมก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปทักทายท่าน เอาไว้โอกาสหน้าขอแก้ตัวกันใหม่นะครับ
          ต่อจากนี้ไป ผมก็จะรายงาน พร้อมกับขอเสนอรูปบางรูป พร้อมกับบรรยายภาพไปด้วยนะครับ และอยากขอรบกวนท่าน ให้ช่วยกันบรรยายเหตุการณ์ ที่น่าประทับใจในครั้งนี้ด้วย จะเป็นข้อความสั้นๆ ก็ได้ครับ แล้วเขียนลงไปใน บอร์ด หรือจะส่ง E – mail  มาให้ผมก็ได้ แล้วผมจะนำมาลง ต่อกันไปเรื่อยๆ  ยังไม่อยากให้งานนี้จบลงเร็วๆครับ..
 

ุณสุชาติ สุขพันธ์ (ซ้าย) คุณสาธร วงษ์วานิช (ขวา) กำลังยืนคุยกับคุณบุปผา ลักษิตานนท์ ในขณะที่เพิ่งจะมีคนเจ็ดเสมียนกำลังทยอยเข้ามาในศาลาประชาคมแห่งนี้ (patipat ถ่ายภาพ)

          ใกล้ ๖ โมงเย็นตามเวลาที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ คนเจ็ดเสมียนก็ได้ทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ คนที่บ้านอยู่ไกลๆ เช่นอยู่ที่กรุงเทพฯ และที่อื่นๆ จะมาถึงงานก่อนคนที่อยู่ใกล้ๆ เช่นคนในตลาดเพราะว่าคนที่อยู่ในตลาด จะมาตอนไหนก็ได้ และคนที่อยู่ตลาดนอก คุณจินตนา แววทอง น้องสาวของคุณสุรพงษ์ แววทอง (ไอ้โห้ เพื่อนสนิทของผมเอง) ได้มาแล้วและได้เข้ามาทักผม พร้อมด้วยเด็กๆอีกหลายคน ทีแรกผมก็ยังไม่รู้ว่าเป็นลูกหลานของใคร ผมคุยกับคุณจินตนาสักประเดี๋ยวหนึ่ง
        

         เพื่อนๆในรุ่นผมก็ทยอยเดินเข้ามากันหลายคน ต่างคนต่างดีใจที่ได้มาพบกันอีก เมื่อเดินเข้ามาในสถานที่จัดงานแล้ว ต่างคนต่างก็เลือกนั่งเอาตามที่ตัวชอบ บางคนก็มานั่งกับเพื่อนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว ทักทายกัน เอะอะ โวยวายตามแบบของตัวเองที่เคยเป็นอยู่ ในตอนสมัยเด็กๆนั้น

 ภาพนี้ยังมองไม่เห็นหน้านะครับ แต่ก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นใครบ้าง (patipat ถ่ายภาพ)

        ผู้ที่มาก่อนแล้ว บ้างก็เข้าไปประจำที่เลย แต่บางคนก็ยังเดินไปทักทายกัน วุ่นไปหมด ส่วนผมในงานนี้ไม่ค่อยได้นั่งประจำที่หรอกครับ ออกเดินไปคุยกับคนเก่าแก่แห่งเจ็ดเสมียนบ้าง ทักทายกับเด็กๆรุ่นน้องบ้าง ประเดี๋ยวก็มีคนมาเรียกผมให้ไปโต๊ะโน้นโต๊ะนี้ ว่าคนนั้นคนนี้อยากพบบ้าง

เฮียแก่เล็ก (นายพิศิษฐ์ ชื่นณรงค์) ได้มาพบกับเพื่อนๆ น้องๆ ในงานวันคนเจ็ดเสมียนพบกัน ในวัย ๗๐ ปี ของเฮียแก่เล็กนั้น ยังไม่มีความแก่ออกมาให้เห็น ยังแข็งแรง ร่าเริงแจ่มใสเหมือนเมื่อก่อนนั้น เมื่อเจอผมก็รีบบอกกับผมว่า "เก้ว รูปของเฮียที่ลงไปแล้ว และบอกว่า ไม่รู้ว่าอายุเท่าไรในตอนนั้น ตอนนี้นึกออกแล้ว อายุ ๑๗ ปีเท่านั้นแหละ"

        โดยเฉพาะเจ๊กวย ที่เป็นผู้ผลิต หัวใช้โป๊วเค็ม หวาน ชั้นนำรายหนึ่งของเจ็ดเสมียน ชื่อในทางการค้าว่า แม่ตังกวย เป็นเด็กเจ็ดเสมียนรุ่นใหญ่กว่าผมหลายรุ่น  ดีอกดีใจที่ได้พบกัน แล้วบอกผมว่า "เจ๊ดีใจที่ได้พบเก้วนะ เราไม่ได้เป็นเด็กเจ็ดเสมียนธรรมดาๆอย่างเดียวหรอก แต่เราเป็นเหมือนญาต ที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่รุ่น พ่อแม่แล้ว "

         ผมก็ว่า  "จริงครับเจ๊ เมื่อสมัยที่พวกผมเป็นเด็กๆนั้น ป้าม่วย ซึ่งเป็นแม่ของเจ๊กวยนั้นก็ยัง เอ็นดูพวกผม ผมไปยืนรอไอ้ วี ที่หน้าบ้านป้าม่วยยังหยิบยื่นขนมให้พวกผมกินบ่อยๆ ผมยังจำได้ " แล้วผมก็ยังได้คุยกับเจ๊กวยอีกเป็นเวลาพอสมควร ในตอนสุดท้ายนั้น เจ๊กวยบอกกับผมว่า 

        "เก้ว ถ้าตอนจะกลับก็บอกนะ จะเอาผักกาด ให้เก้วกลับไปกินสักหน่อย อันนี้ไม่ใช่อย่างธรรมดานะ มีเงินมากมายก็ซื้อไม่ได้ ไม่มีขายหรอก อร่อยสุดๆ" ผมก็ว่าครับๆรับปากกับเจ๊กวย แต่ผมก็ต้องขอโทษเจ๊กวยด้วยครับ ที่ผมไม่ได้ทำอย่างที่ผมรับปากไว้ ในเวลาตอนกลับนั้นผมลืมไปลาเจ๊กวยเสียสนิทเลยพร้อมทั้งไม่ได้ลาใครๆด้วย  อย่างไรเสียผมก็คงต้องมาที่เจ็ดเสมียนอีกครับ แล้วผมจะมาเยี่ยมครับ..! 

เจ๊กวย (เสื้อสีเหลือง) มาร่วมงานนี้ ด้วยมาดเหมือนเมื่อตอนยังสาวๆสมัยก่อนนั้น เสียงดัง ฟังชัด เหมือนเดิม พบหน้าผม แกบอกว่า "เก้วนะเราเป็นคนเจ็ดเสมียนด้วยกัน เป็นเหมือนพี่น้องที่สนิทกันมานานแล้ว"  (patipat ถ่ายภาพ)

          ก่อนที่เขาจะดำเนินรายการเป็นทางการ ผมก็เดินวนเวียนทักทายคนโน้นคนนี้ ไปหลายโต๊ะพยายามจะให้ทั่วถึง จะได้แสดงความดีใจที่เราได้มาพบกันอีกครั้งหนึ่ง แต่คงจะไม่ครบทุกคนหรอกนะครับ ผมต้องขอโทษเอาไว้ ณ ที่นี้ก็แล้วกัน เพราะว่าเวลานี้เพื่อนผมก็มากันหลายคนแล้ว ผมจึงจำเป็นต้องไปคุยกับเพื่อนผมบ้าง

         ประมาณเกือบทุ่มพิธีกร กิตติมศักดิ์ ของเราจึงได้ขึ้นไปบนเวที ทั้งสองคน ในครั้งแรกนั้นคุณจินตนา รับปากจะเป็นพิธีกรบนเวทีเพียงคนเดียว แต่ในตอนหลังนั้นไม่ทราบว่าคุยกันอย่างไร จึงมีพิธีกรอีกคนหนึ่ง คือบุตรสาวคนโตของ นายสุรพงษ์ (โห้) ขึ้นไปเป็นพิธีกรคู่ ก็ดีเหมือนกันนะหนูนะ ดูแล้วใช้ได้ ใกล้ๆกับมืออาชีพเลยทีเดียวครับ

 

คุณจินตนา แววทอง   พิธีกร บนเวที เป็นทางการ กำลังดำเนินรายการในคืนวันนี้ (patipat ถ่ายภาพ)

สำหรับคนริมซ้ายมือที่เห็นในภาพนั้น คือ คุณอาภรณ์ ลักษิตานนท์ ผู้ประสานงานในการพบกันของคนเจ็ดเสมียนครั้งที่ ๒ นี้

         สำหรับคนเจ็ดเสมียนที่ได้มาในงานพบกันครั้งนี้ สรุปแล้ว ก็มากันมากพอสมควร จะวัดกันจากครั้งที่ ๑ นั้นเห็นจะวัดไม่ได้ ก็คงได้แต่ประมาณเอา เพราะว่า เมื่อครั้งที่ ๑ นั้นจัดกันตรงลานโพธิ์ มีโต๊ะเก้าอี้วางรับรองผู้ที่มาไม่มากนัก ก็มองดูแล้ว เหมือนจะมีคนมามาก แต่ในครั้งที่ ๒ นี้ เราจัดกันในศาลาประชาคม ริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นสถานที่กว้างมาก เราจัดโต๊ะเก้าอี้ที่สำหรับนั่งสังสรรค์กัน มากพอสมควร และคนก็ได้นั่งกันเต็มทุกโต๊ะ แบบหลวมๆพอสบายๆ แต่ก็มองดูแล้วเหมือนคนจะมาน้อยกว่าครั้งที่แล้ว

                 คุณครูตลับ เป็นครูที่อยู่ที่เจ็ดเสมียนมานานแล้วในปีนี้ก็มาเหมือนเดิม (patipat ถ่ายภาพ)

         แต่ตามความเห็นของกลุ่มผมแล้ว ลงความเห็นกันว่า ชาวเจ็ดเสมียนของเรามากันมาก กว่าครั้งที่แล้ว แต่จะมากันอย่างไร มากันเท่าไรก็ไม่เป็นไรครับ เราไม่ได้บังคับกัน แต่ผมก็เสียดาย หลายๆคนที่ไม่ได้มาร่วมด้วยในครั้งที่ ๒ นี้ ซึ่งในครั้งที่แล้วก็มา แต่คนที่ครั้งที่แล้วไม่มาก็มาในครั้งนี้สลับกันไป คุณอาภรณ์ฝากให้ผมขอบคุณผู้ที่สละเวลามาในงานกันทุกๆท่านด้วย ครั้งหน้าพบกันใหม่ แต่ยังไม่ทราบว่าจะกำหนดกันเมื่อไรครับ ...!

                

โปรดติดตาม งานคนเจ็ดเสมียนพบกัน ครั้งที่ ๒ ตอนที่ ๓  ได้เร็วๆนี้ ที่นี่ที่เดียว                                    

 

 

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้248
เมื่อวานนี้706
สัปดาห์นี้2804
เดือนนี้12051
ทั้งหมด1341935

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online