ไปเชียงใหม่ ๓


  รถวิ่งผ่านเขาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เวลานี้ ๖ โมงเย็นแล้ว อากาศเริ่มจะขมุกขมัวประกอบกับภูมิประเทศในแถบนี้อากาศในตอนค่ำๆจะเย็นลง มองไปทางเขาจะเห็นหมอกลอยฟ่องอยู่ทั่วไปตามไหล่เขา 

   ผมให้ลูกชายลองเปิดกระจกรถดู อยากรู้ว่าอากาศข้างนอกจะเย็นหรือไม่เย็นอย่างไร ลมพัดวูบเข้ามาในรถตอนลูกชายเลื่อนกระจกรถลง จึงได้รู้ว่าอากาศแถวๆภาคเหนือในตอนนี้ก็ยังไม่เย็นเลย แถมยังจะออกร้อนๆอีกเสียด้วย สรุปแล้วอากาศที่เชียงใหม่นี้ก็ยังไม่เย็น งานลอยกระทงที่เชียงใหม่ในปีนี้คงยังไม่หนาวเป็นแน่ เพราะว่าผมมาเชียงใหม่ในเที่ยวนี้ ก่อนเทศกาลลอยกระทงเพียงสองสามวันเท่านั้น 
    
ไม่นานนักรถก็วิ่งเข้าเขตจังหวัดลำพูน ผ่านสี่แยกบ้านธิแล้วก็มืดพอดี  ยังไม่ทันหกโมงครึ่งเลยก็มืดเสียแล้ว เข้าเขตุจังหวัดลำพูนนี้รถเริ่มหนาแน่น มันวิ่งกันแน่นถนนไปหมด ไม่รู้ว่าจะไปไหนกันนักหนา ผมบอกลูกชายซึ่งเป็นคนขับว่า เราไม่คุ้นทางขับระวังหน่อยก็แล้วกัน

     อีกกว่า ๓๐ กิโลเมตรจึงจะถึงเมืองเชียงใหม่ รถวิ่งกันหนาแน่นตลอดทั้งขาเข้าและขาออกจากเชียงใหม่ ยังกับถนนวิภาวดีในกรุงเทพฯ อากาศมืดๆอย่างนี้มองออกไปข้างนอกรถ เห็นอะไรก็ไม่ถนัดเราปรึกษากันว่าคืนนี้จะพักกันที่ไหนดี ทีแรกก็คิดกันว่าจะไปพักบ้านญาติคนหนึ่ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่สาวซึ่งแกมีอายุมากกว่าผมสัก ๒ ปีตอนเด็กๆก็เคยวิ่งเล่นกันที่ตลาดเจ็ดเสมียน พร้อมกับน้องสาวของเจ๊น้อยอีกคนหนึ่ง ผมเรียกแกว่า เจ๊น้อย 

       เจ๊น้อยเป็นลูกคนโตของอาแท้ๆของผม คือ อากรรณิกา หรือที่ผมเรียกว่าอาซึง นั่นเอง อาซึงนี้ผมได้ลงรูปของเขาในอัลบั้มรูปเก่านะครับ (ถ้าหากสนใจก็เข้าไปชมกันได้  รูปนี้เมื่ออาซึง และพ่อของผม คือนายหิรัญ ได้ไปเยี่ยมผมที่บ้านปากเกร็ดกว่า ๑๐ ปีมาแล้วครับ)

       เดิมทีเมื่อประมาณ ๔๐ ปีมาแล้ว เจ๊น้อยและครอบครัวก็อยู่ที่เมืองกาญจน์นั่นแหละครับ มีอาชีพทำงานกันที่กรมชลประทาน อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรีทั้งคู่ ต่อมาทางชลประทานท่าม่วงประกาศว่า จะขยายหน่วยงานไปอีกหน่วยหนึ่ง ไปอยู่ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

 

   เจ๊น้อยกับพี่ธีระชัย คนนี้ไงที่ผมไปพักที่บ้านเชียงใหม่บ่อยๆ ภาพนี้กำลังรดน้ำอวยพรให้หลานซึ่งเป็นลูกของน้องสาวที่ท่าม่วง

      เจ๊น้อยและ พี่ธีระชัย ศิลาแดง ซึ่งเป็นสามีของแกและเป็นคนทาง กาญจนบุรี จึงสมัครไปทำงานที่เชียงใหม่ด้วย ตั้งแต่นั้นมาครอบครัวของเจ๊น้อย พร้อมด้วยลูกเล็กๆอีก สองคน ก็หอบหิ้วกันไปอยู่ที่หน่วยงานของชลประทานอำเภอแม่ริม ตั้งแต่นั้นมา ในตอนแรกๆก็อยู่ที่บ้านพักของกรมชลประทานก่อน พออยู่นานเข้าก็เลยซื้อที่ปลูกบ้านใกล้ๆที่ทำงาน ริมคลองชลประทานที่แม่ริม อยู่เชียงใหม่เป็นการถาวรไปเลย

แน่งน้อย (เจ๊น้อย) กับนิตยา (น้องสาวเจ๊น้อย) ได้มาในงานสวดศพของลุง (บิดาของผู้เขียน) เมื่อ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๑ ที่ตลาดหัวกุญแจ อ.บ้านบึง จ.ฃลบุรี

   

จนกระทั่งบัดนี้เป็นเวลากว่า ๔๐ ปีแล้ว คุณธนกิตติ์ ศิลาแดง (บอย) และคุณจอย ลูกชายหญิงทั้งสองคนที่หอบหิ้วกันมาจากท่าม่วงเมืองกาญจน์บุรี จึงเป็นคนเชียงใหม่โดยปริยาย พูดภาษาเหนือกันจ้อ เพราะมาอยู่เชียงใหม่กันตั้งแต่เล็กๆ มาเรียนกันจนจบที่เชียงใหม่นี้ มีการมีงานทำกันเป็นหลักแหล่ง คุณบอย เรียนจบปริญญาโทที่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแม่ริมเท่าไรนัก  เวลานี้ทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล กับบริษัทฝรั่งแห่งหนึ่ง ที่ศูนย์อุตสาหกรรม ที่ลำพูน

 

คุณธนกิตติ์ ศิลาแดง (บอย) ลูกชายคนโตของเจ๊น้อย พร้อมกับหลานสาวคนโปรดของเจ๊น้อย

     ส่วนจอยลูกสาวคนเล็กนั้น ทำงานรับราชการกรมสรรพกร ประจำอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ สามีของจอยนั้นก็ทำงานกรมสรรพกรด้วยเหมือนกัน เป็นสรรพกรอำเภอ อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ เรียกว่ารับราชการทั้งคู่ ปัจจุบันพี่ธีระชัย และเจ๊น้อย เกษียณจากราชการกรมชลประทานแล้วทั้งคู่ มีความสุขอยู่กับลูกๆหลานๆ และเป็นคนเชียงใหม่ไปโดยอัตโนมัติ เรื่องของพี่น้องของผมที่สนิทและเป็นพี่น้องกันจริงๆผมก็ขอเล่าเพียงเท่านี้ จริงๆแล้วถ้าให้ละเอียดก็จะยืดยาวกันเกินไป
      

จอยลูกสาวคนเล็กของเจ๊น้อย และสามีรับราชการกรมสรรพกรทั้งคู่

    เมื่อสมัยก่อนๆนั้นผมมาเที่ยวที่เชียงใหม่ครั้งไร ผมจะต้องมาพักที่บ้านเจ๊น้อยเสมอ ก่อนที่จะมานั้นผมต้องโทรศัพท์มาล่วงหน้า พอถึงวันมาเจ๊น้อยก็จะรออยู่ที่บ้านไม่ไปไหน เป็นอย่างนี้ตลอดมา 
    ในระยะหลังๆนี้ เจ๊น้อยแกไม่ค่อยสบาย ขาเป็นอะไรก็ไม่ทราบเดินไม่ค่อยไหว เข้าโรงพยาบาลรักษาแล้วหลายหนแต่ก็ยังไม่ค่อยจะดีขึ้น ประกอบกับลูกๆของเจ๊น้อย เมื่อแต่งงานมีครอบครัวกันแล้วนั้นก็ได้ไปปลูกบ้านอยู่ แยกจากบ้านแม่ที่แม่ริมไป จึงทำให้เจ๊น้อยแกอยู่กับพี่ธีระชัย ซึ่งมีอายุมากๆด้วยกันทั้งคู่ สองคนตายายเท่านั้น

    ดังนั้นในตอนหลังๆที่ผมและครอบครัวมาที่เชียงใหม่กัน จะไม่ค่อยได้มาพักที่บ้านเจ๊น้อยอีกเลยเพราะความเกรงใจไม่อยากจะมารบกวน  จนกระทั่งครั้งนี้จึงคิดกันว่าเราควรไปพักกันที่โรงแรมกันสักคืนหนึ่ง คงไม่สิ้นเปลืองไปเท่าไร และอยากจะต้องการความสะดวกสบายด้วย  ถ้าหากว่าไปพักบ้านเจ๊น้อยแล้ว จะเข้าจะออกก็เกรงใจ และเจ๊แกก็จะต้องมีภาระจัดหาให้กินอีก ดังนั้นพักโรงแรมเพียงคืนเดียวจึงเป็นการดีที่สุด

     ปรึกษากันได้ดังนั้นแล้ว ก็ตกลงว่าในคืนนี้จะพักที่โรงแรม เอาเป็นโรงแรมที่อยู่นอกๆเมืองหน่อย ก็คือ โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ ที่เรามาเชียงใหม่กันกี่ครั้งกี่หนก็มาพักกันที่โรงแรมนี้ มันก็สะดวกสบายพอสมควร ราคาก็ไม่แพงเท่าไร แถมอยู่นอกเมือง ใกล้สถานที่สำคัญหลายแห่งด้วย คือใกล้ดอยสุเทพ  ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สวนสัตว์เขียงใหม่ ซึ่งไปทางเดียวกันกับดอยสุเทพ และใกล้สนามกีฬา ๗๐๐ ปีอีกต่างหาก

 

โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ มาพักทุกครั้งที่มาเชียงใหม่

       แม้ว่าเราจะเคยมาเชียงใหม่กันหลายหนแล้วก็ตาม แต่เมืองเชียงใหม่โดยเฉพาะถนนหนทาง เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ตามทางแยกต่างๆขุดอุโมงค์ ให้รถวิ่งลอดกันไปหลายแห่ง เล่นเอางงไปเหมือนกัน เช่น สี่แยกสันกำแพง ก็ขุดอุโมงค์   แยกไปดอยสะเก็ดก็ขุดอุโมงค์  ส่วนแยกที่จะไปพร้าว (ที่ผ่านแม่โจ้) นั้นยังไม่ได้ขุดยังเป็นสี่แยกเหมือนเดิม

       นานๆมากันทีแถมเป็นตอนค่ำแล้ว เราสามคนจึงช่วยกันมองทางเขม็งตลอดเวลา ที่หมายของเราคือจะเลี้ยวเข้าถนนไปอำเภอพร้า (หรือไปแม่โจ้ทางเดียวกัน) ผมบอกลูกชายว่าต้องสังเกตโรงพยาบาล เชียงใหม่ราม ๒ ซึ่งตั้งอยู่ที่ปากทางด้านขวามือให้ดี ถัดไปก็จะเป็นสี่แยกให้เลี้ยวไปทางขวาเข้าไปเลย

      พวกเราคิดว่าทางนี้คือทางที่ เราจะไปโรงแรมเชียงใหม่ ภูคำ ที่คิดว่าจะไปกันถูกก็เลยเข้ามาทางนี้ จริงๆแล้วถ้ามากลางวันกว่านี้อีกสักนิดหนึ่ง  ก็จะไปเข้าทางสี่แยกอะไรก็ไม่รู้ที่สุดถนน ซูปเปอร์เส้นนี้ แล้วเลี้ยวขวาที่จะไปทางดอยสุเทพ ไปนานนักก็จะถึงโรงแรมเชียงใหม่ภูคำง่ายๆเลยทีเดียว

      เมื่อเลี้ยวเข้ามาเส้นแม่โจ้แล้ว ก็คิดว่าจะหาอาหารกินกันเสียก่อน เพราะว่าเวลานี้ก็เกือบจะ ๑ ทุ่มเข้าไปแล้ว เสร็จเรื่องอาหารแล้วก็จะเข้าโรงแรมพักผ่อนกันทีเดียวเลย ไม่ต้องเสียเวลาออกมาหาอาหารกินกันอีก

       ทีแรกคิดว่า จะขับรถไปทาง ศาลากลางใหม่แล้วเลยออกไปทาง สนามกีฬา เชียงใหม่ ๗๐๐ ปี แล้วก็เลี้ยวข้ามคลองชลประทาน เข้าไปกินอาหารที่ร้านอาหาร แกงร้อนบ้านสวน ที่เราเคยมากินกันบ่อยๆแทบทุกเที่ยวที่มาเชียงใหม่นี้

       แต่พอผ่านปากทางเข้ามาหน่อยเดียว มองไปทางด้านซ้ายมือ เห็นมีร้านขายอาหารเป็นแถวยาวเหยียด มองดูแล้วอาหารก็น่ากินดี จึงคุยกันว่า เราแวะกินแถวนี้ก็ได้ให้เรียบร้อยไป ไม่ต้องไปไกลถึงร้านแกงร้อนบ้านสวนหรอก ทุกคนก็ตกลงดังนั้นเราจึงจอดรถเข้าข้างทาง ซึ่งมีรถของผู้ที่มากินอาหารที่ร้านเหล่านี้จอดรถกันเป็นแถวยาวเป็นพืดอยู่ก่อนแล้ว

     นั่งรถกันมานานหลายชั่วโมงพอลงจากรถก็เดินเซๆ ไปเหมือนกัน เห็นร้านอาหารร้านหนึ่ง เขียนไว้ว่า ข้าวต้มบาทเดียว เป็นเจ้าเก่าที่ย้ายมาจากในเวียง มีคนนั่งกินกันแน่นร้าน จึงอยากจะลองดูมั่งว่าจะอร่อยดีไหม ก็เลยชวนกันเข้าร้านนี้ ได้ที่นั่งแล้วก็สั่งอาหารมาหลายอย่างกินกันด้วยความหิว ..........

 ถ้าท่านต้องการอ่านในตอนต่อไป คลิ๊กที่  ไปเชียงใหม่ ๔  ได้เลยครับ

 

 

 นายแก้ว เขียนไปเชียงใหม่ ๓

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้151
เมื่อวานนี้460
สัปดาห์นี้2001
เดือนนี้11248
ทั้งหมด1341132

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online