ไปเชียงใหม่ ๔

       

     เมื่อออกมาจากร้านอาหาร  “ข้าวต้มบาทเดียว” เป็นเวลาทุ่มเศษๆแล้ว ก็ตรงไปโรงแรมเลยทีเดียว เราไม่ได้ย้อนออกไปที่ถนน ซุปเปอร์ อีกหรอก เพราะว่าเราจะวิ่งตรงไปทางแม่โจ้นี้ก็จะไปโรงแรมได้ ก่อนถึงแม่โจ้จะมีสี่แยกใหญ่ซึ่งไม่ทราบว่าชื่อแยกอะไร

        ถึงแยกแรก ก็เลี้ยวซ้ายแล้วก็วิ่งไปเรื่อยๆ ผ่านร้านอาหาร เชียงใหม่เรือนแพ ๒ ซึ่งเป็นร้านที่เมื่อถนนนี้ตัดใหม่ๆร้านนี้ก็มาตั้งใหม่ๆ ผมและครอบครัวก็เคยมาอุดหนุนหลายหน แต่ในตอนหลังๆ โดยมากแล้วใกล้ที่ไหนก็กินที่นั่นเพื่อความรวดเร็ว ไม่ต้องเลือกมาก

      วิ่งไปจนสุดถนนสายนี้แล้วก็จะเป็นสามแยก อยู่ตรงหน้าศาลากลางใหม่พอดี ตรงสามแยกนี้เดี๋ยวนี้เขาขุดอุโมงค์ให้รถวิ่งแล้วจึงเป็นการสะดวกมากที่ไม่ต้องติดไฟแดงอีกเป็นเวลานาน โผล่จากอุโมงค์แล้วก็วิ่งเรียบรั้วของศาลากลางไปทะลุคลองชลประทาน  เลี้ยวซ้ายวิ่งตามคลองชลประทานไปเรื่อยๆ  ผ่านสนามกีฬาเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี แถวนี้สองข้างทางเดี๋ยวนี้มีร้านอาหารเยอะแยะ ติดไฟกันสว่างไสว วิ่งตามคลองชลประทานไปเรื่อยๆก็ถึงสี่แยก  มองเห็นโรงแรมเชียงใหม่ภูคำอยู่ข้างหน้าแล้ว

  

ทางเข้าโรงแรมด้านหน้า   

   มาถึงโรงแรมตอนแรกนั้นใจไม่ค่อยดี เพราะว่าพอรถเลี้ยวเข้ามามองเห็นรถยนต์ทั้งใหญ่และเล็กจอดกันแน่นไปหมด แน่นจนรถของเราไม่มีที่จอด รปภ.ที่คอยดูแลเรื่องรถต้องวิ่งเข้ามาบอกเราว่าให้ไปจอดที่ๆจอดรถไต้ถุนตึกใหญ่ซ้ายมือนั้น

 

หน้าโรงแรมไม่มีที่ว่างให้รถจอดได้เลย

   มาโรงแรมนี้หลายสิบครั้งแล้วไม่เคยเป็นอย่างนี้ ครั้งก่อนๆนั้นพอรถเลี้ยวข้ามคลองชลประทานมาแล้ว ถึงหน้าโรงแรมก็เสียบเข้าไปจอดได้เลย จึงคิดว่าคืนนี้แย่แล้วห้องพักคงเต็มไปหมด ผมบอกให้นายโหน่งลูกชายซึ่งเป็นคนขับรถ จอดรถให้ผมและคุณหวานลงก่อน แล้วค่อยไปหาที่จอดรถ

ที่ล๊อบบี้ชั้นล่างของโรงแรม

    ผมและคุณหวานลงจากรถแล้วก็เดินเข้าไปภายในโรงแรม ผ่านลอบบี้ตรงไปที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ คุณหวานก็เข้าไปเจรจาทันที ผมได้ยินเจ้าหน้าที่บอกว่า ห้องพักยังมีอยู่ ที่เห็นมีรถมากมายนั้น เขาเพียงแต่มาประชุมกันที่โรงแรมนี้เท่านั้น ไม่ได้มาพักแต่อย่างใด

ทั้งคนทั้งรถแน่นหน้าโรงแรมมาประชุมเท่านั้นไม่ได้มาพัก

    เท่านั้นแหละผมก็หายกังวลใจ เนื่องจากว่ามาเชียงใหม่ทุกครั้งต้องมาพักที่นี่ทุกครั้ง ยังไม่เคยไปพักที่โรงแรมอื่นๆเลย ถ้าพลาดจากที่นี่แล้วค่ำๆอย่างนี้ไปไหนไม่ถูกแน่ๆ และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆก็ต้องโทรไปหาเจ๊น้อยที่บ้านแม่ริม ไปอาศัยพักที่บ้านเจ๊น้อยอยู่ดี

   ได้ห้องแล้วก็ขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อนกันทันที เหน็ดเหนื่อยกันมามากแล้ว เพราะเดินทางกันมาไกล

   รุ่งเช้าตื่นขึ้นมาสดชื่นกันบ้างเพราะได้พักผ่อนกันตั้งแต่หัวค่ำ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงไปกินข้าวกันที่ห้องอาหารของโรงแรม  ผู้ที่มาพักกันที่โรงแรมนี้จะได้บัตรอาหารเช้ากันห้องละ ๒ คน แต่ถ้าไม่มีบัตรก็ต้องเสียเงินคนละ ๘๐ บาท สำหรับอาหารมื้อเช้านี้ ที่จริงแล้วก็เป็นการสะดวกดีที่โรงแรมทำอย่างนี้ 

ห้องอาหารของโรงแรม อยู่ทางขวามือของล๊อบบี้
        เพราะว่ายังเป็นเวลาเช้าอยู่ก็ขี้เกียจที่จะต้อง ขับรถตะเวณไปหาอาหารกิน กินเสียที่ห้องอาหารของโรงแรมเลย เป็นอาหารแบบบุปแฟ่นะครับ ทุกท่านคงทราบกันแล้วนะว่าอาหารแบบบุปแฟ่ คืออะไร มีกับข้าว ทั้งข้าวสวย ข้าวต้ม น้ำชากาแฟ ไข่ลวก ไส้กรอก เรียกว่าเพียบก็แล้วกัน

       ผมเคยได้ฟังรายการครอบจักรวาล ของท่าน ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนนั้นจะมีในตอนเช้าๆจากสถานีวิทยุอะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว ท่านพูดในเรื่องอาหารบุปแฟ่นี้ว่า อาหารบุปแฟ่ ก็คืออาหารที่เราเดินไปตักกันเอาเอง เจ้าภาพหรือเจ้าของเขาจะทำอาหารหลายๆอย่างไม่จำกัดว่ากี่อย่าง แล้วนำมาวางเรียงกันไว้ บางทีก็แยกวางของหวานเอาไว้อีกทางหนึ่งจะได้ไม่มารุมตักในที่เดียวกัน

      ท่าน (ถนัดศรี) บอกว่าท่านเคยเห็นคนบางคน ถือจานเดินตักเสียล้นจาน ไม่ได้คำนวณเอาว่าตัวเราเองจะกินได้มากเท่าไร แค่นั้นยังไม่พอยังเอาอีกจานหนึ่งตักของหวานเสียจนเต็มจาน แล้วถือทั้งสองอย่างไปนั่งรับประทานอยู่คนเดียว เวลาผ่านไปรับประทานอย่างไรก็ไม่หมด ก็เลยต้องทิ้งจานซึ่งมีของเหลือบานเบะ ไว้ให้คนอื่นดูต่างหน้าเสียยังงั้นแหละขายหน้าเขาแย่เลยครับ แบบนี้ไม่ดีครับ ท่าน(ถนัดศรี)ว่า

     วิธีการกินอาหารแบบุปแฟ่ที่ดีนั้นผมขอบอกอย่างนี้ครับ ต้องอย่ารีบร้อน ในขั้นแรกนั้นไปหยิบจานช้อนมา แล้วถือไว้ก่อนอย่าเพิ่งรีบตักอะไร เดินสำรวจไปรอบๆเสียก่อนว่ามีอะไรที่เราชอบบ้าง แล้วก็หมายตาเอาไว้ จะสักกี่อย่างก็ตาม แล้วก็ค่อยๆมาตักอย่างละนิดละหน่อย คิดว่าจะกินหมดแล้วก็ไปนั่งกินก่อน ถ้าหมดแล้วยังไม่อิ่มดีหรือยังติดใจในรสชาติอะไรก็กลับมาเติมได้ อย่างนี้ละก็ไม่ขายหน้าเขาแน่ๆ อย่าเผลอไปตักอาหารมากเกินไปล่ะ กินไม่หมดอายเขาแย่เลยนะครับ

 

โหน่งกำลังรับประทานอาหารเช้าในห้องอาหารของโรงแรม

   อาหารที่ห้องอาหารของโรงแรมนี้ก็อร่อยดี มีทุกรูปแบบ ใครไม่กินข้าวเช้ากินกาแฟขนมปังไข่ดาวก็ได้ ไม่อั้นเหมือนกัน ทั้งหมดที่ผมว่ามาเกี่ยวกับโรงแรมนี้นั้นผมไม่ได้รับจ้างมาโฆษณานะครับ ผมมาพักทุกครั้งก็เสียเงินเต็มอัตรา ผมพูด (ด้วยตัวหนังสือ) ตามที่ผมได้รู้ได้เห็นมาอย่างนี้ ผมก็ว่าไปตามนี้ครับ

   รับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว ก็ขึ้นไปเอาสัมภาระของเราที่ห้องพักชั้น ๘ ด้านหลัง มองเห็นดอยสุเทพชัดเจนดี แล้วก็ไปบอกเจ้าหน้าที่ขอให้เขาไปเช็คของในห้องให้เราด้วย

  จ่ายเงินค่าที่พักกับเขาเรียบร้อย โหน่งก็ขับรถมารับที่หน้าโรงแรมพอดี ออกจากโรงแรมก็ ๘ นาฬิกาเศษๆแล้ว คิดว่าทำไมเวลามันช่างผ่านไปเร็วจริงๆ เรายังจะต้องเข้าไปดูที่ของเราเสียหน่อยด้วย ที่ของเราผืนนี้ซื้อไว้กว่า ๑๐ ปีมาแล้ว ซื้อเมื่อการเงินกำลังดี ก่อนที่เศรษฐกิจจะตกต่ำลงอย่างมากเมื่อปี ๒๕๔๐

   เมื่อตอนที่ซื้อใหม่ๆนั้นก็มาเชียงใหม่กันบ่อยๆ จะเป็นเพราะว่าเห่อที่ก็ได้ จัดแจงไปบอกเจ๊น้อยให้ช่วยไปหากิ่งลำไยที่พันธ์ดีๆมาให้ด้วย เจ๊น้อยแกก็ช่วยไปหาไปว่ากิ่งลำไยไว้ให้ แล้วต่อมาเจ๊น้อยแกก็บอกว่า กิ่งลำไยได้แล้วนะจะไปเอาเมื่อไรก็บอกก็แล้วกัน ไม่นานนักผมกับคุณหวานภรรยาก็ขับรถไปหาเจ๊น้อยที่เชียงใหม่ ไปรับแกที่บ้านแม่ริม แล้วพากันไปเอากิ่งลำไยที่เจ๊น้อยแกว่าไว้ที่ ลำพูนโน่น

   ได้มาแล้วก็หาคนในพื้นที่นั้นมาปลูกให้ หลังจากนั้นก็ไปดูต้นลำไยที่ได้จ้างเขาปลูกไว้เกือบทุกเดือน  มาปัจจุบันนี้ต่างหากเล่าที่ไม่ค่อยได้ไปเชียงใหม่เลย ลำไยที่ปลูกไว้ ออกลูกมา ๔ ครั้งแล้ว (๔ ปี) คนสวนที่จ้างให้ดูแลโทรบอกทุกปีว่า "เฮียปีนี้ลำไยดกมากนะจะมาเก็บกันหรือเปล่า ”  ใน ๔ ปีที่ลำไยออกลูกมาแล้วนั้น มีอยู่ปีเดียวที่ได้ไปเก็บ และก็ได้มาแค่นิดเดียวเพราะใส่ท้ายรถมามากไม่ได้ คิดแล้วไม่คุ้มอะไรเลย ตอนซื้อทีแรกไม่ได้คิดให้ดีเสียก่อน เรื่องที่ๆเชียงใหม่นี้ถ้าเล่าไปอีกก็ไม่จบง่ายๆ จึงเอาคร่าวๆแค่นี้แหละ เดี๋ยวเราไปดูของจริงกันดีกว่า 

  จากโรงแรมไม่นานนักก็กำลังจะผ่าน มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ที่มหาวิทยาลัยนี้ในปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่มาก มีอาณาเขตกว้างขวาง ซึ่งในอดีตนั้นเป็นเพียงโรงเรียนสอนเกี่ยวกับเรื่องของป่าไม่  พนักงานป่าไม้ในรุ่นเก่าๆโบราณนั้นก็มักจะจบที่โรงเรียนแห่งนี้แหละครับ
   เมื่อเลยมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไปได้สักหน่อย พวกเราก็ต้องสอดส่ายตาดูทางที่จะเลี้ยวยูเทิร์นกลับ ผมบอกโหน่งว่า วิ่งไปเรื่อยๆทางซ้ายมือจะมีป้ายบอกชื่อวัดว่า วัดห้วยเกี๋ยง เป็นภาษาไทย แล้วก็มีภาษาพม่าอยู่ข้างล่างด้วย นั่นแหละให้ยูเทิร์นกลับรถตรงนั้นเลย

  พอกลับรถแล้ว ทางด้านซ้ายมือก็จะเป็น   โรงเรียนวัดห้วยเกี๋ยง สุดรั้วโรงเรียนแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปเป็นถนนลาดยางอย่างดี เรียกว่าถนนเข้าไร่อาจารย์ประพัฒน์  เข้าไปตามถนนนี้ไม่นานนักก็จะถึงที่ของเรา ดูๆแล้วที่ของเรานี้ก็อยู่ด้านหลังของ มหาวิทยาลัยแม่โจ้นั่นเอง เพราะว่าเราย้อนกลับมาไกลพอดู

 

นายเฉินหลง ออกมาต้อนรับและพาเดินดูต้นลำใย (อยู่ทางซ้ายมือ ภาพนี้มองไม่เห็น)

     ไม่ถึง ๓ โมงเช้าดีเราก็วิ่งเข้ามาถึงไร่ของเรา นายเฉินหลง คนที่ผมให้เขาเป็นผู้ดูแลสวนนี้เห็นเข้า ก็มาต้อนรับยกมือไหว้ทักทายกันแบบกันเองเพราะว่าให้เขาดูแลสวนของเรานี้มาเป็น ๑๐ ปีแล้ว เหตุที่ให้นาย เฉินหลงเป็นผู้ดูแลนั้นก็เพราะว่า บ้านและไร่ของนายเฉินหลง ก็อยู่ใกล้ๆกับที่ของเรานั่นเอง เขาเป็นคนในพื้นที่เป็นคนที่นี่

      นายเฉินหลงเป็นผู้พาเราเดินดูต้นลำไยของเรา ซึ่งกำลังเจริญเติบโตเต็มที่ ซึ่งเราก็คิดว่ามันก็โตเร็วดีจริงๆเหมือนกัน ในตอนแรกๆที่ซื้อกิ่งเขาปลูกนั้นก็กิ่งเล็กนิดเดียว จนบัดนี้มันใหญ่มากแทบจะต้องเอาไม้มาค้ำแล้ว

 

  มาดูที่คราวนี้ได้รับข่าวที่น่ายินดีสำหรับที่ดินของเราเหมือนกัน คือว่า เทศบาลตำบลสันทรายได้เอาที่ดินในแถวๆนั้นให้มาอยู่ในเขตุเทศบาลแล้ว ถนนหนทาง น้ำ ไฟ โทรศัพท์คงจะได้รับการดูแลให้ดีขึ้น

ต้องการอ่าน ตอนจบคลิ๊กที่   ไปเชียงใหม่ ๕    

นายแก้ว ผู้เขียน

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้500
เมื่อวานนี้594
สัปดาห์นี้2115
เดือนนี้8373
ทั้งหมด1327707

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

2
Online