ค่ำวันหนึ่งในเดือน สิงหาคม ๒

เจ๊กวย (คนนั่งที่ ๒ จากขวา) กับญาติพี่น้องและเพื่อน เมื่อสมัยยังสาว

 " สมัยนั้นแม่จึงต้องหาเงินเองโดยทำขนมขาย ทำขนมบ้าบิ่น ถ้วยฟู ขนมตะไลสารพัดขนม ตอนนั้นที่บ้านเราเลี้ยงหมูด้วยต้องคอยให้อาหารและให้น้ำหมู ตัวเจ๊เองต้องทำงานหนักมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ไม่เคยบ่นเลย เพราะเป็นคนชอบทำงาน "

    เจ๊กวยหยุดพูดนิดหนึ่งแล้วหันมาทางผมซึ่งกำลังฟังอยู่ แล้วแกก็เล่าเรื่องของแกต่อ  " เจ๊เห็นแม่ทำงานแล้วเจ๊ก็รู้สึกสงสาร จนต้องออกปากขอช่วยทำงานด้วย ตอนนั้นเจ๊อายุซักประมาณ ๑๖ - ๑๗ ปีแล้ว โตเป็นสาวขึ้นมาก็ยิ่งมุมานะทำงานใหญ่ เรื่องโรงเรียนน่ะหรือหยุดเรียนไปนานแล้ว เรียนโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียนจบแค่ ป. ๔ ได้ก็บุญหนักหนาแล้ว ไม่ได้คิดไปเรียนต่อที่ไหนเลย "

     " ในตอนนั้นเจ๊ทำงานทุกอย่างแบบไม่เลือกงานเลย ออกรับจ้างหาบแตงโม รวมทั้งแบกกระสอบข้าว เนื่องจากทำงานหนักมามาก เจ๊จึงเป็นคนรูปร่างใหญ่คล้ายผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก อย่างแบกกระสอบข้าวสารหนักๆก็ได้สบายมาก พวกผู้ชายรุ่นเดียวกับเจ๊ยังทำไม่ได้อย่างเจ๊เล้ย.." แล้วเจ๊กวยแกก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

     " ผมถามต่อว่า แล้วในทีแรกเจ๊บอกว่า เป็นลูกคนสุดท้อง เจ๊ยังมีพี่อีก ๒ คน เขาไปอยู่เสียที่ไหนเล่า เจ๊ยังไม่ได้เอ่ยถึงเขาเลยนะครับ ผมขัดจังหวะเจ๊กวย "

      เจ๊กวยบอกว่า  "  พี่สาวกับพี่ชายไปทำงานในกรุงเทพฯ เขาก็ทำงานส่วนของเขา นานๆจะได้กลับมาเยี่ยมบ้านเสียที เขาไม่มีเงินทองมาให้ทางบ้านหรอก ลำพังพวกเขาอุตส่าห์ทำงานเพื่อเอาตัวรอดกันได้ก็ดีถมไปแล้ว " 

     แล้วเจ๊กวยก็พูดต่อโดยไม่ได้เอ่ยถึงพี่ชายและพี่สาวทั้งสองคนนั้นเลย

    " ตัวเจ๊เองทำงานทุกอย่างไม่เคยสนใจว่าตัวเองจะเหนื่อย ที่ต้องช่วยแม่ทำขนมและขายขนมด้วย เมื่อมีงานที่วัดในเทศกาลต่างๆก็จะยืนขายขนม อ้อยควั่น ถั่วต้ม ปลาหมึกบด ขนมถังแตก "

     " ในตอนที่ทำแรกๆนั้นแม่เจ๊จะเป็นคนทำให้ และก็จะสอนเจ๊ในขณะนั้นด้วย พอมาตอนหลังๆเจ๊ก็จะจำได้ และคิดว่าการทำขนมนั้น จะต้องมีการดัดแปลงบ้างเพื่อให้มันอร่อยยิ่งขึ้น จึงได้นำสูตรเก่าของแม่มาดัดแปลงเอาเอง " ผมบอกให้เจ๊ดื่มน้ำเย็นอีกครั้งหนึ่ง

      " เจ๊ทำขนมออกขายจนลูกค้าซื้อไปกินติดใจ ของจึงขายดิบขายดีขายหมดทุกวัน จนแม่พูดกับเจ๊บ่อย ๆ ว่าถ้าอยากได้อะไรให้ไปขายของเอา เลยทำให้เจ๊จำได้มาจนถึงทุกวันนี้ว่าอยากได้อะไรก็ต้องทำงาน "

      " จะบอกให้นะ เจ๊ไม่ได้โอ้อวดหรอกแต่ดูเหมือนว่า   เจ๊จะเป็นคนที่มีความสามารถมาก  ทำอะไรได้ทุกอย่าง บางอย่างที่ไม่เคยทำและทำไม่เป็น ขอแค่ให้เจ๊ได้ไปยืนมองตัวอย่างประเดี๋ยวเดียวก็ทำได้แล้ว  และจะทำได้ดีกว่าของเดิมสียอีก "

      " ที่เป็นดังนี้ไม่ใช่ว่าเจ๊จะวิเศษกว่าคนอื่นเขาหรอกนะ อาศัยว่าตัวเองเป็นคนช่างจดช่างจำและขยันเท่านั้นแหละ "

        "  ด้วยความลำบากของเจ๊นี่เอง ทำให้เจ๊ได้เรียนหนังสือแค่ชั้นประถม ๔ ดังได้บอกมาแล้ว แต่เจ๊ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะมีปมด้อยอะไร เนื่องจากตัวเจ๊เองเป็นคนชอบทำงานอยู่แล้ว จึงไม่ได้คิดว่าจะกลับมาเรียนอีกในภายหลัง ในเมื่อตัวเราไม่ได้เรียนเพราะไม่มีโอกาส จึงได้ตั้งความหวังไว้ว่าถ้าเรามีลูก จะต้องส่งลูกเรียนหนังสือให้สูงๆ เพื่อทดแทนตัวเจ๊เองที่ไม่มีโอกาสได้เรียน"

      " แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นแค่ความฝัน แต่เจ๊ก็อยากจะให้เป็นอย่างนั้น ในตอนนั้นก็คิดเอาเองล่วงหน้าไปก่อน ถ้าถึงเวลาจริงๆแล้ว มันจะได้เป็นอย่างที่คิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ " เจ๊กวยทำท่าส่ายหน้าแล้วพูดต่อไปอีก

      " สมัยเมื่อเจ๊เป็นเด็กนั้น เคยคิดและฝันเอาว่าเมื่อตัวเองเมื่อโตขึ้น ก็อยากจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนเด็กทั่วๆไป แต่บอกตรงๆนะที่เจ๊อยากจะเป็นมากที่สุด คือเป็นช่างตัดเสื้อผ้า ช่างดัดผมและเสริมสวย งานเหล่านี้มันเป็นงานของผู้หญิงทั่วไป "

      " พอตัวเองโตหน่อย และในตอนนั้นก็พอจะมีเงินบ้างแล้ว จึงคิดว่าเราควรจะทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้ดูเป็นหลักแหล่ง ไม่ใช่ขายของขายขนมไปวันๆ ก็เลยตัดสินใจยอมเสียเงินก้อนหนึ่งซึ่งเก็บมานาน ไปเรียนวิชาตัดเสื้อกับญาติคนหนึ่ง ซึ่งเขาก็ไม่ได้เอาค่าเล่าเรียนแพงมากมายนัก"

      " ในเวลาไม่นานนักก็เรียนจนพอ ที่จะออกร้านได้แล้ว จึงได้กั้นส่วนหนึ่งที่บ้านห้องแถวในตลาดเพื่อทำเป็นที่ตัดเสื้อผ้า และก็รับสอนเด็กที่อยากจะเรียนในด้านนี้เป็นอาชีพด้วย จากนั้นจึงมาขอเรียนวิชาเสริมสวยเพิ่มเติมจากญาติคนเดิมอีก"

     "  เจ๊ขอบอกก่อนนะว่า การเรียนวิชาตัดเสื้อดัดผม ในสมัยก่อนนั้น ต้องอาศัยความอดทนมากมาย เพราะว่าตลาดเจ็ดเสมียนในสมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องใช้ตะเกียงเจ้าพายุจุด เพื่อเป็นแสงสว่าง ต้องใช้สายตาในการเพ่งค่อนข้างสูง"

       " เมื่อได้เรียนและมีประสบการณ์แก่กล้าขึ้น เจ๊จึงได้เปิดสอนตัดเสื้อและดัดผมทั้งสองอย่างควบคู่กันไปเลย ในห้องแถวที่ตลาดเจ็ดเสมียนนั้นเอง คนในละแวกวัดเจ็ดเสมียนและตำบลใกล้เคียงนั่นแหละที่เป็นลูกค้าเจ๊ บางคนที่สนใจถึงกับมาเรียนกันก็ไม่ใช่น้อย "

เจ๊กวยกับเพื่อนสนิทได้ไปเที่ยวกันที่ปร่าสาทหินพิมาย

      "ระหว่างที่เปิดสอนตัดเสื้อดัดผมอยู่นั้น บุญพาวาสนาส่งให้เจ๊ได้พบรัก กับชายหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อนายยิ่นเซียม แซ่โค้ว (หรือเฮียง้วน) ในสุดท้ายเมื่อดูใจกันมานานพอสมควร ก็ได้แต่งงานกัน"

     "ในตอนนั้นเมื่อเจ๊แต่งงานแล้ว ก็จำเป็นต้องย้ายจากเจ็ดเสมียน ไปอยู่ที่บ้านของสามีในตลาดอำเภอโพธาราม เจ๊จึงได้เลิกเรื่องการตัดเสื้อดัดผมเสียตั้งแต่นั้น ทั้งๆที่เสียดายเป็นอย่างมาก"

      "  เจ๊ไปอยู่ที่บ้านของสามีที่ตลาดโพธาราม ได้แค่ปีกว่าๆก็รำคาญที่ไม่ได้ทำอะไร ต้องขออนุญาตพ่อของสามี หอบหิ้วกันกลับมาอยู่ ที่ตลาดเจ็ดเสมียนกันอีกครั้งหนึ่ง กลับมาครั้งนี้ก็ได้มาดูแลแม่ซึ่งป่วยเป็นอัมพาตด้วย"

 

    นายง้วนและเจ๊กวย หลังจากกลับมาอยู่บ้านที่ตลาดเจ็ดเสมียนแล้ว ก็มุมานะสร้างตัวเป็นการใหญ่

     ตอนนั้น เจ๊กับสามี  (คือนายง้วน) จึงต้องทำงานหนักกันอีกครั้งหนึ่ง  สามีทำงานส่งน้ำแข็ง เจ๊ก็หันมาเลี้ยงหมูเหมือนกับว่าจะได้ช่วยกัน ทำงานหาเงินอีกแรงหนึ่ง แต่เลี้ยงได้ไม่นานนักก็ขาดทุนมาก เพราะว่าไม่ค่อยมีความชำนาญ จึงได้เลิกไป"

     " ต่อมาเจ๊กับเฮียง้วน หันมาจับอาชีพใหม่ทั้งๆที่ไม่เคยทำมาก่อน (เจ๊กวยไม่ได้บอกว่าใครแนะนำให้ทำอาชีพนี้ ) มาเป็นผู้แทนจัดหนังเร่ ไปฉายตามที่ต่างๆ  ที่ภาคใต้นั้นได้ไปเร่หนังกันมากที่สุด ทำให้ฐานะทางการเงินของเราดีขึ้นมีกำไรดี เพราะที่ภาคไต้นี้มีผู้คนนิยมชมชอบมาดูหนังเร่กันเยอะมาก"

     " จากเดิมเจ๊พูดภาษาใต้ไม่เป็น พอได้เดินทางไปบ่อยๆ ก็พูดได้บ้างยืนพูดที่หน้าโรงหนัง เรียกคนให้มาดูเป็นที่สนุกสนานมาก สามีเจ๊กับเจ๊ในตอนหลังๆต้องสลับกันขึ้นลงภาคใต้เป็นว่าเล่น เพื่อผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลลูกที่ตลาดเจ็ดเสมียนซึ่งยังเล็กอยู่"

     " จนในที่สุดวันเวลาผ่านไป ก็หมดยุคทองของพวกหนังเร่ กิจการหนังเร่เริ่มขาดทุน เจ๊กับสามีเป็นหนี้เป็นสินท่วมท้น ถูกฟ้องร้องเรื่องเงินจนถูกตำรวจจับหลายครั้ง  แต่ละครั้งก็โชคดีที่ได้คุยกับเจ้าหนี้ได้ เจ้าหนี้บางคนก็ยังมีความปราณีให้ผ่อนใช้เป็นงวดๆได้ สุดท้ายก็ทำงานได้เงินมาผ่อนจนหมด"

      "ในตอนนั้นเรียกว่าเป็นความตกอับ อับจนที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ในครอบครัวของเรา เจ๊มานั่งคิดดูมีความรู้สึกกับตัวเองว่า ยิ่งขยันมากตัวเรากลับยิ่งจนมากไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร อย่างนี้จะโทษโชควาสนาได้หรือไม่ ทั้งๆที่ตัวเองก็ขยันที่สุดแล้ว แต่ถึงแม้ว่าตัวเองจะยากจนค่นแค้นเป็นหนี้เป็นสินรุงรังเพียงไร" (จากการเร่หนังระยะสุดท้าย)

     " สิ่งหนึ่งที่เจ๊ยังทำอยู่เสมอคือ พยายามหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายของลูก ดูแลลูกและส่งเสียเรื่องการเล่าเรียนของลูก ด้วยความปราถนาสิ่งเดียวคือให้ลูกทุกคนได้เรียนให้มากที่สุด เจ๊ยอมแม้เป็นหนี้คนอื่น เพื่อให้ลูกได้เรียนหนังสือมากที่สุดเท่าที่เขาต้องการ ให้สมกับที่ได้ตั้งใจเอาไว้นานมาแล้ว แม้ว่าเจ๊จะเป็นหนี้เขาซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ตาม ....!  "

 

  ค่ำวันหนึ่งในเดือนสิงหาคม ๒ นายแก้ว เขียน

  อ่านต่อคลิ๊กที่  อ่านตอน ๓ เป็นตอนสุดท้าย

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้27
เมื่อวานนี้292
สัปดาห์นี้815
เดือนนี้27
ทั้งหมด1343617

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online