อุบัติเหตุของครูแอ๋ว
ครูแอ๋ว เป็นครูสอนหนังสือโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในตำบลท่าราบ อำเภอเมืองราชบุรี ซึ่งมีเขตติดต่อกับตำบลเจ็ดเสมียน อำเภอโพธาราม โรงเรียนนี้สอนตั้งแต่ชั้น อนุบาล ๑ – ป. ๖
ครูแอ๋วสอนอยู่โรงเรียนนี้มาหลายปีแล้วจนใกล้เกษียณ โชคดีที่บ้านของครูแอ๋วอยู่ใกล้โรงเรียน เธอจึงเดินไปโรงเรียนโดยไม่ต้องขึ้นรถขึ้นรา ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้พอสมควร
ทุกวันเสาร์ครูแอ๋วต้องเข้าเมืองราชบุรี เพื่อไปหาซื้อของกินของใช้สำหรับสัปดาห์ต่อไป วันนี้ก็เช่นกัน ครูแอ๋วเดินทางจากบ้านโดยรถสองแถวที่วิ่งประจำทางซึ่งผ่านซอยบ้านครูแอ๋ว
รถสองแถวนี้วิ่งระหว่างอำเภอโพธาราม ถึงตัวเมืองราชบุรีตามเส้นทางถนนเพชรเกษมสายเก่า ซึ่งมีรถสองแถวสายนี้เท่านั้นที่วิ่งประจำอยู่ รถสายอื่นๆที่เข้าเมืองราชบุรีจะไปวิ่งถนนสายนอกกันหมด
ส่วนใหญ่รถสองแถวสายโพธาราม - ราชบุรีนี้มีสภาพค่อนข้างเก่า และนานๆจะมาสักคัน ปัจจุบันนี้รถสองแถวหลายสายได้เปลี่ยนเป็นรถบัสขนาดเล็กแทนแล้ว
ปัจจุบันนี้รถสองแถวหลายสายได้เปลี่ยนเป็นรถบัสขนาดเล็กแทน
เมื่อครูแอ๋วซื้อของที่ต้องการเสร็จแล้ว จึงหิ้วของเดินมารอรถที่ป้ายรถเมล์ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว ประกอบกับเป็นวันหยุด จึงมีผู้คนเดินขวักไขว่อยู่ทั่วไป มีคนรอรถประจำทางเป็นจำนวนมากเพราะป้ายนี้มีรถประจำทางผ่านหลายสาย
รอสักพักรถสายโพธาราม – ราชบุรีก็มาถึง บนรถมีคนนั่งอยู่แล้วสองสามคน ดูเหมือนว่าคนที่รอรถที่ป้ายนี้ ส่วนใหญ่จะไปรถสายนี้ทั้งนั้น พอรถมาถึงผู้คนก็เบียดเสียดกันขึ้นรถ แต่ละคนล้วนแต่หิ้วของพะรุงพะรัง
รถสองแถวจะมีที่นั่งผู้โดยสารเป็นสองแถวหันหน้าเข้าหากัน มีที่ว่างตรงกลางไว้วางสัมภาระของผู้โดยสาร แต่ตอนนี้ที่ว่างตรงกลางมีผู้โดยสารยืนเต็มไปหมด จนแทบจะไม่มีที่วางของ คนที่ได้ที่นั่งจึงต้องถือของไว้บนตักของตัวเอง
รถที่ครูแอ๋วขึ้นนั่งในตอนนั้นมีลักษณะเป็นรถสองแถวอย่างนี้
โชคดีที่ครูแอ๋วได้ที่นั่งจึงไม่ต้องยืนเหมือนคนอื่น ครูแอ๋วจึงมีเวลามองสำรวจผู้โดยสารในรถ พบว่ามีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย มีทั้งคนแก่และเด็ก เมื่อผู้โดยสารขึ้นรถหมดแล้ว คนขับจึงนำรถออกจากป้าย
ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลอง ผ่านกรมทหารช่าง ห้างบิ๊กซี เลี้ยวขวาข้ามทางรถไฟ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเพชรเกษมสายเก่า มุ่งหน้าสู่โพธาราม อ้อ! ลืมบอกไปว่ารถสองแถวคันนี้ไม่มีกระเป๋ารถคอยเก็บค่าโดยสาร เมื่อถึงที่หมาย พอผู้โดยสารลงจากรถก็จะเดินไปส่งค่าโดยสารให้คนขับเอง
เมื่อรถวิ่งไปตามเส้นทาง ถนนเพชรเกษมสายเก่าได้ประมาณสิบนาที ทันใดก็มีเสียงดังปังใหญ่ทางด้านหน้ารถ ครูแอ๋วและผู้โดยสารในรถต่างก็รู้สึกว่ารถแฉลบลงข้างทางแล้วหยุดนิ่ง
ทุกคนในรถรู้สึกตกใจเป็นที่ยิ่งนัก เสียงผู้โดยสารคนหนึ่งพูดมาว่า “ไม่รู้ระเบิดหรือเปล่า” เท่านั้นแหละ ทุกคนต่างก็เบียดเสียดลงจากรถ เรียกว่าหนีตายเป็นที่จ้าละหวั่น รวมทั้งครูแอ๋วด้วย ตอนนี้ไม่มีใครสนใจข้าวของที่ซื้อมาหรอก ขอเพียงให้รอดตายไว้ก่อนเท่านั้น
เมื่อผู้โดยสารลงจากรถหมดแล้ว ก็ไปยืนรวมกันข้างทางห่างจากรถสองแถวตัวต้นเหตุพอสมควร พอทุกคนหายตกใจ จึงพบว่าข้าวของที่ซื้อมาไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด
บางคนรองเท้าแตะที่สวมมาก็หายไปด้วย (คนที่นี่เขานิยมสวมรองเท้าแตะกันทั้งนั้น) บางคนเหลือรองเท้าข้างเดียวก็มี เสียงเด็กร้องไห้จ้าเพราะตกใจและถูกเบียดอย่างแรง
ตอนนั้นครูแอ๋วรู้สึกหน้ามืดเหมือนจะเป็นลม จนผู้โดยสารคนอื่นต้องช่วยกันประคองและเอายาดมให้ดม เสียงครูแอ๋วบ่นพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์อยู่ตลอดเวลา
สักครู่คนขับรถก็เดินมา บอกผู้โดยสารว่าสาเหตุเกิดจากยางล้อหน้าด้านซ้ายเกิดระเบิดเพราะใช้งานมานาน เถ้าแก่แกไม่ยอมเปลี่ยนยางให้เสียที อย่างไรก็ตามรถคงวิ่งต่อไปไม่ได้ ให้ผู้โดยสารรอรถคันหลังแล้วกัน
“ เดี๋ยวผมจะคอยโบกรถให้” คนขับรถบอก แล้วคนขับก็เดินไปสำรวจในที่นั่งของผู้โดยสาร พบว่ามีข้าวของของผู้โดยสารเกลื่อนกระจายไปหมด มีรองเท้าแตะกว่าสิบคู่ตกอยู่ คนขับจึงรวบรวมของเหล่านั้นมาให้ผู้โดยสารดูว่าเป็นของใครก็ให้เลือกเอาของตัวไป
“เกือบลืมไป อันนี้เป็นของใครครับ ผมเจอมันตกอยู่ในรถ” แล้วคนขับก็ล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของเขา มันคือฟันปลอมหนึ่งชุด ที่บอกว่าเป็นชุดเพราะมีทั้งสำรับบนและสำรับล่าง
แสดงว่าเจ้าของไม่มีฟันจริงเหลืออยู่เลย เป็นฟันปลอมทั้งปาก ในใจของคนขับคิดว่าต้องเป็นของคนแก่แน่นอน คงไม่ใช่ของคนหนุ่มสาวหรอก
ปรากฏว่าเงียบไม่มีใครแสดงตัวเป็นเจ้าของฟันชุดนี้ แม้ว่าคนขับจะได้ถามซ้ำอีกหลายครั้ง ในที่สุดคนขับจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าไม่มีของใคร ผมจะทิ้งไปนะ ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม”
ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดแทรกขึ้นว่า “อย่าทิ้งเลย น่าเสียดายของดีดี เผื่อมีเจ้าของเขาจะได้มาขอรับคืน”ทุกคนหันไปตามเสียงนั้น ปรากฏว่าเป็นเสียงของครูแอ๋วที่กำลังดมยาดมอยู่นั่นเอง
“เอาอย่างนี้แล้วกันผมจะเก็บไว้ก่อน ถ้าใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง ก็ตามไปเอาที่คิวรถผมที่โพธารามก็แล้วกัน”คนขับรถบอก “แต่ผมจะเก็บไว้ให้แค่วันเดียวนะ ถ้าไม่มีเจ้าของจริงๆ ผมจะได้ทิ้งไป”
เย็นวันนั้นที่คิวรถโพธาราม ขณะที่คนขับรถสองแถวคันเกิดเหตุกำลังรอจะเข้าคิวเป็นคันต่อไป เขาก็เห็นหญิงวัยกลางคน ที่เป็นลมเมื่อตอนเที่ยงเดินตรงเข้ามาหา
เขาจึงร้องถามไปว่า “คุณป้า มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ป้าจะมาถามว่าฟันปลอมชุดนั้น ยังอยู่หรือเปล่า” คนขับรถอมยิ้มแล้วพูดทีเล่นทีจริงว่า “อ๋อ ! ฟันปลอมชุดนั้นหรือครับ มีคนมารับไปแล้วครับ”
ครูแอ๋วถึงกับสะดุ้งหน้าซีดเผือด รำพึงอยู่ในใจว่าเป็นไปได้อย่างไร ก็ฟันชุดนี้มันของฉันนี่หว่า !แล้วเธอก็พูดกับคนขับรถอย่างไม่พอใจว่า “ให้ไปได้อย่างไร ก็ฟันนี้มันเป็นของฉันนี่นา”
คนขับรถถึงกับหัวเราะก๊ากออกมา แล้วพูดว่า “ผมนึกแล้วว่าต้องเป็นของคุณป้า”
ครูแอ๋วถามกลับไปว่าทำไมถึงรู้ล่ะ
“ก็คุณป้าไม่ใช่หรือที่เป็นคนบอกผมเองว่า อย่าเอาไปทิ้งเลยเสียดาย เผื่อมีเจ้าของเขาจะได้มารับคืน และผมก็สังเกตเห็นว่ามีคุณป้าคนเดียวที่ไม่มีฟันทั้งปาก ผมเลยแน่ใจว่ามันเป็นของคุณป้าแน่ๆ เมื่อกี้ผมแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”
ว่าแล้วคนขับรถก็หยิบฟันปลอมชุดนั้นคืนให้ครูแอ๋วไป คนขับรถคิดในใจว่า ตอนที่รถเกิดยางระเบิด ป้าแกคงตกใจมากจนฟันปลอมกระเด็นออกจากปากไม่รู้ตัว
เมื่อคนขับรถถามหาเจ้าของฟัน แกคงอายจึงไม่ยอมรับตั้งแต่แรก และที่แกบ่นพึมพำตลอดเวลาตอนที่จะเป็นลมนั้น ป้าแกคงบ่นว่า ฟันฉันหาย ฟันฉันหาย ! อะไรทำนองนั้นแน่ๆเลย...
เขียนโดย อ. ปลาทอง
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๓