คนเลี้ยงไก่ ๒ ( ลูกผู้ชายชื่อนายอุ่น )

     

    หลังจากที่นายอุ่นตัดสินใจเลิกเลี้ยงไก่ แกได้กลับไปทำงานก่อสร้างตามเดิม ซึ่งเป็นที่ดีใจของช่างเอก ผู้รับเหมาที่เป็นหัวหน้าเก่าของนายอุ่น เพราะนายอุ่นเป็นคนใจเย็นและมีฝีมือในการทำงานก่อสร้าง

    จนถึงขั้นที่ช่างเอกเคยมอบหมายให้แก เป็นผู้ควบคุมดูแลคนงานก่อสร้างทั้งหมดมาแล้ว ก่อนหน้านี้ช่างเอกได้บอกนายอุ่นว่าถ้าเปลี่ยนใจเลิกเลี้ยงไก่ ก็ขอให้กลับมาทำงานร่วมกันเหมือนเดิม

    มาครั้งนี้เนื่องจากงาน รับเหมาก่อสร้างของช่างเอกมีมากขึ้น คนงานก็มากขึ้น ช่างเอกจึงขอให้นายอุ่นเป็นผู้ควบคุมดูแลคนงานก่อสร้าง เหมือนที่เคยทำและให้นายอุ่นช่วยตรวจสอบงานที่คนงานทำด้วย  โดยช่างเอกได้เพิ่มค่าแรงให้จนเป็นที่พอใจของนายอุ่น
 
   เมื่อนายอุ่นกลับไปทำงานก่อสร้างอีกครั้ง ก็ได้ซื้อรถมอเตอร์ไซด์ใหม่คันหนึ่ง ซึ่งนายอุ่นอยากได้มานานแล้ว ประกอบกับตอนนี้นายอุ่นจะต้องดูแลคนงานหลายที่ แล้วแต่งานที่ช่างเอกรับเหมาไว้

    จึงเป็นการสะดวกถ้ามีรถมอเตอร์ไซด์ไว้ใช้สักคัน เดิมนายอุ่นได้แต่อาศัยซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ ของนายโชคคนข้างบ้านที่ทำงานอยู่ด้วยกัน นายอุ่นซื้อรถคันนี้ด้วยเงินผ่อน หลังจากคำนวณค่าแรงที่ได้รับใหม่ก็เห็นว่า พอจะผ่อนรถได้ไม่เดือดร้อน
 
   ส่วนนางแหวนเมียของนายนายอุ่นนั้น ก็ได้คิดการที่จะช่วยหารายได้เข้าบ้าน โดยทำขนมหวานเย็นตั้งเป็นโต๊ะเล็กๆขายให้คนเดินผ่านไปมาหน้าบ้าน มีลูกสะใภ้คอยช่วยอีกแรง กำไรที่ได้ในแต่ละวันก็พอเป็นค่ากับข้าวในบ้านได้
 
   มองดูแล้วทุกอย่างก็น่าจะเป็นไปด้วยดี ถ้าไม่มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น.. !!
 
   ปกติเมื่อเลิกงานนายอุ่นจะกลับบ้านไม่แวะเวียนไปที่ไหน แต่พักหลังๆ นางแหวนสังเกตเห็นว่านายอุ่น มักจะกลับบ้านมืดค่ำโดยเฉพาะวันที่เงินค่าแรงออก

    นางแหวนแอบไปถามนายโชคคนข้างบ้าน ที่ทำงานที่เดียวกับนายอุ่น จึงรู้ว่าวันที่ค่าแรงออกช่างเอกมักจะชวนนายอุ่นและคนงานหลายๆคน ไปดื่มกินตามร้านอาหาร ช่างเอกบอกว่าเมื่อเราทำงานหนัก เราก็ต้องให้รางวัลกับชีวิตบ้าง ซึ่งนางแหวนก็รับรู้โดยไม่ว่ากระไร
 
    ต่อมาวันหนึ่งซึ่งไม่นานนัก

    “แม่ แม่  เพื่อนฉันที่มันทำงานที่ร้านขายมอเตอร์ไซด์ที่พ่อไปซื้อ มันบอกว่าพ่อขาดส่งค่ารถสองงวดแล้ว มีอะไรหรือเปล่า” นายอ๊อดลูกชายคนโตเล่าให้นางแหวนฟัง

     “จริงหรือเจ้าอ๊อด  นี่แม่ก็กำลังสงสัยอยู่ว่าเงินค่าแรงที่พ่อแก ให้แม่เป็นค่าใช้จ่ายในบ้านดูชักจะน้อยลงทุกที พอถามพ่อก็บอกว่าโรคปวดเข่าปวดกระดูกมันกำเริบ ต้องไปหาหมอที่คลินิกซึ่งค่ายาแพงมาก มันชักจะยังไงเสียแล้วนะ พ่อแกน่ะ”

     นางแหวนบ่นด้วยเสียงอันดังพร้อมทั้งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ระคนไปด้วยความสงสัย
 
   เรื่องนี้นางแหวนได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจและครุ่นคิดมาตลอด เรื่องที่ว่านายอุ่นจะประพฤตินอกลู่นอกทางนั้น นางแหวนมั่นใจว่าไม่มีอย่างแน่นอน

   เพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาสามสิบกว่าปี จนอายุล่วงเข้าจะหกสิบปีแล้ว นายอุ่นไม่เคยมีเรื่องเสียหายทำนองนี้เลย นายอุ่นได้ชื่อว่าเป็นคนขยันทำงานและรักครอบครัวมาก
 
   “พี่แหวน พี่ไปดูพี่อุ่นหน่อยสิ ฉันว่าแกชักจะไปกันใหญ่แล้วหละ”  นายโชคคนข้างบ้านแอบมากระซิบกระซาบกับนางแหวน

   “มันเรื่องอะไรกันหรือ โชค” นางแหวนกระซิบถาม

   “เอาไว้พี่ไปดูพี่อุ่นแกด้วยตัวเองก็แล้วกัน นี่ฉันจดชื่อสถานที่นั้นมาให้พี่แล้ว พี่ชวนไอ้อ๊อดไปเป็นเพื่อนด้วยก็จะดี นะพี่นะ”
 
    สถานที่ที่นายโชคบอกนางแหวนก็คือ ห้องอาหารแห่งหนึ่งที่บริการอาหารและเครื่องดื่ม ในละแวกที่ช่างเอกไปรับเหมาก่อสร้างนั่นเอง

   นอกจากจะมีอาหารเครื่องดื่มแล้ว ทางร้านยังจัดให้มีนักร้องหุ่นเซ็กซี่ แต่งตัววาบหวิวที่ทั้งร้องทั้งเต้น เป็นการเรียกลูกค้าไปด้วยในตัว ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเป็นขาประจำ ที่มาพักผ่อนหย่อนใจเพื่อคลายเครียด

   หนึ่งในจำนวนขาประจำนั้น ก็คือกลุ่มของช่างเอกที่มีนายอุ่นรวมอยู่ด้วยนั่นเอง

   วันนี้ก็เช่นกัน นายอุ่นใส่เสื้อยืดสีเขียวที่เพิ่งซื้อใหม่ แกได้รับคำชมจากพวกร่วมก๊วนว่าทำให้ดูหนุ่มขึ้นเป็นกอง  นายอุ่นจึงค่อนข้างจะครึ้มอกครึ้มใจเป็นพิเศษ

   นักร้องสาวบนเวทีเล็กๆของร้านอาหารแห่งนั้น ต่างก็เปลี่ยนหน้ากันขึ้นมาร้อง และเต้นในชุดที่นุ่งน้อยห่มน้อย  ในวันนี้เนื่องจากเป็นวันสิ้นเดือน ลูกค้าจึงค่อนข้างจะหนาแน่นและคึกคักกว่าทุกวัน

   ทุกคนต่างก็ดื่มกินสังสรรค์กันด้วยความสนุกสนาน เหมือนกับที่ช่างเอกแกบอกว่า เราทำงานมาเหนื่อยแล้ว เราก็ต้องให้กำไรแก่ชีวิตเราบ้าง
 
    เมื่อนักร้องคนโปรดของนายอุ่นขึ้นมาร้องและเต้น “เชฟบ๊ะ.. เชฟบ๊ะๆๆ..” นายอุ่นซึ่งดูท่าจะดื่มไปไม่น้อย ได้นำพวงมาลัยที่มีแบงค์ร้อยติดไว้หลายใบเป็นพวง ดูท่าจะไม่ต่ำกว่า ๕-๖ ใบเป็นแน่ 

  แกลุกเดินไปคล้องคอนักร้องจนถึงขอบเวที เรียกเสียงปรบมือจากลูกค้าทั้งหลายกราวใหญ่ 
 
  แต่ทันใดนั้นนายอุ่นก็ต้องสดุ้งเฮือกสุดตัว เหมือนโดนฟ้าผ่ากลางหัวเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นๆมานาน

  “ไอ้เสื้อเขียว ไอ้เสื้อเขียว กูทนไม่ไหวแล้วโว้ยเป็นอย่างนี้นี่เอง มึงกลับบ้านเดี๋ยวนี้ไอ้อ๊อด มาลากพ่อมึงกลับบ้านเร็วๆ”

   นางแหวนซึ่งมาแอบดูพฤติการณ์ของนายอุ่นตั้งแต่หัวค่ำ ระเบิดเสียงลั่นห้องอาหารด้วยความโมโหสุดขีด พร้อมทั้งแกว่งมีดอีโต้เล่มใหญ่ในมืออยู่ไปมา  ทำเอาลูกค้าคนอื่นๆต่างตกใจแตกฮือไปตามๆกัน
 
  “พี่แหวน ใจเย็นๆไม่มีอะไรหรอกน่า อย่าไปว่าพี่อุ่นแกเลย ฉันเป็นคนชวนแกมาเองแหละ”

    ช่างเอกเมื่อเห็นเหตุการณ์ก็พยายามเข้าไปไกล่เกลี่ย  แต่นางแหวนเลือดขึ้นหน้าเสียแล้ว  นางและเจ้าอ๊อดลูกชายช่วยกันฉุดกระชากนายอุ่น ออกจากห้องอาหารโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น

    ส่วนการที่นายอุ่นจะถูกลงทัณฑ์อย่างไรเมื่อกลับถืงบ้านแล้วนั้น ก็ยากที่จะเดา เพราะตั้งแต่วันนั้นนายอุ่นก็ยุติการสังสรรค์กับพรรคพวกไปโดยปริยาย
 
    เดี๋ยวนี้นายอุ่นได้แต่ชวนลูกน้องมาสังสรรค์ที่บ้านแทน ซึ่งนางแหวนก็ไม่ว่าอะไร เพราะอย่างน้อยนายอุ่นก็อยู่ในสายตาของนาง แต่เรื่องที่นางแหวนไปอาละวาดที่ห้องอาหารครั้งนั้น ยังเป็นที่ล้อเลียนของพรรคพวกนายอุ่นมาตลอด
 
   “พี่อุ่น เดี๋ยวนี้พี่ไม่ได้ไปสังสรรค์นอกบ้านเลยนะ พี่ไม่คิดถึงแม่เชฟบ๊ะบ้างหรือไง”

    พวกลูกน้องล้อเลียน ทำเสียงกระซิบกระซาบ
   “พวกมึงอย่าพูดดังไป หน้าต่างมีหูประตูมีตานะมึง” นายอุ่นพูดพลางเหลียวซ้ายแลขวา “เดี๋ยวกูจะเดือดร้อนอีก
แต่ถ้าจะไปกูคงใส่เสื้อเขียวไปไม่ได้แล้ว ต้องเปลี่ยนเป็นใส่เสื้อลายแทน”
 
   “ต่อให้มึงใส่เสื้อลาย กูก็จะตามไปลากคอมึงกลับบ้าน มึงไม่อายผู้คนก็ให้มันรู้ไป ตาอุ่น” นางแหวนยืนมองตาเขียว แกมายืนข้างหลังวงสังสรรตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีใครรู้พร้อมมีดอีโต้ในมือ ทำเอาทุกคนหน้าซีดไปตามๆกัน
 
   “ฉันพูดเล่นน่ะแม่แหวน ไม่ว่าเสื้อเขียวหรือเสื้อลาย ฉันก็ไม่ไปอีกแล้วจ๊ะ รับรองได้  แหะ...แหะ..!

 

เขียนโดย อ.ปลาทอง ๒๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๓

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้769
เมื่อวานนี้746
สัปดาห์นี้3130
เดือนนี้9388
ทั้งหมด1328722

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online