ไพบูล ฉายอรุณ (ซื้อที่ดิน ๒)

 

  ที่ดินจำนวน ๔ ไร่ ของนายฐานที่เราต้องการจะซื้อและได้เข้าไปดูก่อนวันที่ซื้อ เรายืนถ่ายรูปกันที่ตอนท้ายๆสวน ข้างหลังเราที่เห็นลิบๆนั้นคือด้านหน้าที่ติดถนน ที่ดินนี้มีรั้วลวดหนามกั้นไว้ใหม่ๆโดยรอบแล้ว. 

  จากวันที่ผมติดต่อซื้อที่ดินของนายเฉลียวผ่านมาปีกว่าๆ ก็ไม่ได้ยินใครมาพูดว่าจะมีคนขายที่ดินในละแวกนี้อีก

  ส่วนผมก็ไม่ได้รีบเร่งในเรื่องที่จะซื้อที่ดินอีกเลย ตั้งแต่เรื่องซื้อที่ดินของนายเฉลียวและมีเหตุจำเป็นจนกระทั่งเจ้าของเขาไม่ขายแล้วก็แล้วกันไป ผมและครอบครัวก็ยังพักอยู่ที่ร้านค้าริมถนนตรงข้ามมหาวิทยาลัยราชมงคลของผมตามเดิมนั่นเอง

   อยู่มาวันหนึ่งในตอนเช้า ยายพงษ์ คนเก่าที่เคยพาผมไปซื้อที่นายเฉลียวเมื่อปีกว่ามาแล้ว เดินกระโผลกกระเผลกเพราะแกปวดเข่ามานานแล้ว มาถ่ายเอกสารที่ร้านผมอีก ในขณะที่ยืนรอให้ผมถ่ายเอกสารให้นั้น เราก็คุยกันในเรื่องต่างๆตามประสาคนรู้จักกัน แล้วอยู่ๆก็วกกลับมาคุยกันเรื่องที่ดินอีก

   ในตอนหนึ่งยายพงษ์แกบอกว่า “เฮีย...ในตอนนี้เฮียยังต้องการซื้อที่ดินอีกหรือเปล่า “ ผมถามแกว่า “ยายพงษ์มีที่ดินอะไรที่ไหนมาบอกผมอีกล่ะ แบบคราวที่แล้วไม่เอานะ เสียเงินมัดจำไปสองหมื่นฟรีๆแท้ๆ” ผมพูดเย้าแหย่ยายพงษ์แกเล่น

  เพราะผมก็รู้ว่าเมื่อตอนที่ยายพงษ์แกพาผม ไปซื้อที่กับนายเฉลียวเมื่อครั้งนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นแกไม่ได้แกล้ง แกอยากจะให้สำเร็จจะตายไป แกจะได้ค่านายหน้าไปทำทุนค้าขายของแกมั่ง

   “ฉันไม่ได้แกล้งนะ ใครจะไปรู้เล่าว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างนั้น ” แล้วแกก็หัวเราะคิกๆสั่นหน้าดิกๆตามสไตร์ของแก

   “เอางี้สิเฮีย” ยายพงษ์เปิดประเด็นใหม่อีก คล้ายๆจะบอกว่าอย่าไปพูดถึงมันเลยเรื่องที่ผ่านมาแล้วนั่นน่ะ มาดูเรื่องใหม่กันดีกว่า เมื่อเห็นผมถ่ายเอกสารไปเรื่อยๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา แกก็เริ่มเรื่องของแกทันที เรียกว่าผมจะฟังหรือไม่ฟังก็ชั่ง อย่างน้อยก็เข้าหูมั่งแหละน่า.

   “ มีที่ดินอยู่แปลงหนึ่งเนื้อที่ประมาณ ๔ ไร่ " ยายพงษ์เปิดประเด็น " ที่ตรงนี้สวยมาก เป็นของเถ้าแก่โรงงานทำพวงมาลัย คือตาฐาน ยายม่วย อยู่ที่ตึกใหญ่สีฟ้าถัดจากนี้ไปนี่เอง “
แกหยุดพูดมองหน้าผม คงจะดูว่าผมสนใจหรือเปล่า เมื่อแกเห็นว่าผมกำลังฟังอยู่แกก็พูดต่อว่า

   “ เจ้าของเขาจะขายราคาไม่แพง ที่แปลงนี้อยู่ห่างจากที่นี่ไปทางวัดท่าพิกุลทองประมาณ ๒ กิโล (คนละทางกับที่ดินของนายเฉลียว) ที่ดินแปลงนี้ติดถนนใหญ่ด้วย เฮียสนใจไม๊ล่ะ ”

   แกถามผมๆจึงบอกว่า “อย่างนี้ต้องไปดูที่กันเสียก่อนถึงจะบอกได้ว่าชอบหรือเปล่า ที่ๆว่านี้อยู่ตรงไหนช่วยบอกหน่อย ตอนเย็นๆจะไปดู “  ยายพงษ์รีบบอกว่า “ยังงั้นฉันพาไปดูเองก็แล้วกัน ตอนเย็นๆฉันมาหานะ” 

  ที่ดินนี้ก่อนที่จะตกลงซื้อได้ไปดูกันหลายครั้ง ภาพนี้จะเห็นว่าเจ้าของเดิมกั้นร่องสวนเลี้ยงปลาด้วย นอกจากนั้นยังได้ปลูกต้นมะลิ ต้นบานไม่รู้โรย เพื่อนำมาร้อยพวงมาลัยขายด้วย

   ตกตอนเย็นผมเลิกงานเร็วกว่าเดิม ยายพงษ์มารออยู่ก่อนแล้ว ขับรถไม่ถึง ๑๐ นาทีก็ถึงที่หมาย ยายพงษ์ชี้ให้ดูที่ดินที่เขาจะขาย ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายของถนน มีบ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านไม้เก่าๆ ปลูกยกสูงไต้ถุนโล่ง ห้องน้ำอยู่ข้างล่าง พื้นเทปูนซิเมนต์ อยู่ภายในรั้วไม่ห่างจากถนนมากนัก

  พวกผมลงจากรถ เดินลงไปมองดูที่ตรงนี้ข้างนอกประตูรั้วเหล็กบานใหญ่ โดยไม่ได้เข้าไปภายใน ในวันแรกนั้นพวกเรามาดูกันเพียงเท่านี้เอง เพื่อให้รู้ว่าที่ดินนี้อยู่ตรงไหน ผมบอกยายพงษ์ว่า

  “พรุ่งนี้ขอโฉนดเจ้าของเขามาให้ทีนะ ผมจะถ่ายเอกสารไว้ดูรายละเอียดสักหน่อย ”

   วันต่อมายายพงษ์รีบเอาโฉนดที่ถ่ายเป็นเอกสารไว้แล้วเอามาให้ แล้วบอกว่า

    “ ที่ตรงนี้ ๔ ไร่พอดี เหมือนที่ตาเฉลียวเลย ถ้าเฮียสนใจจะได้เอาไว้เขาขายให้เพียง ๑,๔๐๐,๐๐๐ เท่านั้น ”

     ผมพลิกโฉนดดูรายละเอียดไปมา ก็เห็นว่าที่ดินแปลงนี้ไม่ได้ติดจำนอง กับธนาคารหรือสถาบันการเงินใดๆ เจ้าของคนปัจจุบันคือนายฐาน ส่วนแผนที่หน้าดินหน้าโฉนดนั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้าติดถนน เหมือนกับที่ผมได้ไปดูกับยายพงษ์มาเมื่อ ๒ วันมานี้

    มีที่ติอยู่หน่อยก็ตรงที่หน้าแคบไปหน่อย จะมีส่วนยาวมากกว่าเยอะ โดยเฉพาะส่วนดีนั้นคือ ราคาถูกกว่าที่ดินของนายเฉลียวตั้งครึ่งหนึ่งในขณะที่เนื้อที่ ๔ ไร่เท่ากัน แล้วก็มีของแถมเยอะกว่าที่ของนายเฉลียว ซึ่งมีแต่ที่ดินเปล่าๆเท่านั้น

   “ ให้ผมไปดูอีกทีก็แล้วกัน แล้วผมจะบอกว่าจะเอาหรือไม่ ” ผมแกล้งบอกยายพงษ์ให้แกว้าวุ่นใจเล่นๆ ที่จริงผมและครอบครัวต้องการที่ผืนนี้เกือบ ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว

  ยายพงษ์กลับไปแล้วผมเอาสำเนาโฉนดนั้น มาคุยกับคุณหวานและลูกๆอีกครั้งหนึ่ง แล้วลงความเห็นกันว่า ที่ตรงนี้น่าซื้อเป็นที่สุดเป็นที่ดินที่เราหามานาน ผมบอกทุกคนว่า " พรุ่งนี้เราควรไปดูกันให้ละเอียดกว่านี้อีกสักหน่อย แล้วค่อยไปหาเจ้าของเขา ไปพูดจากันให้รู้เรื่องไปเลย"

  วันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ลูกชายคนกลางที่ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้มาเยี่ยมพอดี ผมจึงเล่าเรื่องที่ให้เขาฟัง และชวนเขาไปดูที่แปลงนี้พร้อมกันด้วย

  เที่ยวนี้ลูกชายมาจากกรุงเทพฯมาดูด้วย บ้านที่แถมให้หลังใหญ่พอสมควร พร้อมที่จะเข้าอยู่ได้ทันที ปรกตินายไพบูลอยู่ที่บ้านหลังนี้

    เมื่อมาถึงหน้าประตูรั้ว มีชายคนหนึ่งรูปร่างเล็ก ผอมเกร็ง ดูท่าทางไม่แข็งแรง เสื้อไม่ใส่เห็นลายสักอักขระที่ตัวและที่แขนหลายแห่ง อายุประมาณ ๕๐ เศษๆเดินออกมาที่ประตูเหล็กพร้อมกับหมาไทยพื้นบ้านอายุมากแล้วอีก ๒ ตัว ซึ่งทีแรกมันเห็นมีคนมาที่หน้าประตูบ้านมันๆก็เห่าเสียงดังลั่น ต่อมาก็หยุดเห่าไปเฉยๆ

   ชายคนนี้มารู้ในภายหลังว่าเขาชื่อ นายไพบูล ฉายอรุณ เป็นคนเฝ้าไร่หรือเรียกให้ชัดว่า เฝ้าที่ของนายฐานนางม่วยนั่นเอง
   นายไพบูลเดินมาเข็นประตูเลื่อนบานใหญ่ให้เปิดออก โดยไม่ได้ถามอะไรพวกเราเลย เสร็จแล้วเดินเลี่ยงออกไปอยู่ห่างๆ (เจ้าของที่คงจะมาสั่งไว้แล้วว่าจะมีคนมาดูที่)

  ประตูเปิดแล้วพวกเราเลื่อนรถเข้าไปจอดภายใน ตรงหน้าบ้านไม้ยกสูงหลังหนึ่งที่พวกเราได้มาดูไว้แล้วครั้งหนึ่ง
   นายไพบูลยังคงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเดิม จะถามอะไรแกก็ยิ้มๆไม่คอยตอบออกมา หรือบางครั้งก็มีเสียงออกมาจากริมฝีปากเบาๆบ้างเท่านั้น ผมคิดว่าเจ้าของคงสั่งมาไม่ให้พูดอะไรละมั๊ง..!

  พวกผมเดินผ่านบ้านเข้าไปด้านในที่ดินนี้ มองลึกๆเข้าไปเห็นแปลงปลูกต้นมะลิ และต้นดอกบานไม่รู้โรยแดงอร่ามเต็มทุกแปลง มีต้นมะพร้าวเตี้ยๆหลายสิบต้นมีลูกดกทั้งแก่และอ่อนเต็มคอทุกต้น ปลูกตามแนวรั้วลวดหนามรอบๆที่ดิน

   มีต้นขนุนหลายต้นกำลังออกลูกเล็กๆ แต่ละแปลงที่ปลูกต้นไม้ดอกไม้เหล่านั้น ขุดเป็นร่องกว้างประมาณสองเมตรครึ่ง มีน้ำอยู่เต็มทุกร่องน้ำนี้ไหลเข้ามาได้จากลำรางส่งน้ำที่ผ่านที่ไป

  ในร่องน้ำนั้นเจ้าของเดิมเลี้ยงปลาไว้ผลุบโผล่กันยุบยับ ร่องน้ำในสวนนี้จึงเป็นที่เลี้ยงปลาได้เป็นอย่างดี

  ผมภรรยาและลูกๆเดินดูแบบคร่าวๆ กันจนพอใจแล้วก็กลับบ้าน ตอนกลับนี้ไม่รู้ว่านายไพบูลไปอยู่ที่ตรงไหนจึงไม่ได้บอกแกเมื่อตอนขากลับ หมาสองตัวก็นอนขวางทางอยู่แต่ไม่ได้เห่า แถมเข้ามาประจบอีกด้วย เหมือนกับว่ารู้จักมักคุ้นกันมาเป็นแรมปี

   หมา ๒ ตัวที่อยู่กับนายไพบูล เพิ่งจะเห็นกันวันแรกก็เข้ามาประจบ ยังกะรู้จักกันมาเป็นแรมปี

  สรุปแล้วที่ดินแปลงนี้เป็นที่ถูกอกถูกใจมากทุกๆคน ลงความเห็นกันว่าต้องรีบติดต่อเจ้าของที่อย่างเร่งด่วน เพราะกลัวว่าเจ้าของอาจจะเปลี่ยนใจและไม่ขายก็เป็นได้ อีกอย่างหนึ่งเพื่อคุยกันเรื่องราคาและจะขอมัดจำไว้ก่อนเพื่อเป็นการผูกมัด

  วันต่อมาเมื่อได้ไปพบเจ้าของที่ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันนั่นเอง และคุยกันตลอดจนได้ต่อรองราคากันแล้ว เจ้าของคือนายฐานและนางม่วย ภรรยา ไม่ได้ลดราคาให้โดยบอกว่า

  “ ที่จริงผมก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่ต้องขายที่แปลงนี้ แต่ที่อยากขายก็เพราะว่าที่แปลงนี้อยู่ห่างไกลบ้านไปหน่อย ไม่ค่อยได้มีเวลาไปดูแล จ้างให้เขาเฝ้าเอาไว้เฉยๆอย่างนั้นเอง “ นางม่วยเสริมต่อว่า 

 “ ราคาที่ขายนี้นับว่าถูกที่สุดแล้ว เพราะว่ามีบ้านให้หลังหนึ่ง มีสวนกระท้อนพันธ์ดีให้ทั้งสวน มะพร้าว ขนุน ฝรั่ง ที่ดินบางส่วนด้านติดถนน ฉันก็ถมดินไว้แล้วหลายสิบคันรถเพื่อปลูกบ้านที่เห็น " นางม่วยหยุดพูดมองหน้านายฐานนิดหนึ่ง แต่เมื่อเห็นนายฐานไม่ได้พูดอะไร นางม่วยจึงพูดต่อ

  " รอบๆที่ทั้งหมดฉันก็ทำเป็นรั้วลวดหนามไว้อย่างดี เฉพาะค่าล้อมรั้วนี้ก็หลายแล้วละจ้ะ ดังนั้นอย่าขอต่อราคาเลยนะคุณ “  นางม่วยเจ้าของที่ให้เหตุผลอย่างยืดยาว ที่จริงการต่อราคาของผมนั้น ก็เป็นธรรมเนียมของการซื้อขายของนั่นเอง  ไม่ได้หวังว่าจะให้แกลดราคาอย่างใด เท่านี้ผมก็ว่าที่ดินแปลงนี้ถูกที่สุดแล้ว ถูกกว่าที่ของนายเฉลียวตั้งครึ่ง ซึ่งมีแต่ที่โล่งๆไม่มีต้นไม้ให้สักต้นเดียว

  ส่วนที่ดินที่ผมกำลังติดต่อซื้อนี้ นอกจากราคาถูกแล้ว ยังมีสิ่งของแถมอีกตั้งมากมาย โดยเฉพาะบ้านหนึ่งหลัง สวนกระท้อนอีกกว่า ๒๐ ต้น เท่านี้ก็เป็นเงินเท่าไรแล้วก็ไม่รู้

  ภาพนี้เมื่อซื้อที่ดินนี้แล้วพาลูกหลานมาวิ่งเล่น และกำลังวางแผนจะปลูกบ้าน แสดงให้เห็นว่าที่ดินนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่น ที่เห็นนี้คือต้นมะพร้าว กระท้อน ฝรั่ง มีน้ำเต็มทั้งปีในร่องสวน เจ้าของเขากั้นรั้วลวดหนามไว้เห็นเสาปูนขาวๆด้านหลัง

   การไปพบเจ้าของที่ก็พูดกันอย่างง่ายๆ ไม่ต้องมีการมัดจำอะไรทั้งนั้น นายฐานบอกว่าขี้เกียจเขียน คุณมีเงินสดมาให้ผม เราก็ไปโอนโฉนดเปลี่ยนชื่อเจ้าของกันที่สำนักงานที่ดินเลย แกพูดแบบง่ายๆดี ก็แบบคนรวยๆน่ะครับ 

  เท่านี้เองการเจรจาซื้อที่ดินแปลงนี้ก็สำเร็จลงไปด้วยดี โดยมีคำรับประกันจากปากของเจ้าของที่ว่าจะไม่ขายให้ใคร นอกจากคุณคนเดียวจนกว่าคุณจะไม่ต้องการ ส่วนทางด้านผมนั้นมีหน้าที่คือต้องรีบรวบรวมเงินมาให้นายฐานเขา แล้วเอาที่ดินไปก็เท่านั้นเอง  

  ก็นี่แหละครับที่ผมบอกว่า คุณพระคุณเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายรวมทั้งเจ้าที่เจ้าทาง ท่านเมตตาปราณีผม ดลบันดาลให้ผมไม่สามารถซื้อที่ของนายเฉลียวซึ่งมีราคา ๒,๘๐๐,๐๐๐ บาทได้ แต่ไม่นานนักผมก็ได้ที่ดินแปลงใหม่ มีเนื้อที่เท่ากัน ในราคาเพียง ๑,๔๐๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น ถูกกว่ากันตั้งครึ่งพร้อมทั้งมีของแถมอีกตั้งมากมาย คุ้มจริงๆครับ ..

ิดตามตอนต่อไป   คลิ๊ก

ยากทราบเรื่องตั้งแต่ตอนแรก กลับไปอ่านตอน ๑   คลิ๊ก

 นายแก้ว    ผู้เขียน ไพบูล ฉายอรุณ (ซื้อที่ดิน ๒)

เรื่องและภาพในบทความนี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้437
เมื่อวานนี้460
สัปดาห์นี้2287
เดือนนี้11534
ทั้งหมด1341418

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

2
Online