เรื่องเล่าริมคลอง ๒ (ซื้อที่ของป้าเม้ย)

กรุณา (คลิ๊ก)กลับไปอ่านตอนที่ ๑ ก่อน

   

ตลาดเจ็ดเสมียนในอดีตหรือปัจจุบันก็มีเพียง ๒ แถวไม่เคยเปลี่ยนแปลง     

   ป้าเม้ยผู้เป็นเจ้าของที่หาตัวแกไม่ยากหรอก เพราะแกมีอาชีพขายขนมครก คงจะเป็นเจ้าเก่านั่นแหละเพราะว่าขายมานานแล้ว

   แกขายประจำอยู่ที่เพิงเล็กๆ หลังสถานีรถไฟเจ็ดเสมียนนี่เอง ซึ่งห่างจากบ้านห้องแถวเราไม่เท่าไร  (ปัจจุบันสถานที่ตรงนี้ก็ยังมีอยู่ แต่เพิงเก่าดั้งเดิมนั้น เขาปรับปรุงทำใหม่ให้ดีและถาวรแล้ว )

   ฉันกับน้องสาวเดินไปหาป้าเม้ยที่หลังสถานีรถไฟ แกกำลังแคะขนมครกให้ลูกค้าอยู่พอดี แกเงยหน้ามามองฉันและน้องสาว ป้าเม้ยคนนี้ ใครๆในตลาดเจ็ดเสมียนก็ย่อมต้องรู้จักแกดี เพราะแกไม่ใช่คนอื่น เป็นคนเจ็ดเสมียนเต็มร้อยเลยก็ว่าได้ เป็นคนเก่าแก่รุ่นแรกๆ ของเจ็ดเสมียนเลยทีเดียว

    เมื่อฉันยังเด็กๆ อยู่ก็เห็นแกขายขนมครกอยู่ตรงนี้อยู่แล้ว แกตัดผมสั้นๆ ทรงแบบคนโบราณ มีหวีสับอันใหญ่อยู่บนศีรษะ สวมเสื้อในคอกระเช้า แปะกระเป๋าลูกเล็กๆ ไว้ด้านหน้าลูกหนึ่ง แล้วก็มีเสื้อแขนสั้นสีเม็ดมะขาม ไม่มีคอปก สวมทับเสื้อขาวชั้นในของแกอีกทีหนึ่ง ใส่ผ้าถุงลายธรรมดา ที่ปากก็เคี้ยวหมากแดงทั้งปาก ก็เป็นธรรมดาของคนในสมัยนั้น ที่นิยมกินหมากกัน แม้แต่แม่ของฉันก็ยังกินหมาก กินๆ เลิกๆ อยู่อย่างนี้จนกระทั่งแม่แกเสียชีวิต
    มาวันนี้ฉันได้พบแกอีก ป้าเม้ยก็ยังแต่งตัว ตัดผมเอาหวีสับอยู่บนหัวเหมือนเดิมเสียแต่ว่าชราภาพไปกว่าเมื่อตอนฉันเป็นเด็กๆ แต่ก็ไม่มากนัก เมื่อแกมองมาน้องสาวของฉันก็พูดกับแกว่า นี่พี่สาวของฉันจะมาดูที่ของป้าที่บอกว่าจะขายถ้าชอบใจก็จะตกลงกันเรื่องราคาด้วย ป้าว่างไหม ช่วยพาพวกฉันไปดูที่หน่อยซี

    ป้าเม้ยพยักหน้า แล้วบอกว่ากำลังจะเลิกขายอยู่พอดี เพราะว่าแป้งจะหมดแล้วกำลังรอตามูลมาเอาของกลับบ้าน รออีกประเดี๋ยวนะ น้องสาวของฉันกับป้าเม้ย ก็ไม่ได้คุยทักทายอะไรกันมากนักหรอก เพราะว่าเห็นกันอยู่ทุกวันแล้ว เจ็ดเสมียนก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไร ใครๆก็รู้จักกันเห็นกันบ่อยๆ ฉันกับน้องสาวก็เลยกลับไปที่บ้านไปนั่งคุยกันและก็รอป้าเม้ยไปในตัวด้วย

    ไม่นานนักป้าเม้ยแกก็เดินมาจากร้านของแก ตรงมาที่ฉันกับน้องของฉันนั่งอยู่แล้วบอกว่าฉันเสร็จธุระแล้ว ไปกันเถอะ ป้าเม้ยแกถีบรถจักรยานไม่เป็น แกจึงใช้ให้หลานของแกคนหนึ่งเป็นผู้ถีบจักรยานไปส่ง แกนั่งซ้อนท้ายรถหลานชายแกนำหน้าไม่นานนักก็ถึงที่

    ที่แปลงนี้อยู่ติดถนนริมคลองชลประทานจริงๆ แยกจากถนนสายหนองบางงูไปทางด้านขวามือ ประมาณ ๓๐๐ เมตรเท่านั้น ก็ถึงแล้ว ที่ตรงนี้บังเอิญกรมชลประทานเพิ่งจะมาขุดคลองส่งน้ำผ่านเมื่อไม่นานมานี้เอง

    ถ้าเป็นแต่ก่อนนี้ตอนที่ยังไม่มีถนนเลียบคลอง ที่ตรงนี้คงจะไม่มีใครต้องการ และคงจะไม่มีราคาเลย เพราะว่าจะเข้ามาที่ๆนี้ลำบาก ในตอนที่ฉันไปดูที่นั้นชาวบ้านแถวนั้นเขามาเช่าที่ป้าเม้ยไว้ปลูกอ้อยกันเต็มพืดไปหมด  จึงลงไปสำรวจอย่างละเอียดไม่ได้ ได้แต่ยืนดูบนคันคลองชลประทานเท่านั้น

    ป้าเม้ยแกก็ยืนชี้ที่ของแกว่า มันจะอยู่ตรงนี้ เขตของที่จะไปตรงนั้น แล้วก็หักมุมไปตรงโน้น อยู่บนคันคลองชลประทาน สรุปแล้วที่ตรงนี้จะเป็นเนื้อที่ประมาณ ๓ ไร่กว่าที่ไม่สวยลักษณะของที่เป็นรูปตัว  L (ตัวแอล ภาษาฝรั่ง) หน้าของที่ตอนที่เชื่อมกับถนนนั้นประมาณ ๑๐ วาเศษๆเท่านั้น นอกนั้นก็ลึกเข้าไปเป็นรูปตัวแอลดังได้กล่าวมาแล้ว ด้านหน้าแคบมากไม่สมดุลกับเนื้อที่เลย

     ฉันปรึกษากับน้องสาวบอกว่า ที่ก็ไม่ค่อยสวยเท่าไรนัก แล้วก็เปลี่ยวพอสมควร (ในสมัยแรกๆนั้นบ้านเรือนแถวนั้นไม่ค่อยมี) น้องสาวบอกว่า ก็คิดดูให้ดีๆก็แล้วกัน ซื้อที่ทั้งทีก็เหมือนซื้อรถซื้อบ้าน คงไม่มีปัญญาจะซื้อได้บ่อยๆหรอก

    ถ้าเราจะคิดว่าซื้อไว้ในภายภาคหน้า เพียงแต่ปลูกบ้านอยู่พักผ่อนเฉยๆ ไม่ได้ทำการค้าอะไร ก็น่าซื้อไว้เหมือนกัน รูปร่างของที่ผืนนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่เห็นเป็นอะไร แต่ถ้าซื้อไว้จะเอาไว้ขายต่อก็น่าจะขายลำบาก เพราะคนที่เขามีเงินเขาคงไม่เอาที่รูปร่างอย่างนี้แน่ๆ เขาก็จะหาซื้อที่สวยๆแพงหน่อยเขาก็เอาเพราะเขามีเงิน จึงเลือกซื้อตรงไหนก็ได้

    ฉันฟังน้องสาวฉันพูดให้ฟังอย่างนี้แล้ว ก็คิดอยู่ในใจเหมือนกันว่าเราจะเอาหรือไม่หนอ แต่อีกใจหนึ่งคิดค้านขึ้นมาว่าน่าจะเอาไว้ ซื้อทิ้งไว้อย่างนี้ก่อนอีกหลายสิบปี ก็น่าจะมีคนมาอยู่และคงจะเจริญขึ้นบ้าง

   อีกอย่างหนึ่งถ้าราคาไม่แพงมากนักก็น่าจะเอานะ ดูที่กันและรู้ที่เรียบร้อยแล้ว ฉันก็บอกว่าขอไปปรึกษากันกับญาติพี่น้องสักคืนหนึ่งก่อนพรุ่งนี้เช้าจะมาส่งข่าวแน่นอน  ดูท่าทางป้าเม้ยแกก็ไม่ค่อยสบายใจ ถึงกับแกพูดขึ้นมาว่า ยังไงก็ช่วยซื้อไว้หน่อยก็แล้วกัน คุยกันได้อีกนิดหน่อย แล้วเราก็ถีบจักรยานกลับบ้าน ..........  
 
   กลับมาถึงบ้านแล้ว ฉันก็ยังสองจิตสองใจอยู่นั่นเอง ว่าจะเอาดีหรือไม่ดีหนอ ในที่สุดก็ตกลงกันว่าจะเอาที่นี้แหละ เพราะว่าราคาก็ถูกดีเสียด้วย ที่ว่าราคาถูกนั้นคงเป็น เพราะว่าป้าเม้ยและลุงมูลแกจำเป็นจะต้องขาย
    เช้าแล้ว ฉันกับน้องสาวก็รีบไปบอกป้าเม้ย แกที่ร้านขายขนมครกหลังสถานีรถไฟ ดูแกค่อยยิ้มได้หน่อยต่างจากเมื่อบ่ายวานนี้ จากนั้นก็นัดโอนที่กัน สำหรับเรื่องเงินนั้นก็จะจ่ายกันที่สำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีในวันโอนที่กันเลยทีเดียว

   บ่ายวันอาทิตย์ฉันก็ต้องกลับกรุงเทพฯ เพราะว่ารุ่งขึ้นวันจันทร์ฉันก็จะต้องไปทำงาน  ในขณะที่เดินทางกลับ (โดยรถเมล์) ก็ครุ่นคิดไปตลอดทางในเรื่องที่ดินนี้ และสรุปเรื่องราวทั้งหมดเอาเองว่า คงจะเป็นโชคของเราเป็นแน่ ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ช่วยดลบันดาลให้เรามีที่ดินเป็นของตัวเองบ้างเสียที แม้จะไม่ได้ใช้ที่ดินนี้ในเร็วๆนี้ ในโอกาสข้างหน้าคงได้มีโอกาสได้ใช้บ้างแหละน่า ใช้เป็นที่อยู่อาศัยก็ได้

    ในเรื่องเงินค่าที่นี้ตัวฉันเองก็พอจะมีเงินเก็บเอาไว้บ้าง แต่ดูๆแล้วมันไม่พอ จึงจำเป็นต้องกู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ ของทางราชการมาอีกจำนวนหนึ่ง มาสมทบกับเงินที่มีอยู่ก็พอดีกับเงินค่าที่ แล้วก็ยังพอมีเหลืออีกนิดหน่อย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการโอนที่ด้วย
    ถัดจากนั้นอีกไม่นาน เมื่อสหกรณ์ออมทรัพย์ได้อนุมัติเงินกู้ของฉันแล้ว ฉันก็รีบไปเบิกเงินได้แล้ว ก็ส่งข่าวไปบ้านให้น้องสาวไปติดต่อกับป้าเม้ย เพื่อนัดวันจะโอนที่กันต่อไป

    ในวันโอนที่กันนั้น ที่จริงแล้วในตอนแรกทางผู้ขาย คือป้าเม้ยจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าโอน ค่าภาษี และค่าธรรมเนียมต่างๆทั้งหมด แต่เนื่องจากป้าเม้ยและลุงมูลเป็นผู้ที่น่าสงสารมาก ในการขายที่ของแกในครั้งนี้แกคิดว่า เมื่อขายแล้วก็จะพอมีเงินเหลือบ้าง แต่เจ้าหนี้ก็คิดแกทั้งต้นทั้งดอกจนเงินค่าที่นี้หมดไป แกจึงไม่มีเงินเหลือเลย

   ฉันก็สงสารแกมาก ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรแกได้ จึงบอกว่าขอช่วยแกในการออกเงินค่าโอน ค่าภาษี และค่าใช้จ่ายต่างๆทั้งหมดเอง ซึ่งก็เป็นเงินมากพอดู เรื่องต่างๆจึงสำเร็จลงด้วยดีในวันนั้น....  มีต่อ

อุ่นเรือน เขียน  ซื้อที่ของป้าเม้ย

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้405
เมื่อวานนี้549
สัปดาห์นี้405
เดือนนี้13323
ทั้งหมด1343207

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online