ท่าใหญ่ในความมืด

  ท่าใหญ่อยู่ทางด้านขวามือที่มีเรือจอดอยู่ 

   เสียงของเครื่องยนต์เรือลากจูงที่เรียกกันว่า เรือโยง ดังก้องสนั่นไปทั่วท้องน้ำ กำลังลากจูงเรืออีกหลายลำมุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือ ไม่ทราบว่าเรือที่พ่วงกันมาหลายลำนั้น บรรทุกสินค้าอะไรกันบ้าง ที่แน่ๆก็จะเป็นพวกสินค้าต่างๆซึ่งชาวเรือเร่เหล่านี้ จะนำขึ้นไปขายตามตลาดนัดในที่ต่างๆ  

  เรือพวกนี้จะมีกันทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นระยะๆ  เมื่อสักพักใหญ่ๆนั้น เรือโยงก็ลากจูงเรือหลายลำต่อกันเป็นพวงเลยท่าใหญ่ไป เห็นแสงตะเกียงโป๊ะที่แขวนเอาไว้ที่เก๋งท้ายเรือลิบๆ ขึ้นไปทางเหนือไปทางบ้านสมถะ คงจะไปถึงบ้านโป่งสว่างพอดี และก็ขนสินค้าขึ้นไปขายที่ตลาดบ้านโป่ง เป็นแห่งแรก

 ไอ้ธรบอกผมว่า เก้วโว้ยวันนี้แปลกว่ะท่าใหญ่ค่ำนี้ไม่มีคนเลย ผมก็บอกว่ามันก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่มีอะไรส่งเสียงกระเทือนให้ปลามันตกใจ เสียงฟ้าร้องครางครึมๆมาแต่ไกล ผมบอกว่าฝนตั้งเค้าไกลๆอย่างนี้มันคงไม่ลงเม็ดจริงๆหรอก น่าจะตกลงมาไม่ถึงเรา ไม่ต้องรีบร้อนอะไรขอให้มึงใจเย็นๆบ้านก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง

  ไอ้ธรเริ่มต้นเอาไฟฉายที่ติดมาจากบ้าน มาส่องปลากันตั้งแต่ริมตลิ่งใกล้ๆ ท่าน้ำบ้านยู้ฮัว แซ่โค้ว ซึ่งเป็นเพื่อนกันกับพวกผม บ้านยู้ฮัวมีกิจการทำน้ำปลาขายชื่อว่า โรงน้ำปลาไทยเฮงฮวด จนมีฐานะดี  ป่านนี้ยู้ฮัวมันคงอยู่ในบ้านมันไม่ออกมาข้างนอกแล้ว และมันคงไม่รู้หรอกว่าผมกับไอ้ธร มาหาปลาแถวตีนท่าริมน้ำหน้าบ้านมัน ซึ่งมีต้นก้ามปูใหญ่ร่มครึ้มขึ้นอยู่ เป็นที่กระโดดน้ำเล่นของเด็กเจ็ดเสมียนมาช้านาน ผมว่าต้นก้ามปูใหญ่ต้นนี้อายุก็น่าจะร่วมร้อยปีแล้ว

    ภาพท่าใหญ่ในสมัยกว่า ๓๐ ปีมาแล้ว 

     ในมือก็ถือไม้ซางบรรจุลูกดอกเตรียมพร้อมเอาไว้ เดินตามมาเรื่อยๆ จนมาถึงท่าใหญ่ แล้วก็เลยไปทางบ้าน ป้าฮุ้นริมน้ำ ซึ่งมีกออ้อกอแขมชูดอกไสวเต็มไปหมด ก็ยังไม่เห็นปลาสักตัว ผมคิดในใจว่า ให้เห็นชัดๆสักตัวหนึ่งเถิด จะเป่าให้จั๋งหนับเลย ถ้าได้แล้วก็จะเอาไปอวดพวกเพื่อนๆ ที่ไม่ได้มาด้วยกันด้วย
     ท่าใหญ่เวลานี้เงียบสงัด พวกเรือขายสินค้าที่มาจอดไว้เมื่อวันก่อน แล้วขนสินค้าขึ้นไปขายที่ตลาดนัดในเช้าวันนี้นั้น ก็ถอนออกไปหมดแล้ว เพื่อจะไปขายที่อื่นต่อไป เช่นที่ตลาดนัดท่าขวาง บางกระ หรือขึ้นเหนือไปท่าพน สมถะ หรือบางทีก็ตลาดนัดที่บางโตนด  และอาจจะเลยไปถึงเฉลิมอาสน์  วัดคงคารามก็เป็นได้ ไม่ได้ประจำอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ร่อนเร่ไปเรื่อยๆ ตามประสาพ่อค้าเรือเร่

       ในขณะที่คุยกันอยู่นั้น ก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้นมา ต่อหน้าผมกับไอ้ธรเลยทีเดียว ที่จนขณะนี้ผมก็ยังนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร ขณะที่เรานั่งคุยกันริมตลิ่งที่ท่าใหญ่นั้น เราหันหน้าไปทางแม่น้ำ คุยกันไปก็มองโน่นมองนี่ ถึงแม้จะเงียบและค่ำแล้ว ผมกับไอ้ธรก็ไม่นึกกลัวอะไร เพราะคุ้นเคยกับสถานที่นี้ตั้งแต่เด็กๆ มาแล้ว

     สองทุ่มกว่าๆแล้วยังไม่เห็นปลาสักตัว ผมบอกไอ้ธรว่าหยุดพักสักประเดี๋ยวดีกว่า ประเดี๋ยวเราค่อยส่องกันใหม่ ทีนี้ส่องกันไปทางด้านขวามือเรื่อยๆ ไปตามริมตลิ่งจนถึงท่าตลาด ถ้าไม่เห็นมีปลาเลยก็กลับบ้านกันเลย ไอ้ธรก็พยักหน้ารับรู้ว่าตกลงตามนั้น 

        แล้วเราก็นั่งคุยกันที่ตรงขอนไม้ใหญ่ที่ท่าใหญ่นั้น คุยกันถึงเรื่องไม้ซางนี้ ใจความพอจะสรุปได้ว่า เราไม่ควรอุตรินำเอาไม้ซางมาเล่นเลย ไม่เห็นว่าจะสนุกตรงไหน อันตรายก็มีมากด้วย ผู้ใหญ่เห็นเข้าก็ไม่มีใครสนับสนุนให้เล่นสักคน พ่อแม่เห็นเข้าก็ด่าว่าห้ามปรามอย่างเดียว นี่ดีว่ากำนันโกวิทยังไม่เห็น ถ้ากำนันโกวิทเห็นละก้ออาจจะมีคำสั่งขั้นเด็ดขาด ให้เลิกเล่นเสียเดี๋ยวนี้เลย ซึ่งเด็กเจ็ดเสมียนทุกคนก็จะไม่ค่อยขัด และต้องสนองนโยบายของแกอยู่แล้ว

       คุยกันไปคุยกันมาเอาเป็นตกลงกันว่า พรุ่งนี้ก็จะไม่เล่นมันแล้ว เพราะว่าอีกวันสองวันก็จะเข้าพรรษา พวกเราต้องไปอยู่วัดเป็นเด็กวัดกัน แต่ก็จะยังไม่ทิ้งมันเพียงแต่ว่า จะเก็บไว้ที่บ้านเฉยๆก่อน  แต่คืนนี้จะต้องเป่าปลาให้ได้สักตัวสองตัว แล้วพรุ่งนี้ก็เลิกกันเลย ไอ้ธรมันก็ตกลงด้วยอีกนั่นแหละ

   นักเพาะกาย โชว์กล้ามกันที่หลังบ้านกำนันโกวิท วงศ์ยะรา จากซ้ายโอฬาร ลักษิตานนท์,นายแก้ว,สาธร วงษ์วานิช, ข้างบนอโนทัย ไทยสวัสดิ์ เห็นหน้านิดหน่อยนั้น รังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์

นั่งคุยกันเป็นเวลานานพอสมควร ที่ท่าใหญ่และตลาดนั้นห่างกันแค่คืบ จึงได้ยินเสียงดังของพวกเด็กๆที่วิ่งเล่นกันอยู่ที่หน้าตลาดนั้น  เสียงค่อยๆลดลงไป พ่อแม่คงจะเรียกให้เข้าบ้านเพราะว่า ตลาดเจ็ดเสมียนเวลานั้นเกือบ  ๓ ทุ่ม แล้วจึงเริ่มปิดบ้านปิดร้านกัน ส่วนนักผจญภัยสองคนยังนั่งกันอยู่ ที่ริมตลิ่งภายในบริเวณท่าใหญ่ ใจจดจ่ออยู่ที่จะส่องปลาให้เห็นแล้วก็จะจัดการด้วยลูกดอก หากว่าได้ดังที่คิดไว้แล้วก็จะกลับบ้านไปนอนกันเสียที

 เสียงหวีดหวิวของลมที่พัดจากแม่น้ำ เข้ามาที่ฝั่งปะทะกับต้นอ้อกอแขมที่ขึ้นเป็นกอใหญ่ๆริมน้ำ รวมทั้งต้นมะกอกน้ำต้นใหญ่ ข้างๆ บ้านของป้าฮุ้นริมน้ำ กิ่งมันเสียดสีกันดังออดแอดตลอดเวลาที่ถูกลม คลื่นเล็กๆ ที่พัดมากระทบกับเรือบดสองสามลำ ที่ผูกคู่กันไว้ที่เสาท่าน้ำโรงน้ำปลาบ้านยู้ฮัว ทำให้เรือกระทบกันดังกึกกักๆ ด้วยความเงียบสงบเสียงจึงดังชัดเจน

   เรื่องประหลาดที่กำลังจะเกิดขึ้นกับผมสองคนนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางสายลมและเสียงฟ้าร้องครืนๆ ดังมาจากทางเขางูราชบุรี เหมือนฝนกำลังจะมาทางนี้ ผมกับไอ้ธรมองไปยังฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ ปากก็คุยกันถึงเรื่องจิปาถะ  ฝั่งตรงข้ามของท่าใหญ่นั้นเวลาหน้าแล้ง จะมีหาดทรายโผล่ขึ้นมาขาวสะอาดยาวขึ้นไปทางเหนือหลายกิโลเมตร สุดหาดทรายขึ้นไปถึงตลิ่งก็จะเป็นแนวกอไผ่เป็นทิวเขียวยาวไปสุดลูกตา
 
(มเคยพบเวบบางเวบเขียนไว้ เมื่อมาเที่ยวที่เจ็ดเสมียนตลาด ๑๑๙ ปีในปัจจุบันนี้ว่า ในตอนเย็นๆ ก็มานั่งดูพระอาทิตย์ตกน้ำที่เจ็ดเสมียนเป็นภาพที่สวยงามยิ่งนัก  ผมว่าน่าจะไม่ถูกต้องนะครับ ไม่มีใครเคยเห็นพระอาทิตย์ตกน้ำหรอกครับ มีแต่พระอาทิตย์ลับแนวกอไผ่ไปเสียแหละมากกว่า)

      อยู่ๆ สายตาของผมกับไอ้ธร ก็เห็นสิ่งๆ หนึ่งพร้อมๆกัน มันเป็นเหมือนดวงไฟดวงหนึ่ง คล้ายๆกับตะเกียงโป๊ะที่จุดไฟริบหรี่ๆ จะดับก็ไม่ดับ จะสว่างก็ไม่สว่าง ลอยโผล่ขึ้นมาอย่างช้าๆ จากหลังแนวกอไผ่ฝั่งแม่น้ำด้านตรงข้ามกับท่าใหญ่  ค่อยๆลอยสูงขึ้น ๆ .........!

ยแก้ว เขียนท่าใหญ่ในความมืด

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้415
เมื่อวานนี้549
สัปดาห์นี้415
เดือนนี้13333
ทั้งหมด1343217

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online