เรื่องเล่าริมคลอง ๔ (ป้าเม้ยมาหา)

(ต่อจากตอนที่ ๓)

คลองชลประทาน เจ็ดเสมียน

   ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ พลันสายตาก็เหลือบไปมองทางเตาเผาอิฐ ที่ไฟและควันกำลังกรุ่นๆ อยู่ ท่ามกลางแสงเดือน ที่สว่างพอประมาณ

    ลืมบอกไปว่า กิจการทำอิฐมอญนี้ จะต้องมีคนงานอย่างน้อยเป็นสิบคนขึ้นไป เพราะขั้นตอนต่างๆของการทำอิฐมอญนี้จะต้องใช้แรงงานมาก ที่เตาเผาของหลานชายฉันนี้ ได้จ้างคนงานพม่ากับกระเหรี่ยง ที่มาจากทางสวนผึ้ง ซึ่งติดกับเขตแดนของพม่า ไว้สิบกว่าคน

   พวกเขานั้นพักอาศัยอยู่เพิงหลังเล็กๆ ยาวๆ ซึ่งอยู่ด้านในเตาเผาอิฐเข้าไปอีกทีหนึ่ง ที่จ้างพวกนี้นั้นเพราะว่าค่าแรงของพวกเขาถูกมาก ถ้าควบคุมเขาให้ดีๆแล้วพวกนี้ก็จะไม่เกเรแต่อย่างใด

   คนที่ยืนอยู่โคนต้นมะม่วงนั้น  มองแต่ไกลเหมือนหญิงชาวบ้านที่เป็นคนแก่ทั่ว ๆ ไปและกำลังมองมาที่ฉันอยู่    ฉันคิดว่าเป็นใครกันนะมายืนอยู่ที่โคนต้นมะม่วงนั้น ทำให้ฉันต้องเพ่งมองอยู่เป็นนาน และคิดว่าไม่น่าจะเป็นคนงานผู้หญิง หรือเมียคนงานก็ไม่น่าจะใช่เพราะคงไม่แก่ขนาดนั้นหรอกเมื่อฉันละสายตาจากตรงนั้นมาหน่อยเดียว หญิงชราผู้นั้นก็หายไปแล้ว ความคิดของฉันชักจะสับสนเข้าทุกที มันมีอะไรแปลกอยู่นะที่ไร่ของฉันแห่งนี้

   พอดีกับได้ยินหลานสะใภ้ตะโกนเรียกเสียงดังมาจากในบ้าน ว่าให้เข้าบ้านได้แล้ว ยุงมันชุม ฉันจึงหลบยุงเข้าไปในบ้าน ภายในบ้านนั้นหลานสะใภ้ได้ปูที่นอนไว้ให้แล้ว ฉันรีบอาบน้ำ อยากจะนอนพักผ่อนเสียหน่อย  เพราะว่าเมื่อตอนเช้านั้นนั่งรถมาจากกรุงเทพฯก็เมื่อยพอสมควร

    เสียงหรีดหริ่งเรไรแมลงกลางคืน ร้องกันระงม  หลานๆของฉันอาบน้ำอาบท่ากันหมดแล้ว และเขาก็จัดที่นอนอีกฟากหนึ่งของห้อง  ลักษณะของบ้านเล็กๆหลังนี้ ก็ปลูกกันแบบง่ายๆอย่างนั้นเอง คือ 
   เป็นบ้านชั้นเดียวปลูกเป็นห้องสี่เหลี่ยม ไม่ได้กั้นห้อง เพราะว่าอยู่กันแค่สองคนเท่านั้น หน้าต่างประตูบุด้วยมุ้งลวดทั้งหลัง ตีฝ้ากันความร้อนด้วยแผ่นกระเบื้องแผ่นเรียบ และมีห้องน้ำในตัว คิดดูแล้วก็เหมือนห้องของโรงแรมที่เคยไปพักกัน  มีไฟนีออนแบบสั้นติดที่กลางห้อง ๑ ดวง ในห้องน้ำติดไฟหลอดกลมใสๆสัก ๑๐ แรงเทียน ๑ ดวง  ทั้งบ้านมีหลอดไฟเพียงสองดวงเท่านั้น

   คืนนั้นก่อนที่จะเข้านอน ก็ยังนั่งคุยกัน มีอยู่ตอนหนึ่งซึ่งฉันก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องที่เก็บเงียบเอาไว้ คือเรื่องที่เมื่อก่อนที่จะเข้าบ้านมานั้นได้เห็นหญิงชราคนหนึ่ง แล้วฉันก็เล่าให้หลานทั้งสองของฉันฟัง ทั้งสองนั่งฟังด้วยอาการอันนิ่งสงบ พอฉันเล่าจบ หลายชายของฉันจึงบอกว่า บางวันในตอนกลางวันก็เคยพบเห็นเหมือนกัน  แว๊บๆ ไม่ได้เห็นชัดเจนอะไรนัก เป็นลักษณะหญิงชรา  เช่นเดียวกับที่ฉันเห็นเมื่อค่ำนี้

   หลานสะใภ้ฉันบอกว่า เมื่อตอนเข้ามาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เมื่อปีก่อนนั้น คนที่มาทำไร่อ้อยที่นี่บอกว่า ที่ไร่นี้มีผีดุมาก กลางวันแสกๆก็มาหลอกเอาได้ แต่ไม่ได้บอกว่าหลอกอย่างไร

   หลานสะใภ้เล่าอีกว่ามีอยู่วันหนึ่ง ในตอนบ่ายๆหลานสะใภ้มีอาการไม่สบายครั่นเนื้อครั่นตัว เหมือนว่าจะเป็นไข้ จึงเข้ามาในบ้านหลังนี้กินยาแก้ไข้ไปเม็ดหนึ่งแล้วล้มตัวลงนอนที่ๆนอนใกล้ๆกับหน้าต่าง

   ในขณะที่เคลิ้มๆจะหลับครึ่งไม่หลับครึ่งอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงดังกุกกัก อยู่ตรงหน้าต่างด้านนอก แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะว่าหมาที่บ้านนี้มักจะมานอนตรงหน้าต่างด้านนอก แล้วเกิดอาการคันเห็บหมัด จึงได้เกา เสียงดังกุกกักจึงเกิดขึ้น  แล้วก็เหมือนจะมีคนแก่คนหนึ่ง เดินผ่านหน้าต่างแว๊บไป หนูจะบอกป้าหลายหนแล้วว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว แต่ก็ลืมจนได้ทุกครั้งทีเดียว

    คุยกันเป็นเวลานานจนรู้สึกว่าอยากจะนอนพักผ่อนเสียที จึงบอกหลานทั้งสองคนว่า จะนอนละนะไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่ หลานทั้งสองก็รับคำแล้วก็ล้มตัวลงนอน ไม่ช้าก็หลับไป
    แสงเดือนข้างนอกยังสว่างสาดแสงมาที่หน้าต่าง ฉันนอนที่ข้างหน้าต่างพลิกตัวออกไปมองดูลูกมะพร้าวข้างนอกซึ่งดกมากดูเต็มคอมะพร้าวไปหมด แล้วก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยใกล้ๆจะเคลิ้มๆ เป็นลักษณะของคนที่ใกล้จะหลับเต็มที

หน้าต่างที่เห็นนี้คือ หน้าต่างที่ป้าเม้ยปรากฏให้เห็น

   ในอาการเคลิ้มๆอยู่นั้นหูก็แว่วได้ยินเสียง เสียงหนึ่งดังที่หน้าต่างด้านนอก ฉับพลันก็มีเงาขาวๆรางๆ เป็นใบหน้าคนหน้าหนึ่ง ปรากฏมาที่หน้าต่าง ซึ่งเห็นได้อย่างไม่ชัดเจนอะไรนัก และก็เป็นเวลานานเสียด้วย ในความรู้สึกบอกฉันว่าใบหน้านั้นกำลังจ้องมองมาที่ฉัน ทีแรกก็คิดว่าฝันไป

   แต่คิดไปอีกทีฉันก็ยังไม่ได้หลับ ฉันพยายามถามตัวเองว่านี่มันเป็นความจริงใช่ไหม แล้วก็หยิกร่างกายดู ก็รู้ว่ายังไม่ได้หลับหรือเป็นอะไรทั้งนั้น แต่เหตุการณ์อย่างนี้มันสะกดให้ฉันต้องนอนนิ่ง ไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไร ภาพนั้นมองอย่างไรก็ไม่ชัดเจนเลย

   แต่ที่น่ากลัวน่าขนลุกที่สุดนั้นก็คือ ใบหน้ารางๆขาวๆนั้นเป็นลักษณะใบหน้าของคนแก่มีอายุสักประมาณ ๗๐ เศษๆเห็นจะได้ ผมขาวๆเป็นสีดอกเลาแล้ว มีหวีสับอันใหญ่สับไว้บนผม ซึ่งผมไม่ยาวเท่าใดนัก ลักษณะเช่นนี้ฉันจำได้ว่า เป็นป้าเม้ยนั่นเอง ป้าเม้ยนี้ฉันเคยเห็นแกตั้งแต่ฉันเป็นเด็กๆ และเมื่อมาซื้อที่กับแกนั้นก็เห็นแกจนจำแกได้อย่างแม่นยำ

   ฉันตกใจกลัวแทบสิ้นสติไปเดี๋ยวนั้นเลย ปากก็ตะโกนเรียกหลานชายและหลานสะใภ้เสียงดังลั่น  หลานทั้งสองตกใจที่ได้ยินเสียงฉันร้องจนเสียงหลงอย่างนั้น ฉันก็เล่าให้ฟังแล้วก็บอกว่า นี่ป้าเม้ย แกคงยังไม่ได้ไปไหนเลยตั้งแต่แกตายไป  เวลาก็ผ่านไปหลายปีแกก็ยังวนเวียนอยู่ในที่ของแก มาเฝ้ามาดูแลด้วยความผูกพัน
   เราควรจะทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้แก แล้วก็บอกแกว่าให้ไปเกิดเสียเถิด ที่ตรงนี้ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว จะรักษาไว้อย่างดีที่สุด

   เช้าวันรุ่งขึ้นฉันรีบเข้าไปในตลาด เพื่อซื้ออาหารคาวหวานและได้ใส่บาตรอุทิศบุญกุศลที่ทำให้ป้าเม้ย  ฉันได้แต่อธิษฐานขอให้ป้าเม้ยได้รับบุญกุศลนี้ด้วย  ขอให้ป้าได้ไปเป็นสุขเถิด   หรือถ้าป้ายังรักยังผูกพันกับที่ตรงนี้อยู่และยังไม่ไปไหน ก็ขอให้ช่วยดูแลลูกหลานที่เข้ามาอาศัยในไร่แห่งนี้ ได้อยู่เย็นเป็นสุขกันทุก ๆ คนด้วย

   หลังจากทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แกแล้วนั้นป้าเม้ยก็ไม่ได้มาปรากฏให้เห็นอีกเลย จนกระทั่งปัจจุบันนี้ …..

ปัจจบันนี้ หลานชายได้มาปลูกบ้านหลังหนึ่งเพื่ออยู่อาศัยเป็นการถาวร ส่วนเตาเผาอิฐเมื่อหลายปีก่อนนั้นได้เลิกหมดแล้ว เพราะไม่ประสบผลสำเร็จ หลายชายก็เลยหันไปประกอบอาชีพอื่น

อุ่นเรือน เขียน เรื่องเล่าริมคลอง ๔

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้486
เมื่อวานนี้549
สัปดาห์นี้486
เดือนนี้13404
ทั้งหมด1343288

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online