ไฟไหม้ตลาดโพธาราม พ.ศ.๒๔๙๘

 

 

alt

    นายหิรัญ สุวรรณมัจฉาเมื่อเป็นครูที่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน     

    เหตุการณ์ที่ตลาดริมน้ำโพธารามถูกไฟไหม้ใน พ.ศ.๒๔๙๘ ซึ่งเป็นเวลานานถึง ๕๔ ปีมาแล้วที่ผมจะเสนอแก่ท่านดังต่อไปนี้ ได้นำมาจากบันทึกของ  ายหิรัญ สุวรรณมัจฉา

ซึ่งอยู่ที่ตลาดเจ็ดเสมียนที่บังเอิญในวันนั้น ได้ขึ้นรถไฟไปโพธารามตั้งใจจะไปที่อำเภอ (เก่าริมน้ำ) เพื่อทำธุระซึ่งต้องติดต่อกับทางอำเภอ ที่อยู่ที่ริมน้ำ (ไม่ใช่ที่ทำการอำเภอหน้าสถานีรถไฟในปัจจุบันนี้)  แต่ในขณะที่นายหิรัญกำลังรับประทานข้าวหมูแดงที่หน้าโรงเจ ซึ่งอยู่ใกล้ๆหลังสถานีรถไฟนั้น เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เหตุการณ์อะไรนั้นขอให้ท่านผู้อ่านติดตามอ่านบันทึกของนายหิรัญเอาเองก็แล้วกันนะครับ ถ้ามีข้อความในวงเล็บแทรกขึ้นมา นั่นเป็นคำอธิบายของผมเองเพื่อว่าจะได้ให้ท่านผู้อ่านเข้าใจมากยิ่งขึ้น และนายหิรัญได้บันทึกไว้ดังนี้ครับ ... (คำนำจากผู้จัดทำ)

alt

 สมุดบันทึกของนายหิรัญ เรื่องราวต่างๆตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๘ - ๒๕๒๕ อยู่ในนี้

     

่อจากนี้ไปเป็นข้อความที่นายหิรัญได้บันทึกเอาไว้จากเหตุการณ์ที่บังเอิญได้เห็นด้วยตัวเอง 

ันที่   ๙  พฤษภาคม   ๒๔๙๘

    ฉันขึ้นรถเช้าไปโพธาราม (จากบ้านที่ตลาดเจ็ดเสมียน) ตั้งใจจะไปขอเปลี่ยนนามสกุล  และยื่นใบเลิกประกอบกิจการค้าด้วย  เพราะว่าที่บ้านก็ไม่ได้ค้าขายอะไรแล้วจะเสียภาษีไปทำไมอีก (ในระยะนั้นนายหิรัญเปิดร้านรับจ้างซ่อมรถจักรยาน ปะยาง ขายอาหลั่ยรถจักรยาน ฯลฯ ที่ห้องแถวในตลาดเจ็ดเสมียน ต่อมาได้เลิกทำ จึงไปขอยกเลิกใบประกอบกิจการที่อำเภอเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีปีต่อไปอีก)จะไม่เสียก็ได้แต่ไม่ดีสู้เลิกเสียเลยจะดีกว่าไม่ต้องเป็นห่วง  ลงจากรถเช้าแล้วฉันก็ไปกินข้าวหมูแดงที่หน้าโรงเจ กินเกือบจะหมดจานอยู่แล้ว

    ได้ยินคนข้างนอกเอะอะขึ้นว่าไฟไหม้ ๆ ฉันเลยลุกออกไปดูเห็นควันโขมงลอยสูงขึ้นท้องฟ้า คนก็วิ่งกันใหญ่ฉันให้สตางค์ค่าข้าวหมูแดง แล้วก็วิ่งไปทางตรอกห้างเขียว ขณะนี้คนวิ่งชุลมุนกันใหญ่ ต่างคนก็วิ่งไปบ้านของตัวเองเก็บข้าวเก็บของ

    ฉันวิ่งมาถึงแถวริมน้ำคนแถวนี้เขาอยู่ใกล้ต้นไฟ เขารู้ก่อนเขาก็ขนของลงหาดทรายกันเป็นการใหญ่ ฉันวิ่งมาถึงตรอกตลาดผัก เห็นไฟลุกแดงทางบ้านผู้ใหญ่ จั๊ว ผู้ใหญ่ กุย ตรอกหมู ควันพุ่งขึ้นท้องฟ้าเป็นก้อนดำ  ไฟไหม้บ้านที่เป็นไม้ดังพั๊วเพี๊ยะๆดังน่ากลัว

    ตอนนี้ไฟยิ่งลุกเข้ามาใกล้ใหญ่ชาวบ้านก็รีบขนของไปวิ่งไป ข้าวของตกกันให้เกลื่อนถนน บางคนหอบของไปก็ร้องไห้ไป ฉันมาหยุดอยู่ที่ปากตรอก นึกจะไปช่วยใครดีใครๆก็รู้จักทั้งนั้น นึกถึงไอ้งัก ที่เป็นเพื่อนฉันขึ้นมาได้คิดว่าไปช่วยมันเถอะวะ ช่วยให้มันเห็นใจสักที

    คราวหลังมีเรื่องอะไรจะได้ให้มันช่วยได้ง่ายหน่อย  ฉันเดินไปถึงบ้านมันเห็นเมียมันกำลังเก็บของอยู่  ลูกๆมัน ๔ – ๕ คน เก็บของไปก็ร้องไห้ไป  ฉันถามเมียมันว่า งักไปไหน  เมียมันบอกว่าไปบ้านเลือกยังไม่กลับและขอร้องฉันให้ช่วยรีบตามมาให้ที

    ฉันรีบคว้าจักรยานของไอ้งักมัน บึ่งไปทางตลาดบนจะไปตามนายงักที่บ้านเลือก พวกทางตลาดบนนี้ได้ข่าวว่าไฟไหม้ทางตลาดล่างออกมามองดูกันแน่น เมื่อเห็นควันดำมืดพลุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว ก็แน่ใจว่าไฟไหม้แน่แล้ว ก็จัดแจงรีบขนของกันอย่างขนานใหญ่โกลาหลหมือนกัน แม้ระยะจะห่างจากที่เกิดไฟไหม้ตั้งกิโลหนึ่งก็ตาม

    ความกลัวไฟทำให้ไม่มีใครนิ่งนอนใจ สุดแท้จะมีหนทางขนไปทางไหนได้ ฉันขี่จักรยานมาพบนายงักที่เกือบจะถึงบ้านเลือก มันก็ขับรถจี๊บกลางสวนทางมา จะไปบ้านที่ตลาดเหมือนกัน ฉันได้แต่ชี้มือชี้ไม้ไปทางบ้านมันมันก็เห็นแล้ว แต่คงไม่รู้ว่าฉันชี้ไม้ชี้มือทำไม

     ฉันก็รีบกลับรถจักรยานถีบตามมันไป ด้วยความรีบร้อนจึงไปหกล้มที่ตรงทางแยกตลาดบน  มือไม้ถลอกปอกเปิกไปหมด  ลุกขึ้นมาคว้ารถขึ้นมาได้ก็รีบบึ่งไปบ้านนายงัก พอไปถึงเห็นมันกำลังช่วยเมียมันขนของอยู่ ฉันเข้าไปเตือนสติมันว่าค่อยๆขน ของอะไรมีค่าให้ขนออกไปก่อนของไม่มีค่าอย่าไปเอามัน

    เวลานี้มีพวกคนมอญพี่น้องทางเมียมันมาช่วยกัน  ๔ – ๕ คน นายงักมันก็ไปเอากระสอบเปล่าๆมา ๒ – ๓ มัด ฉันช่วยมันแก้เชือกผูกออกแล้วบอกให้พวก ที่มาช่วยนั้นเอาของใส่กระสอบ  พวกผานไถนา  แป้ง ดินสอพอง ตั้งเข่งสองเข่งนั้นอย่าไปเอามัน เอาแต่เสื้อผ้าและของที่มีราคาเท่านั้นยัดใส่กระสอบ

    ฉันเก็บได้ห่อกระดาษห่อหนึ่งมันตกอยู่ที่พื้น แก้ออกดูเป็นธนบัตรสักร้อยกว่าบาทเห็นจะได้ ฉันก็ยื่นให้ลูกสาวคนใหญ่บอกมันให้เก็บไว้ให้ดี  ของที่ใส่กระสอบไว้แล้วก็ไม่มีเชือกมัด มองดูผ่านๆแล้วกลัวว่าจะไม่ทันเวลา ฉันจึงให้เอาผ้าขาวม้าใหม่ๆที่แขวนไว้ขายนั้นแหละมาผูกปากกระสอบ รวมทั้งหมด ๒๐ กว่ากระสอบได้

    มีคนมอญพวกญาติของเมียนายงัก ขนลงหาดทรายไป ให้เมียมันลงไปเฝ้าไว้ให้ดีอย่าให้คลาดสายตาได้ ฉันเห็นไม่มีอะไรแล้ว ก็บอกให้มันปิดบ้านใส่กุญแจเสีย เสร็จแล้วมันก็ไปช่วยพี่ชายมันที่อยู่ใกล้ๆกันขนของอีก

 

    ฉันเดินไปดูทางที่เกิดไฟไหม้ เวลานี้ไฟมันไหม้มาถึงบ้านนายจั้น แว๊บเดียวก็ถึงโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ ของครูวงค์ คำเนียม มีรถดับเพลิงของเทศบาลมาจอดอยู่ตรงปากตรอกตลาดผัก จัดการเดินเครื่องสูบน้ำพ่นตัดต้นไฟอยู่

    โรงเรียนราษฎร์ของครูวงค์ คำเนียม (โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์) ไฟกำลังไหม้ไปแถบหนึ่ง แต่ยังมีบุญว่ามีต้นมะขามใหญ่กั้นอยู่ และทางรถดับเพลิงก็ฉีดน้ำสกัดไว้ ไฟจึงหยุดอยู่เพียงแค่นั้นแต่ก็ยังไม่สงบดี

    ต่อมาฉันย้อนกลับมาทางตลาดผักอีก คนขนของกันไม่ขาดเลย ใครๆก็กลัวกันทั้งนั้น มันโหมไหม้มาจนใกล้แค่นี้แล้วใครจะห้ามใครจะหยุด ใครจะฟัง  ต่างคนต่างช่วยกันขนของ หอบลูกจูงหลานร้องไห้กันระงมไปพลางขนของไปพลาง  หามตู้  แบกจักร์ แบกฟูก บางคนก็แบกโอ่งทั้งลูกเดินตัวปลิว เดินสวนกันไปสวนกันมาไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

    เพราะมิใช่แต่ว่าพวกเจ้าของบ้านเท่านั้น พวกที่มาช่วยญาติพี่น้องขนกันจริงๆก็มี และคาดว่าพวกที่ช่วยขนเอาเองก็มาก พวกนี้เป็นพวกฉวยโอกาสชอบซ้ำเติมคนอื่นๆเวลาเขาเดือดร้อน ดีแต่ว่าเป็นไหม้กลางวันนะ ถ้าเป็นกลางคืนละก็พวกนี้จะยิ่งมีมากขึ้นอีก  น่าสงสารเหลือเกิน ไหนไฟจะไหม้บ้านจนหมดสิ้น มิหนำซ้ำของก็มาถูกโขมยจนหมด น่าสงสารจริงๆ

     ฉันเดินลงท่าน้ำตลาดผัก บรรไดปูนมีแต่เศษกระจกแตกทั้งนั้น ที่หาดทรายคนขนของลงไปกองไว้ไม่รู้กี่สิบเจ้า ของใครของมันกองรวมไว้เป็นกองๆมีคนเฝ้าอยู่กลางแดด พี่สะไภ้นายงักเขาขนไว้กองใหญ่ตัวแกยืนอยู่บนโต๊ะ ถือปืนเมาเซอร์ ต่อด้ามเตรียมไว้ ที่พุงแกเคียนไว้ด้วยห่อใหญ่ห่อหนึ่ง คงเป็นพวกเงินทองนี่แหละ

    นั่นถ้าใครเข้าไปเอาของๆแกละก็ แกเป็นยิงตายห่าทีเดียว พวกบ้าน  พี่เริญ  (เจริญ คุ้มประวัติ) ร้านตัดผมริมน้ำ  (เป็นพี่ชายนายจำเนียร คุ้มประวัติ ร้านถ่ายรูปที่ตลาดเจ็ดเสมียน) เขาก็ขนไปกองไว้กลางหาด ฉันไปยืนคุยกับแก แกบอกว่าคุญนายกำตายแล้วหัวใจวายตาย

     ฉันถามพี่เริญๆแกก็เล่าให้ฟังว่า พอเกิดไฟไหม้คุณนายกำก็รวบรวมเงินทอง พอเห็นไฟเข้าจริงๆเลยตกใจ แกเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้ว พอมาได้รับความตกใจเข้าอีกหัวใจเลยช๊อคเลย นั่นแน่เขาหามแกไปไว้ท้ายหาดริมน้ำเอาร่มกางไว้

alt

นายหิรัญ ผู้บันทึกเรื่องนี้ เมื่อตอนที่มีอายุมากแล้ว และเสียชีวิตด้วยโรคชราเมื่อ ๓๐ พฤษจิกายน ๒๕๓๙

     ันแลไปทางมือพี่เริญชี้เห็นคนนอนอยู่ และมีร่มกางอยู่คันหนึ่งมีคนยืนดูอยู่ ๕ – ๖ คน ใจก็คิดปลงอนิจจังไปคนเรานี่สังขารไม่เที่ยงแท้จริงหนอ ฉันก็เดินไปทางใต้ทางหาดทราย

    ไฟกำลังลุกโชน ดังพัวะเพี๊ยะ ไหม้ฝาไหม้หลังคากันให้วุ่นไปหมด หลังนี้ไหม้แต่เพียงฝาแต่ไงดันไปลุกบ้านโน้นอีกแล้ว ไหม้บ้านโน้นแต่เพียงระเบียง กลับเลยไปไหม้ต่อไปอีกลุกลามไปกันใหญ่

    ด้านใต้นี้ไม่มีรถดับเพลิงเสียด้วย ไฟจึงคะนองมากขึ้น ฉันเดินเลียบหาดทรายไปไฟก็ยังร้อนมาถึง ฉันมาขึ้นตลิ่งตรงโรงสีตาเบ๊   เขากำลังตัดต้นไฟกันใหญ่ มองดูแล้วน่ากลัวมากฉันทนร้อนไม่ไหวเพราะไฟแรงเหลือเกิน ฉันคิดขึ้นได้ว่าลองไปดูบ้านเถ้าแก่เช็งกิตทีหรือว่าเป็นอย่างไร (นายเช็งกิต คือเจ้าของโรงสีไฟเจ็ดเสมียน บ้านอยู่ตลาดโพธาราม)

    จึงอ้อมไปทางหลังไปถึงเห็นเถ้าแก่เช็งกิตยืนดูอยู่  ไฟไหม้บ้านแกเตียนไม่เหลือซากไปแล้วแต่ควันยังกรุ่นอยู่ ฉันถามแกว่าเถ้าแก่เก็บของได้มากไหม แกไม่พูดเลยแกพูดไม่ออกได้แต่ส่ายหน้าอย่างเดียว

    ไฟกำลังจะลามมาถึงบ้านเล็กบ้านน้อยแล้ว บ้านเล็กบ้านน้อยในกลุ่มนี้มีอยู่กันมากด้วย ถ้าลามมาถึงตรงนี้ละก็จะลามไปกันใหญ่ฉันก็อ้อมมาทางตรอกหมูอีก ไฟก็ยังไม่สงบดี

     ในขณะเดียวกันทางไปรษณีย์โพธาราม   (นสมัยนั้นตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับสถานีรถไฟ)   ็โทรศัพท์ทางไกลไปยัง บ้านโป่ง ราชบุรี ขอรถดับเพลิงมาทำการช่วยเหลือโดยด่วน และนายไปรษณีย์บอกชาวบ้านว่า รถดับเพลิงกำลังมาแล้ว เมื่อไฟกำลังไหม้อยู่นั้นมีเครื่องบินๆมาวนเวียน ๑ ลำ เครื่องบินลำนี้เลยส่งวิทยุไปยังหอบังคับการดับเพลิงกรุงเทพฯ

   มีรถมาช่วย ๒ คัน  คือหน่วยดับเพลิงพญาไท และหน่วยดับเพลิงที่สะพานพุทธ  รถ ๒ คันนี้บึ่งมาจากกรุงเทพฯ เพียงชั่วโมงเศษเท่านั้นก็ถึง ได้ช่วยกันอีกเป็นหลายแรงขึ้น พวกนี้เขาฝึกหัดกันชำนาญแล้ว พอมาถึงก็ปีนบ้านพังฝากันยกใหญ่ ตัดต้นไฟกันจนดับไปเลย

   คงเสียหายเพียงแต่บริเวณนั้น ทางด้านบนเพียงบ้านนายจั้น ทางด้านล่างเพียงบ้านแม่เฮียเบี้ยว (นายเบี้ยว คือ คุณพ่อของคุณโอฬาร และคุณรังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์)   โรงเรียนครูวงค์  (ครูวงค์ คือเจ้าของโรงเรียนราษฏร์บำรุงวิทย์ ต่อมาโรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทย์ได้ย้ายออกไปอยู่ ทางที่ทำการอำเภอโพธารามใหม่)หม้ไปเพียงหลังเล็ก บ้านครูวิจิตรอยู่ติดกับหลังเล็กก็ไม่ไหม้

     ความดีความชอบจะอยู่กับรถดับเพลิงทีเดียวไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีเรือสูบน้ำมาจากบ้านโป่งช่วยสูบน้ำ จากแม่น้ำขึ้นมาให้รถดับเพลิงแล้ว พวกรถดับเพลิงจะเอาน้ำที่ไหนมาดับ เพราะจากตลิ่งไปถึงน้ำก็ข้ามหาดทรายไปตั้งเกือบ ๕ เส้นแล้ว บุญคุณครั้งนี้จึงต้องเป็นของเรือสูบน้ำตั้งครึ่ง

    ไฟไหม้ประมาณ ๑ ชั่วโมงจึงสงบลง ไหม้ไปหมดสักร้อยยี่สิบห้อง พวกที่อยู่ใกล้ไฟนั้นเก็บข้าวของไม่ได้เลยเก็บไม่ทัน พวกที่อยู่ห่างไฟถึงไฟจะไม่ไหม้บ้าน แต่ก็ขนไปขนมาเสียหายไม่รู้ว่าเท่าไร จึงนับได้ว่าเสียหายกันทุกคน

   สละ (ภรรยาครูหิรัญ) ก็มาช่วยเขาเหมือนกันมารถยนต์สหกรณ์ มาช่วยบ้านนางเผือก(เป็นเพื่อนกับนายหิรัญนางสละมานานสมัยตั้งแต่นายหิรัญอยู่ที่โพธาราม บ้านอยู่ใกล้ๆกัน อยู่หลังสถานีรถไฟ เยื้องๆไปทางโรงเรียนเจี้ยใช้ เป็นโรงฟักเป็ดและห่าน) ันไปพบเมื่อไฟสงบแล้ว นายกามันเล่าไปหัวเราะไปว่า มันตกตลึงไปหมดไม่รู้ว่าจะขนอะไรถูก  นางเผือกก็ท้องแก่ไม่รู้จะทำอะไรได้แต่ร้องไห้ ได้สละมาช่วยค่อยดีขึ้นคนเราพอตกตลึงเข้าละก็ ไม่รู้จะหยิบอะไรถูกทีเดียว

    ไฟไหม้บ้านใหญ่ๆที่เคยเห็นมาหลายครั้ง และฉันก็เคยเข้าช่วยแทบทุกครั้งเสียด้วย  ตั้งแต่ที่หัวหินไฟไหม้โรงเลื่อยล่างไหม้ที่บ้านโป่ง แล้วก็ไหม้ที่โพธารามครั้งนี้อีก ฉันไม่ใคร่ตกใจเท่าไรหรือมันจะไม่ใช่บ้านเราก็ไม่รู้นะ ฉันคุมสติดีทุกครั้งบอกให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้โดยไม่ตกใจ ถ้าหากเป็นบ้านเราจะตกใจหรือไม่หนอ

     ฉันบอกสละว่าสมมุติถ้าบ้านเราที่เจ็ดเสมียน ถูกไฟไหม้อย่างนี้สละอย่าตกใจไปนะ ของอะไรไม่เอาทั้งนั้นเอาแต่ลูกทุกๆคนออกไปเท่านั้นก็แล้วกัน ของๆเราก็ไม่มีอะไรมาก และเป็นของไม่มีราคาอย่าเป็นห่วงมัน สำคัญอยู่ที่ลูกเราทุกคนเท่านั้น   ันกลับไปเจ็ดเสมียนรถเที่ยวเย็นรู้สึกเมื่อยขบไปทั้งตัว

๑๐ พฤษภาคม  ๒๔๙๘

     ตอนเช้าฉันมารถเช้าอีกที่โพธารามมีคนมาก  ใครๆที่รู้ข่าวว่าที่โพธารามถูกไฟไหม้ก็พากันมาเยี่ยม พอรู้ว่าตามบ้านพี่น้องไม่ถูกก็ดีใจ ที่ถูกไหม้ก็ไปแสดงความเสียใจกัน

    ที่หน้าศาลเจ้ากวนอูเขาตั้งเป็นสำนักงานชั่วคราวขึ้น เพื่อช่วยเหลือบรรเทาทุกข์พวกประสพอัคคีภัย มีคนมาช่วยจากทุกแห่ง  ช่วยเงิน  ช่วยเครื่องอุปโภค บริโภคกันมาก

   ควรแล้วเหตุการณ์อย่างนี้เป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก ทีเขาทีเราใครโดนเข้าละก็จึงจะรู้สึกว่ามันหมดตัวแค่ไหน .....

  จากบันทึกของ นายหิรัญ     ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๘    

ยหิรัญ สุวรรณมัจฉา เกิดที่โพธารามตรงบริเวณโรงเรียนเจี้ยไช้ในปัจจุบัน เมื่อ พศ. ๒๔๕๙ (พ่อแม่ของนายหิรัญได้ขายที่ดินทั้งหมดตรงนั้นให้กับโรงเรียนเจี้ยไช้) เมื่อยังเป็นเด็กได้เรียนหนังสือจีนที่โรงเรียนเจี้ยไช้ แล้วไปเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียน โพธาวัฒนาเสนี สุดท้ายไปเรียนต่อเพิ่มเติมวิชาการทอผ้าที่โรงเรียนทอผ้าวัดโชค สำเร็จแล้ว บรรจุเข้าเป็นครูที่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน ตำบลเจ็ดเสมียน นายหิรัญจึงต้องย้ายไปอยู่ที่เจ็ดเสมียนเป็นการถาวร และมีครอบครัว จึงกลายเป็นคนเจ็ดเสมียนตั้งแต่นั้นมา 

นายหิรัญ สุวรรณมัจฉา เป็นครูน้อยมาหลายปีตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ต่อมาจึงได้รับตำแหน่งครูใหญ่ และบริหารโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน ในฐานะครูใหญ่ต่อมาอีกหลายปีจึงได้ลาออกจากราชการ... 

alt

นายแก้ว ผู้นำมาเสนอ

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้214
เมื่อวานนี้746
สัปดาห์นี้2575
เดือนนี้8833
ทั้งหมด1328167

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

2
Online