บ้านไร่ริมคลอง (ตอนพิเศษ)

แม่ของฉันพร้อมด้วยลูกทั้ง ๔ คน ถ่ายที่ท่าน้ำตลาดเจ็ดเสมียนเมื่อ เกือบ ๔๐ ปีมาแล้ว    

     ื่อประมาณยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ฉันได้ซื้อที่ไว้แปลงหนึ่งที่ริมคลองชลประทานเจ็ดเสมียน จากเจ้าของเดิมซึ่งเป็นคนเจ็ดเสมียนเหมือนกับฉัน และเรียกที่แปลงนี้ว่า “ไร่เจ็ดเสมียน” (ถ้ายังไม่เคยรู้เรื่องนี้เข้าไปอ่านที่มาที่ไปของเรื่องนี้เสียก่อนลิ๊ก)

     เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔ แม่ของฉันซึ่งอายุมากแล้ว ได้ป่วยและลูกหลานได้พาไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่กรุงเทพฯ แต่อาการของแม่ไม่ดีขึ้นเพราะว่าเป็นมากแล้ว สุดที่หมอจะดูแลรักษาให้หายได้

   ซึ่งฉันก็ได้ไปเยี่ยมแม่ทุกๆวัน เพราะว่าเวลานั้นสถานที่ทำงานของฉัน ก็อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลรามาธิบดีมากนัก แม่มารักษาอยู่ที่โรงพยาบาลไม่นาน ก็ได้เสียชีวิตลงที่โรงพยาบาลแห่งนี้นั่นเอง

      เดิมทีที่ตรงนี้เมื่อตอนที่ฉันยังไม่ได้มาซื้อนั้น เจ้าของเดิมเขาให้คนแถวนั้นเช่าทำไร่อ้อย ต่อมาเมื่อฉันได้ซื้อที่ตรงนี้ไว้ ไม่นานนัก หลานชายซึ่งเป็นลูกคนโตของน้องสาว (น้องสาวของฉันมีลูก ๓ คน) ก็ได้เข้ามาทำโรงเผาอิฐ และได้ปลูกบ้านพักอาศัยที่ไร่แห่งนี้ด้วย ในช่วงเวลานั้นได้เกิดเหตุการณ์แปลกๆ ซึ่งฉันได้เล่าไว้ใน ”เรื่องเล่าริมคลอง” หลายตอนมาแล้ว

่เสียชีวิตแล้วจึงได้ออกหนังสือเชิญญาติมิตรและท่านที่เคารพนับถือมาเป็นเกียรติในงานฌาปนกิจศพของแม่ ในการนี้จึงต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้มาร่วมงานในครั้งนั้นด้วย

   เมื่อแม่ของฉันเสียชีวิตลง และได้ประกอบพิธีฌาปนกิจศพ ที่วัดเจ็ดเสมียนแล้ว ทางผู้ที่จัดการเกี่ยวกับงานศพที่วัด  (สัปเหร่อ)  ด้เก็บกระดูกของแม่บางส่วน ใส่ลงในโกศเล็กๆที่ลูกๆได้ซื้อมาเตรียมไว้ แล้วมอบให้ลูกหลานไว้บูชากันต่อไป

         ศาลาวัดเจ็ดเสมียน

  งานฌาปนกิจศพแม่ ที่วัดเจ็ดเสมียน เมื่อวันพุธที่ ๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๔

   เรื่องเกี่ยวกับการเก็บกระดูกนั้น สำหรับบางคนจะนำไปเก็บไว้ที่วัดโดยเสียเงินทำบุญให้วัด (เหมือนกับซื้อสถานที่) แล้วทางวัดก็จะจัดที่เล็กๆทำเป็นช่องๆ ไว้ให้สำหรับเก็บกระดูกปู่ย่าตายายหรือบุคคลในครอบครัวที่ล่วงลับ เช่น ตามกำแพงวัด กำแพงโบสถ์ ที่เราเห็นกันบ่อยๆเมื่อเราไปวัดเป็นต้น

    ที่กำแพงโบสถ์วัดจ็ดเสมียน อยู่ชิดกับห้องแถวในตลาดเจ็ดเสมียน เมื่อสมัยในอดีตนั้นตามกำแพงโบสถ์ไม่มีช่องสำหรับเก็บกระดูกคนตายอย่างนี้  เห็นมีแต่เจดีย์เก่าๆโบราณหลายองค์

 

  ที่เห็นเป็นเหมือนศาลพระภูมิเล็กๆ นี้คือฝาปิดช่องสำหรับบรรจุกระดูก อยู่ที่กำแพงโบสถ์วัดเจ็ดเสมียน ที่ติดกับด้านหลังของตลาด เจ็ดเสมียน

   างคนยังไม่ตายแต่ลูกหลานก็ได้ซื้อช่องไว้ใส่กระดูกเสียแล้ว เช่นตรงนี้ก็มีชื่อ นายชำนาญ กับนางถวิล ศรีลาธรรม สลักชื่ออยู่ด้านหน้า สองคนนี้ยังไม่ตายไม่กี่วันมานี้ก็ยังเห็นอยู่

    นายต๋อง ลูกชายคนที่สองของน้องสาว ดูจะเป็นหลานที่ใกล้ชิดยาย (แม่ของฉัน) มากกว่าหลานคนอื่นๆ เมื่อยายเสียชีวิตลงและได้ประกอบพิธีฌาปนกิจศพแล้ว ด้วยความอาลัยรักในตัวยายมาก

   นายต๋อง จึงได้บอกทุกคนว่า อยากจะอากระดูกของยาย มาเก็บไว้ที่บ้านห้องแถวในตลาด ไม่อยากให้เอาไปไว้ที่วัด ซึ่งทุกคนในบ้าน รวมทั้งน้องสาวของฉันก็เห็นดีด้วย จากนั้นมา โกศกระดูกแม่ของฉันก็ตั้งอยู่ที่บ้าน ห้องแถวในตลาดตลอดมา

่ชายของฉันเป็นทหาร อ่านเรื่องของพี่ชาย    ิ๊ก

    อีก ๒ ปีต่อมา พี่ชายของฉันคนหนึ่งก็เสียชีวิตลง และก็ได้ทำพิธีเกี่ยวกับศพที่วัดเจ็ดเสมียนแห่งนี้ เมื่อเรียบร้อยแล้ว นายต๋องก็เป็นคนจัดการเอาโกศใส่กระดูกของลุงเขา มาตั้งไว้ที่บ้านในตลาดเจ็ดเสมียน คู่กับโกศกระดูกของแม่ฉัน พร้อมกับมีภาพของแม่และพี่ชายของฉันตั้งอยู่ด้วย และตั้งอยู่ตรงนั้นตลอดมา

ห้องแถวในตลาดห้องนี้ที่ได้ขายไป ผู้ที่ซื้อได้ทำเป็นร้านเสริมสวย ในภาพเป็นการทำบุญบ้านตอนที่แม่ของฉันยังมีชีวิตอยู่ (นั่งขวาสุด)

    ต่อมาอีกหลายปีเมื่อน้องสาวของฉันได้ตัดสินใจขายห้องแถวในตลาดแล้ว ลูกชายคนที่สองของน้องสาวคือนายต๋อง ซึ่งพักอยู่ในตลาดก็ได้ขนย้ายครอบครัวที่มีลูกชายเล็กๆสองคนมาปลูกบ้านอยู่ในไร่ ใกล้กับบ้านพี่ชายคนโตซึ่งเลิกทำอิฐแล้ว ที่ไร่นี้พอมีคนมาอยู่หลายๆคนเข้า บรรยากาศในไร่ก็ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อน

ยต๋องหลายชายปลูกบ้านเสร็จแล้วก็ย้ายเข้ามาอยู่

   ายต๋องนั้น เมื่อปลูกบ้านใหม่ที่ไร่เสร็จแล้ว ก็ได้ย้ายบ้านมาอยู่ที่บ้านใหม่ในไร่ พร้อมทั้งนำโกศที่ใส่กระดูกยายและลุงมาทำหิ้งที่ตั้ง มาบูชาต่อที่บ้านใหม่ โดยตั้งไว้บนหิ้งข้างฝาที่ห้องหน้าบ้าน หรือที่เรียกว่าห้องอเนกประสงค์นั่นแหละ ใครไปใครมาบ้านนี้พอเข้าประตูบ้านมาจะเห็นโกศบนหิ้งทันที ยังดีที่นายต๋องไม่ได้นำรูป ของยายและลุงมาตั้งไว้ข้างโกศด้วย ต๋องบอกว่าเดี๋ยวลูกเมียเกิดจะกลัวกันขึ้นมาเลยไม่เอารูปมาตั้งให้เห็น

   ฉันถามต๋องว่าแล้วลูกเมียไม่กลัวกันหรือ ต๋องบอกว่าแรกๆก็กลัวกัน แต่ไม่นานก็เป็นความเคยชินเพราะยังไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้น ฉันเคยแนะนำให้นำไปฝากไว้ที่วัดแล้วเราทำบุญให้วัดไป พอถึงเทศกาลต่างๆเราก็สามารถไปทำบุญที่วัดให้ได้ ซึ่งคนส่วนใหญ่เขาก็ทำกันแบบนี้ ต๋องบอกแต่เพียงว่าเอาไว้ที่บ้านนี้ก่อน ไม่มีอะไรหรอก

    เมื่อครั้งที่ฉันยังทำงานอยู่ในกรุงเทพ ถ้าไม่ติดภาระกิจอะไร ตอนเย็นวันศุกร์ ฉันก็มักจะกลับมาพักที่บ้านที่ราชบุรีเสมอ มีครั้งหนึ่งต๋องโทรบอกฉันว่าวันศุกร์ที่จะถึง เขาจะมาธุระที่กรุงเทพฯ ขากลับจะแวะรับฉันกลับด้วยเลย ป้าจะได้ไม่ต้องนั่งรถทัวร์กลับ เขาบอก ฉันก็เห็นดีด้วย

     แต่กว่าต๋องจะมารับฉันที่บ้านกรุงเทพได้ก็มืดแล้ว เพราะธุระของเขาเพิ่งเสร็จ เราจึงเดินทางถึงราชบุรีค่อนข้างดึก อาจจะเป็นเพราะต๋องเหน็ดเหนื่อยกับงานวันนี้ก็เป็นได้ ต๋องบอกให้ฉันค้างที่บ้านเขาที่ไร่ในคืนนี้ก่อน แล้วพรุ่งนี้ต๋องค่อยไปส่งป้าที่บ้านราชบุรี ถ้าป้ากลัวก็นอนกับพวกต๋องก็แล้วกัน

     เหตุที่ต๋องพูดเช่นนี้เพราะเราเคยคุยกันถึงเหตุการณ์แปลกๆ ที่ผ่านมาที่ไร่นี้อยู่บ่อยๆ ยิ่งตอนนี้ต๋องเอาโกศที่เก็บกระดูกของแม่กับพี่ชายของฉันมาเก็บไว้ที่บ้าน ถึงแม้จะเป็นบุคคลที่รักก็ตาม ขนาดเดินผ่านหิ้งฉันยังกลัวเลย กลัวจะไปเห็นอะไรแปลกๆแถวนั้น

     ครั้นจะไปเรียกหลานชายคนโตที่บ้านอยู่ใกล้ๆกันก็เกรงใจเพราะดึกมากแล้วและเห็นเขาปิดไฟนอนกันเงียบหมดแล้ว ตกลงคืนนั้นฉันจึงค้างที่บ้านต๋อง เขาก็ขนย้ายที่นอนผ้าห่มของลูกชายทั้งสองให้มานอนในห้องเขาด้วย โดยให้ฉันนอนบนเตียง ต๋องและลูกเมียเขานอนกันที่หน้าเตียงเพื่อที่ว่าฉันจะได้ไม่กลัว

     พอรุ่งเช้าต๋องก็ขับรถไปส่งฉันที่บ้านราชบุรี ป้าดูเหมือนจะไม่สบายนะ เห็นหน้าซีด ๆ ต๋องบอก ป้าเป็นไข้หวัดน่ะ เดี๋ยวพอถึงบ้านกินยาแล้วนอนพักก็คงจะหาย ฉันบอกต๋องไปแบบนั้น

     แต่ต๋องไม่รู้หรอกว่าเมื่อคืนนี้ฉันนอนไมค่อยหลับเลย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ามันมีเหตุน่ะซี ! ฉันคิดว่าตัวเองคงหลับไปได้สักพักแล้วก็ตื่นขี้นมา ฉันไม่รู้ว่าเป็นเวลากี่ทุ่มกี่ยามแล้ว แต่คิดว่าน่าจะสักตีสองตีสาม บรรยากาศดูเงียบสงัด คืนนี้น่าจะเป็นคืนข้างแรมเพราะมันมืดๆทึมๆชอบกล ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆห้องนอน ก็เห็นต๋องและหลานสะไภ้และลูกชายทั้งสองของเขานอนหลับสนิท

     ฉันมองไปที่หน้าต่างบานเกร็ดปลายเตียง ซึ่งสามารถมองออกไปเห็นด้านในของไร่ที่มืดทึบได้ ใกล้กับบ้านต๋องจะมีต้นขนุนใหญ่อยู่ต้นหนึ่งซึ่งให้ร่มเงาดีพอสมควร ตอนกลางวันแดดจัดก็ช่วยลดความร้อนให้ได้มากทีเดียว ตอนที่ต๋องย้ายมาอยู่ในไร่ ฉันได้ซื้อชิงช้าเหล็กขนาดที่นั่งได้สองสามคน ให้ต๋องชุดหนึ่งจะได้ไว้ให้ลูกๆของเขานั่งเล่น ต๋องบอกเอาไว้ใต้ต้นขนุนกำลังดีเลย

     เมื่อมองออกไปจากหน้าต่างห้องนอนจะเห็นชิงช้านี้ได้พอดี แต่ตาของฉันคงไม่ฝาดไปหรอกนะ ! เพราะฉันเห็นเหมือนกับมีคนนั่งอยู่ที่ชิงช้านี้ท่ามกลางความมืดสลัว แล้วไม่รู้ทำไมฉันจึงคิดว่าเป็นผู้ชายทั้งๆที่ก็มองเห็นไม่ชัดเจน ลักษณะของเขาคือนั่งเฉยไม่ได้แกว่งไกวชิงช้าแต่อย่างใด

    บอกตามตรงว่าใจฉันคิดแต่ว่าใครคนไหนจะมานั่งแบบนี้ในเวลาดึกดื่นขนาดนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดความกลัวขึ้นมา ฉันไม่กล้ามองไปทางนั้นอีกเลย และก็คิดว่านี่เวลาก็ผ่านมาหลายปีแล้วนับแต่เรื่อง ป้าเม้ย ที่ไร่นี้ยังไม่หมดเรื่องแบบนี้อีกหรือ

    ฉันพยายามข่มใจให้หลับ แต่ก็ไม่ได้ผลจนถึงรุ่งเช้าและตั้งใจว่าจะไม่บอกให้หลานๆที่อยู่ที่ไร่นี้รู้ เดี๋ยวเขาจะกลัวกัน ต่อมาฉันก็ได้ทำบุญใส่บาตรให้คนที่ฉันเห็น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม พร้อมทั้งขอให้เขาอย่ามารบกวนลูกหลานเลย

   บ่ายวันเสาร์สัปดาห์ต่อมา ฉันและน้องสาวก็เข้าไปในไร่ซึ่งเมื่อพวกหลานๆมาปลูกบ้านอยู่ที่ไร่กันแล้ว เราสองคนซึ่งพักอยู่ที่ตัวเมืองราชบุรีก็จะไปไร่กันเป็นประจำ ไปทำอาหารกินกันบ้าง ไปปลูกต้นไม้บ้าง เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากการทำงานตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์

   พอเจอหน้า ต๋องก็บอกว่า “ป้า เมื่อสองคืนที่แล้ว เจ้าเซ็นมันเห็นยายกับลุงด้วยแหละ” เซ็นคือลูกชายคนเล็กของต๋องและมีอายุได้หกขวบ ฉันรีบหันไปเรียกเด็กชายเซ็นที่กำลังวิ่งเล่นอยู่แถวนั้นมาถามด้วยความอยากรู้

  เซ็น คนทางซ้าย ต๊ะ คนทางขวา

              ซ็น เห็นยังไง เล่าให้ย่าฟังซิ ลูก”
         “ก็เซ็นตื่นขึ้นมาตอนดึก เซ็นก็เห็นคนแก่อยู่ข้างหน้าต่างในห้อง”

    เซ็นเล่าให้ฟังตามประสาเด็กซึ่งฉันได้ซักไซร้หลายรอบ สรุปได้ความว่า คืนนั้นเขานอนอยู่กับแม่ที่พื้นหน้าเตียง โดยพี่ชายนอนกับพ่อบนเตียง เขาตื่นขึ้นมากลางดึกทั้งๆที่ไม่อยากจะตื่นแต่เหมือนมีอะไรสักอย่างบอกเขาว่าต้องตื่น

    เขาเห็นผู้หญิงแก่ใส่เสื้อสีขาว เป็นเสื้อแบบคอกลมที่เคยเห็นคนแก่ใส่ ยืนอยู่ในห้องข้างหน้าต่างมองมาที่พ่อ เซ็นเห็นพ่อนอนหลับอยู่ แล้วคนแก่ก็เดินมาที่หัวเตียงของพ่อ เซ็นเพิ่งเห็นในตอนนั้นว่ามีผู้ชายอีกคนยืนอยู่ที่หัวเตียงด้วย คนแก่เอามือมาลูบหัวพ่อสองสามครั้งแต่พ่อก็ยังหลับอยู่ แล้วทั้งคนแก่และคนผู้ชายก็หายออกไปทางฝาห้องด้านที่เป็นหิ้งตั้งโกศ

“เซ็นฝันไปหรือเปล่า” ฉันถาม “เซ็นตื่น แล้วเซ็นก็เห็นจริงๆ ย่า ไม่ได้ฝัน”

    ตอนเช้าเซ็นเล่าให้พ่อฟังในสิ่งที่เขาเห็นเมื่อคืนที่ผ่านมา ต๋องจึงเอารูปของยายกับลุงมาให้เซ็นดู เขาบอกพ่อว่า ใช่ สองคนนี้แหละที่เขาเห็นเมื่อคืนนี้

    “ต๋อง แม่ว่ายายกับลุงเขามาให้เห็นแบบนี้ เขาคงต้องการมาเตือนอะไรต๋องแน่ๆเลย” แม่ของต๋องซึ่งเป็นน้องสาวของฉันบอก ตอนนั้นต๋องทำงานเป็นคนขับรถส่งของให้ร้านค้าส่งแห่งหนึ่งที่โพธาราม เท่าที่รู้มาเขาจะขับรถเร็วมากเหมือนลูกจ้างขับรถส่งของทั่วไป

    “ต๋องต้องขับรถให้ช้าลงนะ ยิ่งตอนนี้หน้าฝนอยู่ด้วย” ฉันพูดเสริมขึ้นมา  

    “ถ้าต๋องเป็นอะไรไป ลูกเมียต๋องต้องลำบากแน่นอน “ ขณะที่เรากำลังพูดกัน ฉันเห็นลูกชายทั้งสองของต๋องมองหน้าพ่อและกอดแขนพ่อไว้แน่นเพราะเด็กทั้งสองคนโตพอที่จะรู้เรื่องแล้ว

   หลังจากวันนั้นไม่กี่วัน เราก็ได้รับทราบข่าวว่ารถส่งของคันที่ต๋องขับเกิดยางแตกระหว่างทางที่กำลังนำของไปส่งลูกค้า ทำให้รถเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ข้างทาง แต่เคราะห์ยังดีที่เขาขับรถไม่เร็วมาก เขาจึงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้เราโล่งใจไปตามๆกัน

    สำหรับเรื่องนี้ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร แต่ต๋องเชื่อว่ายายกับลุงได้มาเตือนเขา ทำให้เขารอดชีวิตมาได้ ดังนั้นต๋องจะขอเอากระดูกยายกับลุงไว้ที่บ้านต่อไป เขาจะได้ไหว้บูชาได้ทุกวัน

  จนถึงปัจจุบันนี้ถ้าใครไปเยี่ยมบ้านต๋อง ก็จะเห็นโกศที่บรรจุกระดูกยายและลุงของต๋อง อยู่บนหิ้งในห้องหน้าบ้านหรือห้องอเนกประสงค์ ต๋องบอกจะเอากระดูกยายกับลุงไว้ที่บ้านเขานี่แหละ ไม่เอาไปไว้วัดอย่างแน่นอน....!

  อุ่นเรือน เขียน บ้านไร่ริมคลอง (ตอนพิเศษ)

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้102
เมื่อวานนี้706
สัปดาห์นี้2658
เดือนนี้11905
ทั้งหมด1341789

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

6
Online