เทศกาลของคนเจ็ดเสมียนในอดีต

     

ขบวนแห่แฟนซีแต่งตัวและเริ่มต้นจากบริเวณบ้านกำนันโกวิท

       ในขณะที่ นายจตุรงค์ ชายตาดูอีกครั้งเมื่อวิ่งมาได้ถึง ๗๕ เมตรนั้น มีนักวิ่งอีกคนหนึ่งกำลังจะแซงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คนๆนี้เป็นคนรูปร่างเล็กๆ ผิวดำแดง ไม่ขาวเหมือนนายจตุรงค์  ไว้ผมสั้นเหมือนทหาร แต่มีร่องรอยว่าผมจะหยิกหยักศกเล็กน้อย

       อีกชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ก็แซงนายจตุรงค์ของเราไปเข้าเส้นชัยอย่างง่ายดาย สุดที่นายจตุรงค์จะสปีด (เร่ง) ฝีเท้าตามทัน ทำเอากองเชียร์ที่เชียร์นายจตุรงค์อยู่นั้นแทบเป็นลมไปตามๆกัน คนที่ได้รับรางวัลเป็นเงินสดพร้อมทั้งถ้วยรางวัลนั้นก็คือหนุ่มคนนั้นนั่นเอง ทำให้มีเครื่องหมายคำถามสำหรับคนเจ็ดเสมียนในวันนั้นว่า หนุ่มคนนั้นคือใคร

     ชายหนุ่มคนนั้นมาทราบภายหลังว่า เป็นคนกรุงเทพฯ มาเที่ยวที่เจ็ดเสมียนกับเพื่อนที่เป็นคนเจ็ดเสมียน  มีชื่อว่าสุทธิ  เป็นนักวิ่งเร็วทีมชาติ มีชื่อเสียงโด่งดังสถิติการวิ่งของเขาคือ ๑๐ .๔ วินาทีในการวิ่งเร็ว ๑๐๐ เมตร เขาเปิดเผยว่าที่ลงวิ่งแข่งสนุกๆกันในครั้งนี้ ก็เพราะว่าเพื่อนคนที่ชวนมาเที่ยวที่เจ็ดเสมียนด้วยนั้น เป็นผู้คะยั้นคะยอจึงต้องตามใจเพื่อน และไม่ได้หวังว่าจะเอาชนะแต่อย่างใด

     สำหรับนายจตุรงค์นั้น เขาบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร กีฬาย่อมต้องมีแพ้มีชนะ เสร็จแล้วก็เดินไปพร้อมกับเพื่อนฝูง ปะปนไปกับผู้ที่มาเที่ยวงานแห่ดอกไม้ของตำบลเจ็ดเสมียนหายลับไป

      อีกด้านหนึ่งของงานในปีนี้นั้น อยู่ตรงเยื้องๆกับศาลาเกือบถึงหน้าโบสถ์ ใกล้ๆกับปะรำพิธี ของคณะกรรมการจัดงาน ที่มีนายจำเนียร (ช่างถ่ายภาพ) เป็นโฆษก กำลังยืนพูดอยู่
       ตรงนี้เป็นสนามมวยชั่วคราว กำนันโกวิทมีบัญชาให้คนงาน ซึ่งเป็นลูกน้องของช่างจำปา ผู้รับเหมาปลูกบ้านชื่อดังของเจ็ดเสมียน มาทำกันอย่างง่ายๆ โดยไปขนเอาถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตร ที่บ้านของนายวิรัช วงษ์วานิช มาตั้งเรียงกัน แล้วไปเอาไม้กระดานไม้ยาง ที่กองอยู่ไต้ถุนศาลามาปูบนถังน้ำมัน แล้วเอาไม้เสาต้นใหญ่มาปักเป็นเสาทั้งสี่ด้าน เอาเชือกมนิลาเส้นใหญ่ๆที่เขาเอาไว้โยงเรือ มาผูกไว้รอบๆเสาสี่ต้นนี้ เป็นสามชั้น ที่พื้นเวทีก็เอาผ้าใบผืนใหญ่ ที่บ้านนายตรวจทางฉุยมาปู นี่คือสนามมวยขั่วคราวของงานแห่ดอกไม้ที่ตำบลเจ็ดเสมียนในปีนี้

       นักชกแต่ละคนที่จะขึ้นชกโชว์ศิลป์มวยไทยกันในวันนี้ จะได้รับเงินค่าเหนื่อยกันคนละนิดหน่อยเท่านั้น ไม่มีรางวัลชนะเลิศหรือได้ถ้วยอะไร เพราะว่ากรรมการไม่คิดว่าจะมีมวยชกโชว์ จึงเตรียมตัวหาถ้วยรางวัลไม่ทัน

       มูลเหตุหนึ่งที่จะต้องมีโชว์มวยไทยนั้น เพราะเหตุว่า ที่เจ็ดเสมียนในเวลานั้นมีคนชอบมวยกันมาก สังเกตได้จากวันเสาร์และวันอาทิตย์ในตอนบ่ายๆจะมีการถ่ายทอดมวยจากเวทีราชดำเนินและเวทีลุมพินี ผลัดเปลี่ยนกันคนละวัน คนเจ็ดเสมียนจำนวนมากก็มาดูการถ่ายทอดนั้นๆ ที่ร้านกาแฟเฮียไล้บ้าง หรือบางทีก็เปลี่ยนไปดูที่โรงของเฮียง้วน (เจ๊กวย) ซึ่งอยู่ที่ริมคลองเจ็ดเสมียน (ตรงนี้เดิมทีเป็นโรงยาฝิ่น ของกำนันโกวิท) แล้วก็เชียร์มวยและเล่นพนันมวยกันเฮๆกันลั่น

       ในเวลานั้นมีคนเจ็ดเสมียนคนหนึ่ง ที่หากินกับการชกมวยไทยเป็นงานอดิเรกอยู่คนหนึ่ง ชกมวยไทยได้เก่งตะเวนชกมาหลายจังหวัดแล้ว ในรุ่นเดียวกันคือ รุ่น ๕๒ กิโลกรัมไม่มีใครที่จะสู้ได้เลย สถานที่ชกนั้นก็ตามงานต่างๆ งานวัด งานหาดทรายโพธาราม และงานอื่นๆที่มีการแข่งขันชกมวยไทย นายคนนี้ก็จะไปเปรียบมวย (หาคู่ชกให้เหมาะสมกัน) ด้วย ส่วนเวทีใหญ่ที่กรุงเทพนั้นไม่เคยขึ้นชก เพราะถือว่าการชกมวยของเขานั้นเป็นงานอดิเรกเท่านั้น

      เมื่อเขาเป็นคนเจ็ดเสมียนและอยู่ในตลาดนี้เอง จึงมีคนมาบอกกำนันโกวิท ให้เพิ่มการแข่งขันชกมวยไทยในเทศกาลปีนี้ด้วย กำนันโกวิทก็เห็นดีเพราะว่าตัวเองเมื่อสมัยหนุ่มๆนั้นเป็นนักมวยเก่าอยู่แล้ว ถึงขนาดที่ว่าขึ้นชกจนได้รับรางวัล ได้ถ้วยมามากมาย จึงได้จัดขึ้น และได้ส่งหนังสือเชิญนักมวยไทยคนนี้มาชกโชว์ด้วย ทำเอาคนเจ็ดเสมียนตื่นเต้นกันเป็นอันมาก

      นักมวยไทยคนนี้คือ ศิษย์น้อย ศิษย์สิน  มีอาชีพหลักคือรับราชการทหาร เป็นทหารช่างอยู่ที่ราชบุรี หรือในชื่อจริงของเขาคือ สิบเอกอุทัย สนกระแสร์ หรือที่เพื่อนๆที่สนิทรุ่นเดียวกัน เช่น เฮียเล็ก ไทยเจริญ เรียกเขาว่าไอ้ไทย นั่นเอง

     นักมวยสมัครเล่นคู่แรกๆเริ่มต่อยกันมาเรื่อยๆแล้ว โดยมากเป็นมวยเด็กที่อยากสนุก เป็นเด็กบ้านในบ้าง ตลาดนอกบ้าง และเด็กจากชุมชนอื่นๆบ้าง ท่ามกลางเสียงเชียร์เฮฮาจากเพื่อนฝูง และนักนิยมมวย โดยมากถ้าการชกไม่เพลี่ยงพล้ำกันจริงๆ กรรมการก็จะชูมือให้เสมอกันทุกคู่  ชกเสร็จก็ได้รับการปรบมือให้กับนักมวยทั้งคู่กึกก้อง

     คู่ที่ชกกันดุเดือดคู่หนึ่งคือ เดชา ชาญชาติณรงค์ (ไอ้ชา) เป็นเด็กตลาดในแท้ๆเป็นลูกของเฮียไล้ แห่งร้านขายกาแฟ วันนี้เขานึกสนุกและมีใจชอบมวยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงได้มาเปรียบมวยเมื่อตอนบ่าย ในรุ่นน้ำหนัก ๔๕ กิโลกรัม โดยที่ไม่มีการออกกำลัง หรือซ้อมมวยมาก่อนเลย วันนั้นเดชาได้คู่ชกเป็นเด็กคลองข่อย น้ำหนักเท่ากันพอดี จึงนับได้ว่าไม่มีการเสียเปรียบได้เปรียบอะไรกัน  จะมีก็เพียงเดชาได้เปรียบในส่วนสูงนิดหน่อย ส่วนคู่ชกก็ล่ำสันกว่าเดชานิดหน่อย จึงพอดีกัน

     ทางด้านหน้าสนามโรงเรียนนั้น เมื่อการประกาศและมอบรางวัลต่างๆ ให้แก่ชุมชนทั้งหลาย ที่มาร่วมงานการแห่ดอกไม้ในปีนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว กำนันโกวิทพร้อมด้วยผู้ติดตาม เช่น ผู้ใหญ่เสงี่ยม ผู้ใหญ่บุญมา หมอเลื่อน และบริวารอีกหลายคน ก็เตร่ๆมาทางสนามมวยชั่วคราว มายืนคุยกับคนในตลาดและเดินทักทายลูกบ้านด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส  และเมื่อการแข่งขันต่างๆทางด้านหน้าโรงเรียนจบลง ผู้คนก็เดินมาทางสนามมวยมากขึ้น ทำให้ที่ตรงหน้าศาลาซึ่งมีสยามมวยชั่วคราวแน่นขนัด

        คนพากย์มวยคือ  ครูประวิทย์ ไทยแช่ม ครูประจำโรงเรียนเจ็ดเสมียนเอาไมโครโฟนส์ มาจากนายจำเนียร แล้วบอกว่ามวยคู่ต่อไป จะเป็นใคร ชกกับใคร คนดูก็ปรบมือกันดังลั่น 
      แล้วก็ถึงคู่ของ  เดชา ชาญชาติณรงค์ เด็กตลาดที่เพื่อนฝูงเรียกเขาว่าไอ้ชา ไอ้ชาก้าวมุดลอดเชือกเข้ามาในเวทีเป็นฝ่ายแดง ผู้ชมรอบๆเวทีปรบมือให้กำลังใจกันเสียงดังสนั่น  ติดๆกันนั้นนักมวยสมัครเล่น (ยังไม่เคยชกมวยเป็นอาชีพ)จากคลองข่อยก็ก้าวเข้ามาในเวที

       ขึ้นมาแล้วทั้งคู่ก็เต้นกันหยองแหยงๆ ชกลมกันฟืดฟาด แค่วอร์มอัพนักมวยทั้งสองก็ทำท่าจะหอบเสียแล้ว เพราะไม่เคยออกกำลัง วิ่ง กระโดดเชือกมาก่อนเลย นึกสนุกขึ้นมาก็มาขึ้นเวทีต่อยมวยกันซะหยั่งงั้นเอง 
      เสียงปี่กลองขึ้นในเพลงไหว้ครู นักมวยทั้งสองก็นั่งลงทำท่าไหว้ครูเก้งก้าง ย๊อกแย๊ก ประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ  แล้วทั้งคู่ก็มาประจันหน้ากัน โค้งให้กัน ตามกฎของมวยที่บอกว่า ไหว้ครูเสร็จแล้วก็ต้องโค้งให้กัน

      เรียบร้อยแล้วกรรมการเรียกทั้งคู่ มาประจันหน้ากันกลางเวที กรรมการพูดกติกาให้ฟัง ทั้งคู่พยักหน้ารับทราบแล้วก็เดินเข้ามุม ก่อนระฆังจะดังขึ้นพี่เลี้ยงของทั้งสองฝ่ายก็พร่ำสอนกลวิธีต่างๆให้แก่นักมวยของตัว เสียงพี่เลี้ยงคือเฮียแก่เล็กและอีกคนหนึ่งจำชื่อไม่ได้ คุยกับไอ้ชาว่า ลุยมันตั้งแต่ยกหนึ่งเลยนะ อย่าให้มันตั้งตัวได้ ถ้ายกหนึ่งน๊อคมันไม่ได้ก็ยอมแพ้มันเลย  ไอ้ชาพยักหน้ารับรู้

       แล้วระฆังยกหนึ่งก็ดังขึ้น (ชกกันแค่สามยกเท่านั้น) ทั้งคู่ปราดเข้ามาหากันเหมือนโกรธกันมาสักยี่สิบปี ไอ้ชาสาวหมัดเข้าใบหน้านักชกรุ่นเล็กจากคลองข่อยถี่ยิบตั้งแต่กรรมการสั่งให้ชก  ถูกหน้าบ้าง ถูกนวมของคู่ต่อสู้ที่ยกขึ้นมากันบ้าง นักชกรุ่นเล็กจากคลองข่อยก็ยกนวมขึ้นรับหมัดของไอ้ชาเป็นพัลวัน โดยยังไม่ได้โต้ตอบอะไรเลย

       ไอ้ชาลุยเข้าไปแค่นาทีเดียวก็หอบแล้ว  ยกนวมก็แทบจะไม่ไหวนวมตกลงมาข้างตัวห้อยร่องแร่ง เพราะว่าตัวเองไม่เคยฝึกซ้อมมวยมาก่อนเลย ความอึดและความอดทนจึงไม่มี ในตอนท้ายๆยกหนึ่งนี่เอง ไอ้ชาของเราก็ถูกหมัดซ้ายตรงของคู่ต่อสู้ หน้าหงาย นักชกจากคลองข่อยปราดเข้ามาประชิดตัว ซ้ำหมัดฮุคขวาซึ่งถือว่าเป็นหมัดที่มีความรุนแรงที่สุด เข้าที่ลิ้นปี่อีกหมัดหนึ่ง

       เท่านั้นเอง ไอ้ชาก็ทรุดฮวบ เอามือกุมลิ้นปี่ หงายหลังผลึ่งลงไปกองกับพื้นเวที  หายใจหอบฟืดฟาด กรรมการห้ามมวยปราดเข้ามานับ เฮียแก่เล็กพี่เลี้ยงของไอ้ชาที่ยืนอยู่ข้างๆเวที โยนผ้าขะม้าของใครก็ไม่รู้ขึ้นมาบนเวทีเป็นสัญญาณว่าขอยอมแพ้ เป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของไอ้ชา ที่ริอ่านขึ้นชกมวยบนเวทีนกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำก็โดนน๊อคลงมาเสียแล้ว

      ครูประวิทย์ ไทยแช่ม ก็ประกาศถึงผลการชกมวยของคู่นี้ แล้วก็ประกาศชื่อนักมวยที่จะขึ้นชกโชว์เป็นคู่ต่อไป กำนันโกวิทซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆกับ เฮียเล็ก ไทยเจริญ เฮียธง เฮียย้ง เฮียงั้ง และคนตลาดเจ็ดเสมียนอีกกลุ่มใหญ่ หันมาถามเฮียเล็กว่า  วันนี้ไอ้ไทยมันจะชกกับใครกันวะ เฮียเล็กบอกว่า ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน มีคนบอกว่าเป็นนักมวยจากทางนครปฐมครับ  เป็นมวยใหม่คงจะสู้ไอ้ไทยมันไม่ได้หรอก เมื่อกี้นี้เจอไอ้ไทยมันบอกว่า ไม่เป็นไรหรอกแค่ชกโชว์เท่านั้นเอง

      ไม่นานนักมวยคู่ต่อไปก็ขึ้นไปบนเวที โฆษกคือครูประวิทย์ประกาศว่า คู่ต่อไปนี้เป็นนักมวยชาวเจ็ดเสมียนนี่เอง จะขึ้นชกกับนักมวยนครปฐม  แล้วก็บรรยายสรรพคุณของนักมวยทั้งสองอย่างยืดยาว แต่ลงท้ายก็บอกผู้ชมทั้งหลายว่า มวยคู่นี้จะเป็นการชกโชว์เท่านั้นเอง จะไม่มีการตัดสินแพ้ชนะกัน และการชกจะมีเพียงสามยกเท่านั้น

      มีการตบมือและโห่ร้องจากคนดูดังลั่น นักมวยทั้งสองขึ้นเวทีไหว้ครูอย่างสวยงาม เพราะเป็นนักมวยที่เจนเวทีมาแล้ว ทั้งคู่ชกกันครบ ๓ ยกอย่างสวยงามในแม่ไม้มวยไทย แล้วก็เสมอกันในที่สุด สมความต้องการของชาวเจ็ดเสมียนที่ได้ยืนดูอยู่
 เมื่อจบมวยคู่นี้แล้วก็ยังมีมวยอื่นๆชกกันต่อไปอีก เสียงปี่กลองดังเจี้อยแจ้ว และก็ยังมีคนยืนดูอยู่อีกมาก         
 
       ขอย้อนมาถึงเรื่องของนางรำอีกทีหนึ่ง ในกลุ่มของป้าม่อมนั้นได้รำหน้าขบวนกันจนเหนื่อยแล้ว ก็คิดว่าควรจะพักกันสักหน่อย จึงจะเดินออกจากขบวนแห่นั้นกลับไปพักผ่อนที่บ้านที่ในตลาดเสียหน่อย และตั้งใจจะไปพักกันที่บ้านป้าหละ แต่ก็มีผู้ที่มารำมาร่วมสนุกด้วยกันนั้นฝ่ายชาย เข้ามายื้อยุดฉุดกระชากเอาไว้ ยังไม่อยากจะให้กลับบ้าน  ดึงกันไปดึงกันมาได้เสียงฮาจากผู้ที่อยู่รอบข้างกันลั่น

       ฝ่ายผู้บริการก็เอา เหล้าขาวมาแจกกันอีกคนละอึบสองอึบ เหมือนเป็นการเติมน้ำมัน จนป้าม่อมและพรรคพวกที่มารำด้วยกันนั้นเริ่มเซและหน้าแดงก่ำมากขึ้นแล้ว
       อากาศในตอนเย็นเริ่มคลายความร้อนบ้างแล้ว ที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียนก็ยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนและขบวนแฟนซีของหมู่ต่างๆ ต่างร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน นี่ก็เป็นงานประเพณีอย่างหนึ่งของตำบลเจ็ดเสมียน ที่ปีหนึ่งจะมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น พวกเขาจึงได้เล่นกันอย่างเต็มที่แบบนี้กันทุกปี

       เมื่อได้จังหวะป้าม่อมและพรรคพวก ๔ – ๕ คน เดินโซเซแบบคนเมาเหล้า  ส่งเสียงคุยกันลั่น เหงื่อไหลโทรมตัว ทั้งหมดเดินผ่านสนามมวยกลับเข้าไปในตลาด  ลัดเลาะเข้าไปทางหลังร้านกาแฟเจ๊เซี้ยม ซึ่งจะเป็นทางเดินริมกำแพงโบสถ์ไปเรื่อยๆ ทะลุไปอีกด้านหนึ่งได้  เมื่อถึงประตูหลังบ้านป้าหละแล้วก็เลี้ยวเข้าไป กินน้ำบ้วนปาก กินหมากกันคนละคำ คุยกันว่าจะนั่งพักกันสักประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วก็จะทยอยกันกลับไปที่สนามหน้าโรงเรียนอีก  หรือว่าใครเหนื่อยจัดพอแล้ว ก็จะกลับไปบ้านใครบ้านมันเลยก็ได้

       นั่งพักกันยังไม่ทันไรเลยก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนหลายคน เดินตุบตับมาจากทางหน้าบ้าน ซึ่งประตูทางหน้าบ้านของป้าหละนั้น เปิดแง้มไว้ช่องหนึ่งไม่ได้ปิดทั้งหมด ได้ยินเสียงพูดดังลั่นว่า  นี่มันบ้านนังหละนี่หว่า มึงว่าพวกเขาเข้ามาที่นี่แน่นะ อีกคนยังไม่ทันตอบ ก็มีเสียงอีกคนพูดว่า

       “พวกมันไปไหนกันหมดงานยังไม่ทันเลิกเลย ดันหนีกลับมาก่อนเสียได้  หาให้เจอแล้วจับตัวกลับไป “  เสียงนั้นเหมือนกับคนเมาเหมือนกัน และคนพวกนี้จะมาตามตัวนางรำชุดนี้กลับไปที่หน้าโรงเรียนนั่นเอง
        พวกป้าม่อมที่กำลังนั่งพักกันอยู่ในบ้านได้ยินดังนั้น ก็มองหน้ากันเลิกลั๊ก เหมือนจะบอกกันว่าจะทำอย่างไรกันดี พวกนี้จะมาให้เราไปเล่นไปรำกันที่สนามหน้าโรงเรียนอีก ไม่ไหวแล้ว เมาแล้วก็เหนื่อยด้วย

        หนีกันซีวะอย่าให้มันจับได้ เสียงป้าม่อมว่า  พวกมันมากันทางหน้าบ้านพวกเราก็ออกกันทางหลังบ้านนี่แหละ  ว่าพลางลุกขึ้นกันทั้งหมดพรวดพราดออกประตูไป ทุกคนต่างก็วิ่งออกประตูแล้วไปทางซ้าย ยายมั่นเมียตาชุ่มร้านตัดผมก็วิ่งเข้าบ้านซึ่งอยู่ติดๆกันกับบ้านป้าหละ ส่วนอีก ๓ คนนั้นวิ่งไปทางบ้านตาโหงว แล้วเลี้ยวขวาผ่านศาลาวัด เข้าไปทางหอระฆังริมน้ำหายไปทางหลังวัด 

        ส่วนป้าหละ แกเหนื่อยและอ่อนแรงเต็มทีแล้ว แกคงไม่อยากจะวิ่งหนีไปไหนอีก แกคงนึกได้เห็นพวกป้าม่อมวิ่งไปกันหมดแล้วแกจึงวิ่งตามออกไปบ้าง แต่ไม่ได้วิ่งไปทางเดียวกับพวกป้าม่อม แกวิ่งออกมาได้นิดเดียวเห็นประตูหลังบ้านของอี๊น้อยเปิดอยู่(เพราะว่าบ้านอยู่ใกล้กัน ) จึงวิ่งเข้าไปแอบในบ้านอี๊น้อยอย่างเงียบๆอยู่ในบ้านอี๊น้อยนั้น

        สักครู่หนึ่งเสียงเอะอะก็เข้ามาในบ้านป้าหละ มีคนรีบเดินนำหน้ามาสองคน แล้วพูดกันว่า เอ๊ะไม่เห็นมีใครเลย  ป้าม่อมและพรรคพวกคงไม่ได้มาทีนี่แน่ๆเลย พูดพลางสอดส่ายสายตามองไปทั่วๆในครัวของบ้านป้าหละ แล้วก็โผล่หัวออกไปดูหลังบ้าน “ไปไหนกันหมดเร็วจริงๆ ก็เห็นหลังอยู่แว๊บๆ นี่นา”  คนที่อยู่ข้างหน้ากล่าวอย่างอารมณ์เสีย

       “ไปกลับกันเถอะ ป่านนี้พวกป้าม่อมแกคงย้อนกลับไปหน้าโรงเรียนแล้วละ” หนึ่งในสองคนนั้นพูดขึ้น อีกคนหนึ่งได้ยินดังนั้นก็ขยับจะหันหลังกลับไป แต่เมื่อมองไปทางห้องน้ำเห็นประตูปิดสนิท ก็ลองๆเดินเข้าไปดึงมือจับขยับๆดู ประตูนั้นก็ไม่ขยับเปิดออกมา แสดงให้รู้ว่าข้างในนั้นต้องมีคนแน่นอน หรือว่าพวกนั้นแอบอยู่ในนี้ แกคิด

       ว่าพลางเอื้อมมืออีกข้างหนึ่งมาตบประตูแล้วเขย่าๆ แล้วก็ส่งเสียงเรียกคนที่อยู่ข้างใน  “ใครแอบอยู่ข้างในออกมาเสียดีๆป้าม่อมใช่ไหม กำนันให้มาตามแน่ะ” คนเขย่าประตูเอาชื่อกำนันมาอ้าง แต่ข้างในก็เงียบไม่มีเสียงตอบรับออกมา ประตูห้องส้วมของบ้านป้าหละยิ่งไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว เมื่อคนจับเขย่าแรงๆจึงดังลั่นสั่นคลอนไปหมด

      “ไม่มีใครอยู่ในนี้หรอก” มีเสียงดังออกมาจากในห้องส้วมแล้ว แทนที่จะเป็นเสียงของพวกป้าม่อมคนใดคนหนึ่ง กลับเป็นเสียงของผู้ชายคนหนึ่ง 

      “ใครน่ะ ใครน่ะ ออกมานะถ้าไม่ออกมาจะพังประตูเสียเลย ”  เสียงคนที่อยู่ด้านนอกขู่อีก

       “ผมแหวงครับ” คนข้างในตอบออกมา  “อ๋อ ... ไอ้แหวงเองหรือ มึงมาทำอะไรที่นี่วะ ”  คนข้างนอกเมื่อรู้ว่าเป็นนายแหวง คนงานเก็บผักกาดของ อี๊น้อยเถ้าแก่ผักกาดเค็มรายใหญ่ จึงถามไปเล่นๆอย่างนั้นเอง
 แต่ก็ได้ยินเสียงคนข้างในตอบเสียงดังลั่นออกมาว่า “อ๋อ ...ก็นั่งขี้อยู่นี่ไง ถามได้”

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้350
เมื่อวานนี้343
สัปดาห์นี้1839
เดือนนี้8006
ทั้งหมด1337890

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online