แม่น้ำแม่กลองในอดีต

ทิวท้ศน์ของแม่น้ำแม่กลองมองจากท่าน้ำเจ็ดเสมียนในปัจจุบัน

   เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาฉันได้ไปตลาดนัดเจ็ดเสมียน หลังจากซื้อของบางอย่างได้แล้วก็เดินเลยไปดูทิวทัศน์แม่น้ำแม่กลองซึ่งยังคงความสงบและสวยงามเหมือนเคยแม้จะเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามกาลเวลา

    ฉันอยากจะเรียกว่าแม่น้ำแห่งความทรงจำ ซึ่งเป็นความทรงจำในวัยเด็กของฉันที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังทำให้นึกถึงประสบการณ์ครั้งหนึ่งของฉัน เกี่ยวกับแม่น้ำแม่กลองที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมากแล้วน่าจะกว่าสามสิบปีทีเดียว

เมื่อตอนเด็กๆฉันและพี่น้องของฉันนั่งอยู่ที่ริมแม่น้ำแม่กลองซึ่งอยู่ใกล้ๆบ้าน

   คนเจ็ดเสมียนโดยเฉพาะเด็กๆในตลาดทุกคน มีความผูกพันกับแม่น้ำสายนี้เพราะบ้านเราอยู่ติดกับแม่น้ำ เราเติบโตกันมาโดยที่ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า พวกเราว่ายน้ำเป็นกันตั้งแต่เมื่อไร มันเหมือนกับว่าว่ายน้ำเป็นมาตั้งแต่เกิดอย่างนั้นแหละ แทบทุกวันพวกเราเด็กๆจะลงเล่นน้ำในแม่น้ำ ยิ่งตอนหน้าร้อนโรงเรียนปิดเทอมบางทีเล่นน้ำกันเป็นวันๆก็มี

 ตอนหน้าแล้งน้ำในแม่น้ำมีน้อย พวกเราก็จะว่ายน้ำข้ามไปฝั่งโน้น (ฝั่งตรงข้ามตลาด) ที่มีหาดทรายเป็นแนวยาวกันเป็นประจำ 
 หรือวันไหนถ้าเจอเรือโยงที่บรรทุกสินค้าจนเต็มเพียบ เราก็จะเกาะเรือโยงให้ลากไปจนเลยท่าวัด แล้วเราก็จะลอยคอไหลตามน้ำล่องกลับลงมาท่าตลาด เป็นที่สนุกสนานยิ่งนัก

  แม่น้ำแม่กลองช่วงตลาดเจ็ดเสมียน (ระหว่างวัดสนามชัย ลงมาถึงวัดใหม่) ที่จริงแล้วกว้างมากถ้าเป็นหน้าน้ำหลาก น้ำจะขึ้นสูงท่วมตลิ่ง

   มองไปอีกฝั่งหนึ่งก็จะเห็นฝั่งตรงกันข้ามกับตลาดไกลลิบลิ่ว ถ้าเป็นหน้าแล้งน้ำจะลดลงไปแทบจะเห็นพื้นทราย ด้านฝั่งตลาดมีตลิ่งที่สูงชันน้ำค่อนข้างลึก ที่บอกว่าว่ายน้ำข้ามไปฝั่งโน้นได้ ก็โดยที่เราจะว่ายน้ำออกไปกลางแม่น้ำ คอยเอาเท้าหยั่งใต้น้ำ พอถึงก้นแม่น้ำที่เป็นทรายเราก็ค่อยๆเดินจนน้ำตื้นขึ้นเรื่อยๆและถึงหาดทรายฝั่งโน้นในที่สุด

   เหตุที่เล่าเกี่ยวกับแม่น้ำมาพอสมควรนั้น ก็เพราะว่าจะเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ในการลงเล่นน้ำต่างๆของคนเจ็ดเสมียนหรือของเด็กเจ็ดเสมียนเหล่านี้ ก็จะเป็นตอนที่ฉันเด็กๆและอยู่ที่ตลาดเจ็ดเสมียนเท่านั้น  ต่อมาเมื่อฉันไปเรียนต่อที่กรุงเทพ ก็ได้ห่างเหินจากแม่น้ำนี้ไป แม้กลับมาบ้านในวันหยุดก็ไม่ได้ลงเล่นน้ำเหมือนตอนเด็กๆอีก

   เมื่อฉันเรียนจบและได้เข้าทำงาน ในหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่ง ฉันได้รู้จักกับเพื่อนใหม่หลายคน คนหนึ่งในจำนวนหลายๆคนนั้น มีเพื่อนที่สนิทและคบหากันมา อย่างยืนยาวมากกว่าสามสิบปีแล้วก็คือ คุณสมศรี 
 แม้ว่าต่อมาหน้าที่การงานของเราจะเจริญก้าวหน้าขึ้น และต้องแยกย้ายกันไปทำงานต่างกองต่างสำนักกัน แต่เราก็ยังติดต่อกันอยู่เสมอ และหลายครั้งที่เราจะพูดกันถึงเหตุการณ์ที่แม่น้ำแม่กลองในครั้งนั้น

 

อุ่นเรือนกับคุณสมศรี (ขวา) เมื่อครั้งรับราชการกันใหม่ๆ ไปเที่ยวที่จังหวัดประจวบฯ ภาพนี้เกือบ ๔๐ ปีมาแล้ว

  มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันยังจำได้ว่า ฉันมักจะคุยให้เพื่อนฟังเสมอๆ เกี่ยวกับเจ็ดเสมียนบ้านเกิดของฉันและชักชวนให้มาเที่ยวที่บ้านของฉัน

  จนวันหนึ่งเราก็นัดแนะกันกับคุณสมศรี ที่จะมาเที่ยวเจ็ดเสมียนโดยมีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ด้วยกันขอมาเที่ยวด้วย เขาชื่อ นายจุ๋ม ผู้ซึ่งเป็นคนที่ชอบอยู่ในกลุ่มเพื่อนผู้หญิงมากกว่าเพื่อนผู้ชาย เขาเป็นคนอัธยาศัยดีและมีอารมณ์ขันอยู่เสมอ เขาเป็นคนสูงมากคิดว่าน่าจะสูงเกือบ ๑๘๐ เซ็นติเมตรทีเดียว

  “นี่ๆเธอต้องพาพวกเราไปเล่นน้ำนะยะ ชั้นชอบแม่น้ำมาก เห็นเธอคุยเกี่ยวกับแม่น้ำแม่กลองไว้มากมาย ชั้นอยากเห็นแล้วหละ” นายจุ๋มบอกเมื่อได้นัดกันถึงวันเวลาที่จะไปเที่ยวเจ็ดเสมียนกันเรียบร้อยแล้ว

  “ได้เลย เดี๋ยวจะพาเธอว่ายน้ำข้ามฝั่งด้วยนะ”  ฉันบอกเพื่อน

  “จริงเหรอยะ งั้นเราไปเสาร์อาทิตย์นี้แน่นอนตามนัดนะ อย่าเปลี่ยนวันเสียล่ะ สมศรีเขาคงจะไม่มีปัญหาอะไรเขาว่ายน้ำเก่งอยู่แล้วเพราะบ้านเขาอยู่ริมคลองบางกอกน้อย”  นายจุ๋มบอกฉันดูเขาตื่นเต้นมาก

   เราสามคนเดินทางมาเจ็ดเสมียนโดยรถไฟในวันเสาร์ต่อมา  การเดินทางโดยรถไฟเป็นสิ่งที่ฉันชอบมากเพราะนอกจากจะได้ดูทิวทัศน์สองข้างทางแล้ว ฉันยังชอบดูผู้คนในแต่ละสถานีที่รถไฟจอดรับส่งผู้โดยสารอีกด้วย

   เมื่อตอนที่ฉันเรียนหนังสือชั้นมัธยมที่โพธาราม ฉันก็เดินทางโดยรถไฟไปกลับทุกวัน สุดแสนจะสะดวกสบายเพราะบ้านเราอยู่หลังสถานีรถไฟอยู่แล้ว ในการมาเจ็ดเสมียนครั้งนี้ก็เช่นกัน พวกเรามาโดยรถไฟมาลงที่สถานีเจ็ดเสมียน พอลงรถไฟเรียกว่าก็ถึงบ้านเลย ค่าตั๋วรถไฟก็เพียงคนละ ๕.๕๐ บาทเท่านั้น

 

สถานีรถไฟเจ็ดเสมียน ตลาดเจ็ดเสมียนอยู่หลังสถานีรถไฟ (สถานีรถไฟนี้ปัจจุบันได้รื้อไปแล้วและได้สร้างขึ้นมาใหม่อย่างสวยงาม)  

   เราตกลงกันว่าจะค้างที่บ้านของฉันหนึ่งคืน และจะเดินทางกลับในวันอาทิตย์เนื่องจากวันจันทร์เราต้องไปทำงาน

   รถไฟมาถึงเจ็ดเสมียนตอนบ่ายแล้ว  ฉันพาเพื่อนๆไปบ้านในตลาดซึ่งแม่ของฉันรออยู่ แม่บอกว่าเดี๋ยวแม่จะได้จัดเตรียมข้าวของเพื่อทำอาหารเย็นให้พวกเรา  ในตอนหลังเพื่อนทั้งสองคนบอกว่าแม่ของฉันทำอาหารอร่อยและใจดีมาก

   หลังจากพักกันพอหายเหนื่อย ฉันพาเพื่อนทั้งสองคนไปไหว้ศาลตาผ้าขาว ซึ่งอยู่ที่ริมกำแพงโบสถ์ทางด้านทิศตะวันออก (ปัจจุบันนี้ย้ายไปอยู่หลังสถานีรถไฟแล้ว ซึ่งก็ไม่ไกลจากที่เดิมเท่าไรนัก) ซึ่งที่จริงแล้วก็อยู่ใกล้บ้านฉันนั่นเอง

   ตาผ้าขาวนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรไม่มีใครรู้ แต่ท่านก็เป็นที่นับถือของคนในตลาดเจ็ดเสมียน และคนที่อยู่ที่ตำบลใกล้เคียงเป็นอันมาก

  มีคนมาบนบานขอให้ท่านช่วยเหลือ และก็ได้ผลเป็นจำนวนมาก สังเกตุจากเครื่องเซ่นที่เขาเอามาแก้บนมีมากมายจนจะไม่มีที่จะวาง  มีอย่างเดียวที่ไม่ได้ผลคือการบนบานไม่ให้ถูกทหาร ในเรื่องการมาบนไม่ให้ถูกทหารนี้ ถ้าใครไม่เชื่อแล้วมาบนดูก็จะถูกทหารทุกคนไป ไม่มีรอดสักรายเดียว กราบไหว้ตาผ้าขาวอธิษฐานว่า การพาเพื่อนมาเที่ยวในครั้งนี้ ขอให้ท่านจงคุ้มครองให้ปลอดภัยด้วยเถิด เสร็จแล้วก็พาไปเดินเล่นที่สนามหน้าโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน ซึ่งเป็นโรงเรียนแห่งแรกของฉัน

 

โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียนเป็นโรงเรียนแห่งแรกของเด็กๆที่เจ็ดเสมียนทุกคน

   เรานั่งคุยกันจนรู้สึกว่าบ่ายมากแล้ว เราจึงกลับเข้าบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปเล่นน้ำกัน ที่ท่าน้ำ (ท่าตลาด) มีเด็กๆเล่นน้ำอยู่บ้างแล้วสองสามคน ถ้าเป็นตอนเย็นๆแล้วคนมาลงเล่นน้ำอาบน้ำที่ท่านี้จะมีมาก 

   เราเอาผ้าขนหนูและขันสบู่วางไว้ที่ขั้นบันไดท่าน้ำ เนื่องจากตอนนั้นเป็นหน้าแล้ง น้ำจะน้อยมากมองเห็นหาดทรายฝั่งตรงข้ามอย่างชัดเจน เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวการได้ลงน้ำจึงเย็นสบายเป็นอย่างยิ่ง เมื่อลงน้ำแล้วฉันว่ายน้ำนำหน้าสมศรีกับนายจุ๋ม มุ่งออกไปกลางแม่น้ำเพื่อจะข้ามไปฝั่งโน้น ตามที่ได้ตั้งใจกันไว้ เริ่มแรกฉันก็ว่ายน้ำด้วยความทะมัดทะแมง เพื่อให้เพื่อนของฉันเห็นว่าฉันว่ายน้ำเก่ง อะไรทำนองนั้น โดยฉันลืมไปว่าฉันไม่ได้ว่ายน้ำมานานแล้ว

   นี่เป็นความประมาทอย่างมากของฉัน พอว่ายน้ำห่างออกไปจากฝั่งตลาดได้ไม่นาน ฉันเริ่มรู้สึกว่าเรี่ยวแรงเริ่มลดลงไปเรื่อยๆ ฉันลองเอาเท้าหยั่งลงไปใต้แม่น้ำหวังว่าจะได้ยันกับพื้นทราย แต่น้ำก็ยังคงลึกอยู่จึงยันไม่ถึง

 

 

โค้งน้ำตรงขวามือของภาพนี่แหละที่อุ่นเรือนคิดว่าถ้าจมน้ำแล้ว ร่างก็จะลอยไปถึงโค้งน้ำนี้ เพียงแต่ภาพนี้ไม่ใช่ตอนหน้าน้ำแล้ง จึงเห็น
น้ำเต็มตลิ่ง (ท่าตลาดอยู่ตรงที่เรือบรรทุกของจอดอยู่)

   ตอนนั้นฉันไม่ได้สนใจแล้วว่าเพื่อนของฉันว่ายน้ำอยู่ตรงไหน สนใจแต่จะประคองตัวเองให้ว่ายไปให้ถึงตรงที่จะหยั่งเท้าถึงพื้นทรายใต้ท้องน้ำให้ได้

   ฉันพยายามรวบรวมกำลังว่ายต่อไปแต่ในที่สุดฉันก็รู้สึกว่าหมดแรงที่จะว่ายต่อไปได้อีก ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันคิดแต่ว่าฉันต้องจมน้ำตายแน่ๆ ฉันมองไปทางโค้งน้ำเลยวัดใหม่ไปลิบๆ คิดแต่ว่าเมื่อฉันจมน้ำแล้วร่างของฉันก็คงไปตามน้ำจนถึงโค้งน้ำนี้ ฉันยังไม่อยากตายหรอกนะ แต่ฉันไปต่อไปไม่ไหวจริงๆ นึกไม่ถึงว่าทำไมจึงหมดแรงได้ก็ไม่รู้

   ขณะที่ฉันกำลังจะจมลงใต้น้ำนั้น ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกว่ามีมือมา กระชากแขนฉันอย่างแรง และดึงฉันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นายจุ๋มนั่นเอง !
เขาดึงให้ฉันเกาะบ่าข้างหนึ่งของเขาไว้ ฉันจึงเห็นว่า สมศรี ก็ได้เกาะบ่าอีกข้างของนายจุ๋มไว้เช่นกัน และตอนนี้นายจุ๋มสามารถเดินบนพื้นทรายใต้ท้องน้ำได้แล้ว ต้องขอบคุณความสูงของเขาที่ช่วยพวกเราไว้ได้

ท่าตลาด ที่อุ่นเรือนพาเพื่อนมาลงว่ายน้ำมองเห็นอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ตอนนี้หน้าแล้ง มองเห็นตลิ่งสูงชัน ในรูปนี้มองไม่เห็นหาดทราย เห็นแต่ผู้ที่กำลังเดินเล่นที่หาดทรายฝั่งตรงข้าม (มีอุ่นเรือนเดินอยู่ในนี้ด้วย)

  เราค่อยๆถีบน้ำพยุงตัวไว้จนกระทั่งเหยียบทรายถึง โดยไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้สักคำเดียว แล้วเราก็นั่งกันเงียบๆที่หาดทราย แต่ละคนดูสีหน้าค่อนข้างจะซีดเซียว ความสนุกสนานแต่แรกดูจะหายไปจนหมดสิ้น เหลือแต่ความระทึกใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด

  “ต้องขอบคุณเธอมากเลยนะจุ๋มที่ช่วยเราสองคน นี่ถ้าเธอไม่ได้มาด้วยพวกเราจะเป็นยังไงยังไม่รู้เลย”  ฉันบอกนายจุ๋มที่ดูเหมือนว่าตอนนี้ความมีอารมณ์ขันของเขาไม่เหลืออยู่เลย

   “จริงๆด้วย ความสูงของเธอช่วยชีวิตเราแท้ๆ” สมศรีบอก “ถ้าเธอสูงเท่ากับเรา เธอก็ยังยืนไม่ถึงท้องน้ำหรอก เธออาจจะช่วยพวกเราไม่ทันก็เป็นได้  ป่านนี้เราคงจมน้ำตายไม่รู้ไปโผล่ที่ไหนแล้วละ”

 “ไหนเธอคุยนักไม่ใช่หรือว่าว่ายน้ำเป็นมาตั้งแต่เกิด แถมยังท้าชั้นว่ายน้ำแข่งกันจำได้ไหม” นายจุ๋มแกล้งแหย่ฉัน แต่พอเห็นฉันทำหน้าเซียวๆเขาก็เลยเลิกเย้าแหย่

 

 

   คุณสมศรี (ขวา) ในขณะที่รับราชการเป็นผู้อำนวยการในหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่ง

   พวกเราเดินทางกลับกรุงเทพในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันอาทิตย์โดยไม่ได้ลงเล่นน้ำกันอีก หลังจากนั้นต่อมาเมื่อไรก็ตาม ที่ฉันเจอนายจุ๋มหรือโทรศัพท์คุยกัน (เราทำงานอยู่คนละกองแต่หน่วยงานเดียวกัน) นายจุ๋มจะต้องแกล้งพูดถึงการไปเล่นน้ำในครั้งนั้นอยู่เสมอ

   “นี่เธอ เมื่อไรไปเล่นน้ำที่เจ็ดเสมียนกันอีกล่ะ คราวที่แล้วสนุกดีเนอะ ! ”  นายจุ๋มเย้าแหย่จากการเจอกันครั้งหลังสุด  ฉันตอบไปว่าจะไปเมื่อไรก็บอกมา แต่คราวนี้ฉันมีที่ใหม่ให้เธอไปว่ายน้ำเล่นแล้วนะ ที่ไหนน่ะหรือ ก็ที่คลองชลประทานเจ็ดเสมียนไง  รับรองปลอดภัยไม่มีการจมน้ำแน่นอน....

 อุ่นเรือน เสาร์ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓

 www.chetsamian.org ขอสงวนลิขสิทธิ์ข้อมูลและรูปภาพบนเว็บไซต์ทั้งหมด โดยไม่อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ ทำซ้ำ แก้ไข หรือ ดัดแปลง ไม่ว่าจะเป็นบางส่วนหรือทั้งหมด หากท่านใดต้องการข้อมูลบนเว็บไซต์ www.chetsamian.org กรุณาติดต่อ นายแก้ว โดยส่ง email ไปที่    เพื่อขออนุญาติเสียก่อน เนื่องจากข้อมูลและรูปภาพบางเรื่องและบางชิ้น เป็นของท่านผู้เขียนและท่านสมาชิกที่ได้เขียนเรื่องต่างๆ และให้ขอยืมภาพต่างๆมาลงไว้ ซึ่งทางผู้จัดทำเว็บไซต์จำเป็นจะต้องขออนุญาตจากทางเจ้าของผลงานก่อนทุกครั้ง จึงเรียนมาเพื่อทราบ. This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้60
เมื่อวานนี้460
สัปดาห์นี้1910
เดือนนี้11157
ทั้งหมด1341041

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online