ชีพ ชูชัย แห่งตำบลเจ็ดเสมียน ๑ (จตุรงค์ วงศ์ยะรา)

  เมื่อลูกหลานของกำนันโกวิท วงศ์ยะราไปส่งกำนันที่สนามบินดอนเมืองเพื่อไปดูงานที่ต่างประเทศ คนที่แต่งเครื่องแบบนายตำรวจยืนข้างซ้าย (ในภาพ) ของกำนัน นั่นคือจตุรงค์ วงศ์ยะรา ลูกชายคนหนึ่งของกำนัน.

    กำนันโกวิท วงศ์ยะรา มีลูกหญิงชายหลายคนมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมก็มี แก่กว่าผมก็มี สำหรับในเรื่องนี้ผมจะขอเล่าถึง ลูกกำนันโกวิทคนที่มีอายุมากกว่าผมเป็นรุ่นพี่พวกผมที่ตลาดเจ็ดเสมียนแห่งนี้ 

    เขาคือนายจตุรงค์ วงศ์ยะรา และชื่อรองของเขาที่พวกผมเรียกกันจนคุ้นเคยคือ เฮียตี๋ ต่อจากนี้ไปผมจะเรียกว่าเฮียตี๋ ต่อไปจนจบเรื่องเลยนะครับ เฮียตี๋คนนี้นี่แหละที่เป็นพี่ชายของ พี่อนงค์ วงศ์ยะรา ในอดีตเคยเป็นครูสอนวิชาคหกรรม เย็บปักถักร้อย แห่งโรงเรียน ราษฎร์บำรุงวิทย์ ในตัวอำเภอโพธาราม มีลูกศิษย์ลูกหามากมายในอดีต

  คุณอนงค์ วงศ์ยะรา (เสื้อสีฟ้า) เป็นน้องสาวของเฮียตี๋ (ภาพนี้ถ่ายในงานคนเจ็ดเสมียนพบกัน เมื่อค่ำวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๒ ปฏิพัทธ์ ถ่ายภาพ)

   และเด็กเจ็ดเสมียนในรุ่นผม แทบทุกคนจะต้องมาเป็น กลุ่ม (เป็นลูกน้อง) ของ เฮียตี๋ทั้งนั้นโดยที่ไม่ได้บังคับขู่เข็นแต่ประการใด เด็กเจ็ดเสมียนในรุ่นผมนั้น ทุกคนเรียกเขาว่า เฮียตี๋ นาย จตุรงค์ วงศ์ยะรา แก่กว่าพวกเราประมาณ  ๔ - ๖ ปีเห็นจะได้

   เฮียตี๋แกมีใบหน้าหล่อเอามากๆเชียว มากกว่าพระเอกหนังในสมัยนั้นบางคนเสียอีก ผิวขาว สูงเกือบ ๑๗๕ ซม. ผมหยิกหยักศกรูปร่างได้สัดส่วนจริงๆ ไว้ผมทรงลือชัยเสียด้วย และยิ่งได้ไปบ่มตัวที่กรุงเทพด้วยแล้ว ก็เลยงามเสียไม่มีที่ติก็แล้วกันละ

 ภาพประกอบจากเวบไซต์ thaifilm.com 

    ในขณะนั้นมีภาพยนต์ไทยเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง เล็บครุฑ กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังมาก เพราะว่าสร้างจากบทประพันธ์ อันลือลั่นของนักประพันธ์เอกชื่อดัง “พนมเทียน” หนังไทยเรื่องนี้ นำแสดงโดย พระเอกลักยิ้ม ลือชัย นฤนาท อมรา อัศวนนท์ ดนัย ดุลยพรรณ อบ บุญติด (ในบทของ จาง  ซูเหลียง) สิงห์ มิลินทราศัย จรัสศรี สายะศิลปี และชานีย์ ยอดชัย วายร้ายหน้าผี สร้างและกำกับการแสดงโดย สุพรรณ พราหมพันธุ์ ปรีชา ทรัพย์พระวง ถ่ายภาพ เข้าฉายเป็นครั้งแรก เมื่อ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๐๐ ที่เฉลิมกรุงและเฉลิมบุรีพร้อมกัน ๒ โรง    

 (ภาพยนตร์เรื่องเล็บครุฑ ที่ผมได้พูดถึงนี้เป็นการสร้างในครั้งแรก คือสร้างเป็นครั้งแรกเมื่อ พศ. ๒๕๐๐ และต่อมาได้สร้างอีก ๒ ครั้ง ในพศ. ๒๕๑๑ และ ๒๕๒๕ ตามลำดับ)

   ข่าวที่ยังไม่ได้กรองบอกว่า เฮียตี๋ก็แอบไปสมัครเล่นหนังเรื่องนี้ กับผู้กำกับสุพรรณ พราหมพันธุ์ ที่สหะนาวีไทยภาพยนต์เหมือนกัน และขอเล่นในบท สารวัตร กริจ กำจร แต่ในตอนหลัง ดนัย ดุลยพรรณ เพื่อนของเฮียตี๋เองเอาบทนี้ไปกินเสียฉิบ จริงเท็จอย่างไรก็ไม่รู้นะ เพราะว่าข่าวนี้มาจากแหล่งข่าว สายลับตำบลเจ็ดเสมียน (นายจิต ฉายาในหมู่เพื่อฝูงที่เจ็ดเสมียนว่า อ่วม อกแห้ง) ในสมัยนั้น ผมไม่ได้เห็นด้วยตาและรู้ด้วยหูตัวเองหรอกบอกตรงๆ

   แต่ตามความเห็นของผมคนเดียวนะ คนอื่นจะเห็นเป็นอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกัน  อันว่าบทของ คม สรคุปต์ สายลับรหัส 666 จากกลาโหม (ชีพ ชูชัย) นั้นเป็นของ ลือชัย นฤนาท ถูกต้องแล้ว แต่บทของสารวัตร กริช กำจรนี่น่ะซี้  ที่จริงมันต้องเป็นของเฮียตี๋คนเดียวเท่านั้น น่าจะเป็นที่เหมาะสมที่สุด คาแรคเตอร์ตรงเผ็งที่สุด บทบู๊ได้ บทรักน่าจะได้ หน้าตาได้ รูปร่างได้ ความสูงได้ ท่าทางสมาร์ทสมส่วนและมีมัดกล้ามที่สวยงามก็ได้อีก

   แล้วทำไม๊จึงบายให้เพื่อนไปเสียเล่า... หือ ! ข่าวล่าสุด (จากสายลับจิต) บอกว่าเพราะเฮียตี๋ติดราชการนั่นเอง คือติดเรียนที่วิทยาลัยช่างกลปทุมวัน จึงจำใจต้องอดใจเอาไว้ก่อนยังไม่ขอเป็นสารวัตร กริช กำจร ในภาพยนตร์เรื่องนั้น ขอเป็นชีพ ชูชัย แห่งตำบลเจ็ดเสมียน เดินคอเอียงนิดๆ ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยดีกว่าครับผม ! (ขอย้ำว่าเป็นความเห็นของผมคนเดียวนะ)

   ขอย้อนกลับมาตอนแรกก่อน และแล้วก็ถึงเวลาที่เฮียตี๋ ต้องจากเจ็ดเสมียนอันเป็นที่รักไป แต่ก็ด้วยความเต็มใจไม่มีใครบังคับ เพราะว่าบิดาคือคุณพ่อกำนันโกวิทท่านส่งไปเรียนที่กรุงเทพ ฯ เพื่อมุ่งหวังให้ได้วิชาความรู้กลับมาพัฒนาตำบลเจ็ดเสมียน ให้สมกับความตั้งใจของท่านกำนันโกวิท วงศ์ยะราผู้เป็นพ่อ

  และอีกอย่างหนึ่งจะได้เป็นตัวอย่างกับเด็กๆ รุ่นน้องๆที่อยู่ที่เจ็ดเสมียนนี้ ในขณะนั้นแทบจะยังไม่มีเด็กเจ็ดเสมียนรุ่นผม (ผู้เขียน) คนใด ได้ไปเรียนที่กรุงเทพฯกันเลย โดยเฮียตี๋ได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยช่างกลปทุมวันก่อนใครๆ 

  เหตุการณ์ต่างๆที่เฮียตี๋ไปเรียนในกรุงเทพฯนั้น เฮียตี๋แกก็เคยเล่าให้ฟังบ้างเหมือนกัน แต่ผมจำไม่ค่อยจะได้แล้ว จำได้แต่ว่าเมื่อเฮียตี๋แกเล่าเรื่องของแกที่อยู่ที่กรุงเทพฯ ทีไร ก็เป็นที่ชอบอกชอบใจ ของพวกเราบรรดาลูกสมุนเป็นอย่างมาก บางเรื่องเฮียตี๋ก็เขย่าเส้นถึงกับฮากันใหญ่เลยก็มี

  เมื่อขณะที่โรงเรียนปิดภาคใหญ่ๆนั้นเฮียตี๋ก็จะกลับมาบ้าน มาอยู่ที่เจ็ดเสมียนเป็นเดือนๆ จนกว่าโรงเรียนจะเปิด เมื่อเฮียตี๋กลับมาบ้านพวกเราเด็กตลาดเจ็ดเสมียน ก็เลยมาสมาคมและสังสรรค์กันกับเฮียตี๋ ที่ไต้ถุนบ้านของเขา (บ้านกำนันกำนัน) เป็นประจำ

   เมื่อเฮียตี๋กลับมาเจ็ดเสมียนนั้น ในขั้นแรกเฮียแกก็จะชายตามองพวกเรา ว่ามีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงหรือเปล่าแบบคร่าวๆก่อน ส่วนความสูง ความขาว ความล่ำ ความหล่อเอาไว้ที่หลัง และแกก็ได้พบว่าพวกเราแต่ละคน ผอมแห้งแรงน้อยกันทั้งนั้น 

  เมื่อเป็นดังนั้นเฮียตี๋แกจึงวางแผนงานใหญ่ ให้พวกเราได้มีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง แกจึงได้ใช้สถานที่ไต้ถุนบ้านกำนันที่จริงก็บ้านแกนั่นแหละ ลงทุนด้วยต้นทุนอันสูง จัดการสร้างและปรับปรุงไต้ถุน ให้แปรสภาพเป็นสถานที่ออกกำลังกาย เรื่องนี้กำนันคนดังก็เห็นชอบด้วย และบอกว่าต้องการอะไรก็ขอให้บอก อั๊วจะหามาให้ 

  เฮียตี๋แกก็เลยขอเบิกเงินค่าใช้จ่ายในการนี้ จากพ่อของแกมากโขอยู่โดยไม่มีการกินนอกกินใน เหมือนหน่วยราชการบางแห่ง เอาไปซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เช่นบาร์คู่ บาร์เดี่ยว ไว้ห้อยโหนออกกำลังกายกัน และมีบาร์เบลล์ ดัมเบลล์ มีโต๊ะไว้นอนดันลูกน้ำหนัก แล้วยังแถมกระสอบทรายพร้อมด้วยถุงมือหนังใหม่เอี่ยม ไว้เตะต่อยให้หมัดหนัก และให้คล่องเข้าไว้ พร้อมด้วยนวมซ้อมอย่างดีขนาด ๑๖ ออนซ์หนังแท้สีดำเมี่ยมใหญ่บะเหอะ เอาไว้ซ้อมมวยกันเล่นด้วย

  เมื่อสถานะการณ์เป็นอย่างนี้ ทำให้เด็กๆเจ็ดเสมียนหลายสิบคน มีความคึกคักกระติอลือล้นเป็นอันมากเด็กบางคนเช่นผม (ผู้เขียน )เป็นต้น คิดว่าจะฝึกหัดต่อยมวยให้เก่งจะได้ไต่อันดับโลก แล้วเป็นแชมป์ในที่สุด เหมือนโผน กิ่งเพชรเลยทีเดียว คิดไปนั่น..!

บ้านกำนันโกวิท ข้างล่างโล่ง เป็นที่ออกกำลังของพวกเราในตอนเย็นๆ

   ฉะนั้นในตอนบ่ายแก่ๆของทุกๆวัน พวกเราจึงมาชุมนุมกันที่ไต้ถุนบ้านกำนันโกวิท กันเป็นประจำ (ตอนเย็นๆไม่ว่าง ต้องไปชุมนุมกันที่ สนามหน้าโรงเรียน) โดยมีเฮียตี๋ทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอน และเป็นผู้จัดการสถานที่โดยปริยาย

   และที่สำคัญที่สุดก็คือ ในการเข้าค่ายมาเป็นศิษย์ของเฮียตี๋ครั้งนี้ ไม่ต้องเสียตังค์หรือว่าเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลยนะ เฮียตี๋บอกว่า "เฮ่ย..! ตงตังค์อะไร ไม่เอาไม่เสียโว้ยตังค์น่ะ มึงชวนกันมาฝึกเยอะๆก็แล้วกัน กูแถมน้ำมันนวดกล้ามโรเบิร์ต ให้คนละขวดด้วย มาได้ทุกๆรุ่น ค่ายของเฮียตี๋ซะอย่าง ถ้าใครมีแววกูจะพาไปเปรียบมวยที่เขางูนะโว้ย " 

   แต่ที่แน่ๆพวกเราก็ไม่ค่อยมีสตางค์กันอยู่แล้ว ก็เลยไม่มีรายจ่ายเพื่มขึ้นให้พ่อแม่เดือดร้อน !         

   ในสมัยนั้นพระเอกหนังและดาราตัวประกอบต่างๆ แทบทุกคนจะต้องมีการฟิตกายเล่นกล้ามด้วยจะได้ดูดีเป็นที่นิยมของบรรดาแฟนๆ เช่น ชนะ ศรีอุบล  แสน สุรศักดิ์ ลือชัย นฤนาท ดนัย ดุลยพรรณ ยิ่งพวกที่เล่นเป็นพระเอกด้วยแล้ว ถ้ามาจากนักเพาะกายก็ยิ่งดี

   รุ่นหลังๆหน่อยก็มี สมบัติ เมทะนี สรพงษ์ ชาตรี มาดของแต่ละคนนั้นเหลือกินจริงๆเชียว   เป็นผลพวงมาถึงพวกวัยรุ่นอย่างพวกเราในสมัยนั้น ก็เลยบ้าเล่นกล้ามฟิตกายตามพวกพระเอกเหล่านั้นไปด้วย แต่จริงๆแล้วมันเป็นสิ่งที่ดีมากทีเดียว แทนที่เด็กๆเยาวชนจะมามั่วสุมกัน หันมาออกกำลังกายกันดีกว่าไปมั่วสุมอย่างอื่น 

   และผลลัพธ์จากการที่ได้มาฟิตกาย หัดชกมวยเล่นกล้ามกัน ที่บ้านกำนันโดยการควบคุมและฝึกสอนจากเฮียตี๋นั้น ทำให้พวกเราปราดเปรียวแข็งแรงมีพละกำลัง และโดยเฉพาะมีกล้ามที่ใหญ่ไปตามๆกัน 

   พวกเราเคยพูดกันแล้วหัวเราะกันเรื่อย ๆ ว่า ส. แขน ๑๐  หมายความว่า ส.อาสนจินดา  ดาราหนังหนึ่งต่อเจ็ดและเจ็ดประจัญบาน มีกล้ามแขนเพียง ๑๐ นิ้วเท่านั้น (เฮียตี๋พูดก่อนนะพวกผมคล้อยตามทีหลัง) พวกเราใหญ่กว่าเยอะ.... ฮ่า ๆ  

  เฮียตี๋เป็นคนรูปหล่อและมีกล้ามเป็นมัดๆสวยงาม เพราะการไปเรียนที่กรุงเทพ ได้รู้จักผู้คนต่างๆมากมาย และยังได้มีโอกาสเข้าไปเพาะกาย ที่สถานเพาะกายชื่อดังแห่งหนึ่ง (พูนศักดิ์ยิม)  ผลที่ได้รับจากการเพาะกายนี้ เฮียตี๋จึงมีกล้ามใหญ่และมัดกล้ามสวยงาม ทั้ง ไทเสบ ไบเสบ (หลังแขน หน้าแขน) ได้ทราบว่าเฮียตี๋เขาเคยไปเข้าประกวด ชายงามมาบ้างหลายครั้ง แต่ไม่ทราบว่าได้ตำแหน่งอะไรมาบ้างหรือเปล่า คงจะได้ตำแหน่งชายงามอะไรสักแห่งมาบ้างละน่าว่ามั๊ย 

  ที่ผมบอกเช่นนี้ก็เพราะว่า ผมเคยเห็นรูปถ่ายของเฮียแก ในตอนที่แกประกวดชายงาม ที่ในงานอะไรสักแห่งในกรุงเทพฯ กำลังโพสท์ท่าหน้าท้องขึ้นเป็นลอนๆ เป็นรูปขนาดโปสการ์ดขาวดำติดไว้ข้างฝาในห้องนอน ของเฮียแกเองสองสามรูป  ลักษณะเหมือนเพิ่งวอร์มอัพ เสร็จใหม่ๆแล้วลงน้ำมันนวดกล้ามโรเบิร์ท ตัวมันแว๊บทีเดียว

(น่าเสียดายที่ไม่มีรูปเหล่านี้มาประกอบในเรื่อง ผู้เขียนได้ไปขอให้คุณกรรณิกา วงษ์ยะรา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๒ ซึ่งเป็นน้องสาวคนเล็กของเฮียตี๋ ช่วยค้นหาให้ คิดว่าคุณกรรณิกาคงหาไม่พบ อาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อเฮียตี๋แกย้ายบ้านจากที่เจ็ดเสมียนไปแกก็คงจะเอารูปเหล่านี้ไปด้วย (ปัจจุบันเฮียตี๋อยู่ หนองแค จ.สระบุรี) แต่ไม่เป็นไร ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่มีภาพของเฮีย มาประกอบเลยนะครับ )

      เมื่อเรียนจบจากวิทยาลัยช่างกลปทุมวันแล้ว เฮียแกก็นึกอยากจะเรียนต่อในระดับสูงขึ้นไปอีก แต่ในสมัยนั้นสถานที่การเรียนที่จะรองรับ ผู้ที่จบจากโรงเรียนช่างมีน้อยมาก แล้วเฮียแกก็เบื่อกรุงเทพฯเสียเหลือประมาณ อีกอย่างก็ยังไม่ได้ไปทำงานที่ไหนเลยคิดว่า กลับไปอยู่ที่เจ็ดเสมียนบ้านเกิดก่อนดีกว่าวะ  แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันใหม่ขอไปตั้งหลักก่อน  ว่าแล้วจึงได้กลับมาอยู่บ้านที่เจ็ดเสมียน มาเป็นผู้นำของพวกเราดังนี้แล  ..

 

   ป้ายกระดานทำเนียบของผู้บริหารโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน ตั้งแต่อดีต จนถึง ปัจจุบัน ติดไว้ที่ชั้นล่างของโรงเรียน เพื่อยกย่องและเป็นเกียรติแก่ผู้บริหารเหล่านั้น  มีบิดาของเฮียตี๋ (นายโกวิท วงศ์ยะรา) เป็นผู้บริหารคนแรกของโรงเรียนนี้ด้วย ส่วนผู้บริหารลำดับที่ ๒ นั้นคือ บิดาของผู้เขียนเอง ภาพนี้ถ่ายจากชั้นล่างของโรงเรียนฯ เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

 

อโนทัย ไทยสวัสดิ์ (โล) ยืนอยู่บนแท่นเสาธงหน้าโรงเรียน ในตอนเย็นๆที่เสาธงของโรงเรียนนี้จะเป็นที่ชุมนุมของพวกเรา

    ดังนั้นแทบทุกวันในตอนเย็นๆหลังจากฟิตซ้อมร่างกายแล้ว เราก็จะไปชุมนุมกันอยู่ที่เสาธงหน้าโรงเรียน คุยกันเฮฮากันตามประสาเด็กวัยรุ่น ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่กรุงเทพฯ ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ยังไม่เคยไปอยู่กรุงเทพฯกัน เฮียตี๋แกก็จะมีเรื่องคุยให้ฟังทุกวัน บางทีก็เรื่องฮา บางทีก็เรื่องบู๊ เฮียตี๋เขาก็จะมีเรื่องเล่าให้ฟังมากมาย  ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่เขาผจญภัยอยู่ในกรุงเทพนั่นเอง..!

 นายแก้วผู้เขียน

  กรุณาติดตาม ชีพ ชูชัย แห่งตำบลเจ็ดเสมียน ๒  เร็วๆนี้ที่นี่ที่เดียว..

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้214
เมื่อวานนี้226
สัปดาห์นี้1667
เดือนนี้879
ทั้งหมด1344469

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online