ชีพ ชูชัย แห่งตำบลเจ็ดเสมียน 2 (งานวัด)

 

   เด็กเจ็ดเสมียนส่วนหนึ่งมีหลายๆรุ่นปนกัน ที่หน้าโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน 

   ละก็มีบ่อยๆที่ตำบลเจ็ดเสมียนเรานี้เอง แี่ละในตำบลใกล้เคียง จะมีงานต่างๆ เสมอๆ มีรำวงบ้าง มีลิเกบ้าง มีหนังจอใหญ่ฉายกันจนสว่างคาตาบ้าง

 บางแห่งที่เป็นงานใหญ่ๆจริงๆเช่น งานหาดทรายโพธาราม หรืองานประจำปีเขางู ราชบุรี จะมีการแข่งขันชกมวยด้วย แต่ละแห่งจะมีคนดูแน่นขนัด เก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำ บางทีมีมวยดังๆจากเวทีใหญ่ๆ เช่นเวทีราชดำเนินมาชกด้วย  

   แต่ที่ฮิตติดอันดับของพวกเราจริงๆ ก็เป็นรำวงนั่นเอง และถ้าบ้านไหนมีงานยิ่งมีรำวง พอเสียงกลองลอยตามลมขึ้นมาเสียงดังโป๊ะ พวกเรากว่าสิบคนหรือบางครั้งก็ถึง ๒๐ คน นำโดยเฮียตี๋ ก็จะขี่รถจักรยานคนละคันฝุ่นตลบไปงานนั้นๆ

    สมัยนั้นยังไม่มีรถมอเตอร์ไซค์นะครับ จักรยานที่มีเครื่องปั่นล้อเล็กๆ ไปปั่นที่ขอบยาง และใช้ถีบก็ได้เวลาเครื่องเสีย จะเรียกว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ รุ่นต้นแบบก็ว่าได้ จำได้ว่าบ้าน   คุณสาธร วงษ์วานิช มีเป็นบ้านแรกในตลาดเจ็ดเสมียน ไม่รู้ซื้อต่อมาจากใคร ที่ไหน กลางเก่ากลางใหม่สีเขียวอ่อนๆ

    วันที่นายวิรัช วงษ์วานิช พ่อของคุณสาธรซื้อมาเป็นวันแรก ชาวบ้านร้านตลาดโดยเฉพาะพวกเด็กๆอย่างพวกผม วิ่งกันตื๋อมาดูจักรยานมีเครื่องคันนี้กันเป็นการใหญ่ ต่างคนต่างวิจารณ์กันแซด นายวิรัชขึ้นขี่โชว์ให้ดู ก็เหมือนๆกับขี่จักรยานต์ครับ แต่พอออกวิ่งได้หน่อย นายวิรัชก็กดคันบังคับ เครื่องยนต์เล็กๆที่ติดมาอยู่ด้านล่างก็ติดเสียงดังสนั่น รถวิ่งไปได้แต่ก็ช้ามาก ไม่ทันใจวัยรุ่นเลย แต่ก็ยังดีแล้วที่ยังผ่อนแรงได้ 

   ถัดจากนั้นมาอีกจำไม่ได้แล้วว่าห่างกันนานแค่ไหน ที่บ้าน ุณโอฬาร ลักษิตานนท์ บ้านอยู่ติดๆกับบ้านนายวิรัชนั่นเอง ซึ่งนายเบี้ยวพ่อของคุณโอฬาร ได้ซื้อรถมอเตอร์ไซค์จริงๆเครื่องเล็กๆ เครื่องเล็กกว่า ฮอนด้า 50 CC. ( แต่ไม่รู้ว่า กี่ CC.) ที่เข้ามาประเทศเราเป็นรุ่นแรกเสียอีก นับว่าเป็นบ้านแรกที่มีรถมอเตอร์ไซค์ จริงๆ ในตลาดเจ็ดเสมียน รูปทรงเป็นแบบโบราณมาก (ไม่มีภาพ) หลับตานึกภาพเอาเองก็แล้วกัน

   กลับมาที่เรื่องรำวงกันอีก รำวงที่เต้นกันในตอนนั้นจังหวะที่เต้นกันมากๆ ก็มี ช่า ช่า ช่า  แมมโบ้ บีกิน ส่วนจังหวะที่ไม่มีใครเต้นก็คือ พวกวอลท์ แทงโก้ และจังหวะบอลลูมทั้งหลาย และในตอนนั้นก็มีจังหวะใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก 2 จังหวะ คือ อ๊อฟบีต และ ตลุงแทมโป้ 

   ท่านผู้อ่านเคยได้ยินเพลงชื่ออะไรก็ไม่รู้ที่ ุณมีศักดิ์ นาครัตน์ ร้อง นั่นน่ะ ร้องว่า แตกดังโพล๊ะ แตกดังโพล๊ะ โอ้แก้วตายาหยี ไม่มีเห็นใจพี่บ้าง ความรักของพี่อับปาง หม่นหมางเพราะว่าถังแตก ...... นั่นแหละจังหวะ อ๊อฟบีต ละ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นขอบอกนะว่า ลีลาการเต้นรำวงของพวกเรานั้น ไม่เป็นสับปะรดเลย ถ้าไปเต้นกันที่นอกตำบลเจ็ดเสมียนนะ ก็มักจะออกไปเต้นลอยหน้าลอยตา แบบกวนตีนไปอย่างนั้นแหละ แก๊งค์ ชีพ ชูชัย เสียอย่าง (แต่จริงๆแล้ว ไม่เคยมีเรื่องกับใคร หรือมีปัญหากับกลุ่มไหนทั้งนั้น )

        สำหรับตัวผมเองนั้นบอกตรงๆ ว่าไม่ค่อยชอบไอ้การรำวงเนี่ย ผมไม่ค่อยมีศิลปะในเรื่องนี้และอีกอย่าง ที่เป็นอุปสรรคมากก็คือไม่มีสตางค์ การรำวงในงานวัดนั้นไม่ใช่จะได้รำฟรีๆนะครับ ต้องมีเงินไปซื้อบัตรมาเสียก่อน ผมจำไม่ได้แน่ๆว่าบัตรใบละ ๕๐ สตางค์ หรือว่า ๑ บาท บัตร ๑ ใบต่อการรำหนึ่งรอบ ในสมัยนั้นแพงมากเลยครับแต่เมื่อเพื่อนๆ พรรคพวกอยากรำ ผมก็เลยตามเขาไปดูด้วยอย่างนั้นเอง

    ไอ้ธร (คุณสาธร วงษ์วานิช)  นั่นก็อีกคนที่มันเหมือนผม ไปไหนก็ไปกันได้ เที่ยวที่ไหนก็ไปด้วยกัน แต่ที่มันไม่เหมือนผมก็มีคือความไม่ค่อยกล้าแสดงออกนั่นเอง บางอย่างคนเรามันก็ต้องมีการกล้าแสดงออกมั่ง แต่สาธรมันไม่ค่อยจะกล้าเลย 

      ยกตัวอย่างเรื่องความกล้าของผมสักเล็กน้อยก่อนนะ อย่างผมเนี่ยไม่รู้ว่ามันถูกชะตากับงานศพหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ไม่ว่าจะไปงานศพที่ไหน ในวันเผาจะต้องมีรายชื่อผมได้รับเชิญ ขึ้นไปทอดผ้าก่อนเผาศพทุกงานซีน่า ครั้งแรกๆเมื่อหลายปีก่อนนั้นสิบกว่าปีแล้วมั้ง ไปงานศพแม่ยายของเพื่อน ซึ่งเป็นนายตำรวจชื่อ พตอ.อุดม ธิตัง อยู่ที่อุบลราชธานี

     งานนี้จัดขึ้นที่วัดหนองบัว ถนนชยางกูร ไกล้ๆบ้านของเพื่อนผมนั่นแหละ ผมก็ได้รับเชิญให้ขึ้นไปทอดผ้าบังสุกุล พอเขาเรียกชื่อผม ผมก็สดุ้งเล็กน้อยแต่ทำทีเฉยๆเพื่อไม่ให้อายคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ จนคนที่นั่งอยู่ติดกับผม สะกิดผมแล้วบอกว่า "เขาเรียกคุณให้ขึ้นไปทอดผ้าแล้ว" ผมจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปยังเมรุ  

    แต่ผมต้องเดินผ่านท่านใหญ่ ท่านโต(ใครก็ไม่รู้ไม่ได้สนใจมาก่อน) ที่มาเป็นประธานในงานนั้นเขานั่งอยู่ที่โซฟาข้างหน้า ผมจึงต้องหยุดแล้วโค้งให้เขาทีหนึ่ง เพื่อให้เกียรติท่านผู้เป็นประธาน แล้วจึงเดินผ่านท่านผู้มีเกียรติต่างๆที่มาในงานนั้น เวลาผมเดินงี้ขาผมเหมือนมันจะขวิดกันเดี๊ยะเลย ผมก็พยายามทำให้มาดของผมเข้มเข้าไว้ เหมือนกับว่าเราเดินอยู่คนเดียว ไม่มีการกลัวสายตาของทุกคนที่มองมายังผม แต่ผมก็ยังประหม่ามากๆเลยเทียว ทำมาดให้เข้มเท่าไรก็ดูเหมือนจะสู้ไม่ไหวเลย นั่นเมื่อก่อนนั้นนะดูเหมือนว่าจะเป็นครั้งแรกๆ

    ในเวลาต่อมาผมก็พยายามปรับตัวมาเรื่อยๆ และเมื่อไม่นานมานี้ผมก็ได้ไปงานศพพ่อของเพื่อน ที่อยู่ที่จังหวัดสุโขทัย เพื่อนคนนี้ชื่อ นายบุญมา สวยงาม เป็นเจ้าของร้านบุญมาศิลป์ อยู่ริมถนนทางไปอุทยานเมืองเก่าด้านซ้ายมือ เลยโรงแรมไพลินไปหน่อยนั่นแหละ แต่เดิมนายบุญมานี้ เป็นข้าราชการกรมศิลปากร เดี๋ยวนี้มาตั้งร้านจำหน่ายของเก่าๆ ของโบราณที่หายากและรับหล่อพระ ปั๊มเหรียญต่างๆ ที่ร้านเขาจำหน่ายของเก่ามากมาย ถ้าท่านผู้อ่านได้ไปเที่ยวที่จังหวัดสุโขทัยก็แวะไปชมกันได้ อย่าลืมบอกว่า "พี่แก้ว" แนะนำมาก็จะได้รับส่วนลดเป็นพิเศษด้วยนะ

้านเสริมสวยร้านนี้ นี่แหละเป็นห้องที่ผมเคยอยู่มาตั้งแต่เด็กๆ ด้านข้างทางขวามือที่ติดกับห้องผมนั้น เป็นห้องของ "ไอ้เหม่ง" ร้านถ่ายรูปจำเนียรศิลป์ ส่วนทางด้านซ้ายมือนั้น เป็นห้องของนายชุ่ม นางมั่น ซึ่งเป็นร้านตัดผม ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ยังตัดผมอยู่ ส่วนห้องของผมนั้น ได้ขายไปเสียแล้ว เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นเอง

     แหม ! ไปถึงสุโขทัยเพื่อมางานศพพ่อของเพื่อน ที่วัดศรีชุม บริเวณเมืองเก่า ก็ยังได้รับเกียรติให้ขึ้นทอดผ้าอีก แต่ผมก็ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีนะ เออ ! และเมื่อไม่นานมานี้งานศพเพื่อนที่วัดเสมียนนารี มีคนที่เป็นผู้ใหญ่ที่สนิทกับเจ้าภาพตั้งเยอะแยะ เขาก็ไม่เอา เขาต้องการเอาเราขึ้นทอดผ้าอีก เห็นไหมจนเดี๋ยวนี้ผมชำนาญแล้วละ และผมก็กล้าแสดงออกบ้างเล็กน้อย นี่แหละความกล้าของผมละท่านผู้อ่าน

    แต่คุณสาธร วงษ์วานิชพื่อนผมนะครับผมจะบอกให้ มีอยู่ครั้งหนึ่งลูกของเพื่อน ซึ่งเป็นนายทหารเรือเหมือนกัน เขากินเลี้ยงฉลองงานแต่งงานกัน มีผู้หลักผู้ใหญ่มาเป็นเกียรติในงานนี้กันเยอะเลย เพราะว่าพ่อของเจ้าบ่าวเป็นนายทหารเรือ เพื่อนกับคุณสาธร นี่แหละ ไม่ใช่ตำแหน่งเล็กๆ แขกเหรื่อจึงมากันเป็นเกียรติอย่างล้นหลาม พอได้เวลาเริ่มดำเนินการกันอย่างเป็นทางการ โฆษกประจำเวทีก็เริ่มเรียกคู่บ่าวสาวขึ้นมาบนเวที แล้วก็แนะนำอะไรต่ออะไรกันอย่างสนุกสนาน แล้วสุดท้ายก็เริ่มเรียกแขกชั้นผู้ใหญ่ที่เขาเคารพนับถือ แต่ละคนขึ้นมาบนเวที เพื่ออวยพรคู่บ่าวสาวคู่นี้ 

     พวกผู้ใหญ่ระดับชั้นนายพลเรือ ก็ถูกเชิญขึ้นมาก่อน ขึ้นมาอวยพรคู่บ่าวสาว บางท่านก็พูดน้อยนิดเดียวจับใจความ ยังไม่ได้เลยว่าท่านพูดอะไร บางท่านก็พูดมากพูดเสียท่านผู้มีเกียรติบางท่านหลับคาโต๊ะจีน น้ำลายไหลยืดไปเลยเพราะความเมาจัดก็มี แล้วทีนี้ก็มาถึงคิว คุณสาธร ของเรา โฆษกให้เกียรติเรียกท่านด้วยความนอบน้อมอย่างดีทีเดียว ท่านได้ยินแล้วสะดุ้งเฮือกและนึกว่า เฮ้ย! มันเรียกเราทำไมวะเนี่ย หา! อย่างงี้กูไม่มาเสียก็ดีแหละ ดู๊ ดู ดูมันทำ..ทำไมถึงทำกับกูได้.....! 

    จนคุณนาย วนิดา ภริยาของท่านสาธร เอานิ้วซึ่งมีแหวนเพชรเม็ดใหญ่ เปล่งแสงเป็นประกายวูบวาบมองแล้วแสบตา ยื่นมาสะกิดเอวแล้วบอกว่า "เขาเรียกคุณแล้วนะ" เมื่อนั้นแหละคุณสาธรจึงได้ลุกขึ้นเดินช้าๆสั่นนิดๆ แต่ก็ยังวางมาดให้เข้มเข้าไว้ไปยังเวที เมื่อขึ้นเวทีแล้วโฆษกก็บอกให้คล้องพวงมาลัยจ้าบ่าวและจ้าวสาว

    เสร็จแล้วพิธีกรก็ขอให้อวยพรให้คู่บ่าวสาวด้วย คุณสาธรก็ปฏิบัติตามทันที โดยรับพวงมาลัยจากบริกรหญิงซึ่งถือถาดพวงมาลัยรออยู่ มาคล้องคอบ่าวสาวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มไส เสร็จแล้วโดยที่ไม่คาดคิดคุณสาธรนายทหารเรือเก่า ก็หันหน้าออกไปหาแขกเหรื่ออย่างช้าๆ ที่นั่งกันอยู่เต็มในหอประชุมนายทหารแห่งนั้น พร้อมกับจับไมโครโฟนมาไกล้ๆ ปากกระแอมไอสองสามครั้ง แล้วเปล่งเสียงร้อง ไชโย ไชโย ไชโย  ขึ้นมาสามทีดังสนั่น แล้วก็เดินก้มหน้างุดๆลงเวทีไป 

     ท่ามกลางความงุนงงและ ตกตะลึงของท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ในหอประชุมนายทหารแห่งนั้น  นายทหารในที่นั้นก็คงจะสงสัยมั่งแหละน่า ว่าท่านไม่อวยพรให้คู่บ่าวสาวเหรอครับ เออ! อย่างนี้ก็มีด้วย หมายเหตุ..! ถ้าสาธรมาอ่านพบเข้า ผมขอโทษด้วยนะผมล้อเล่น ที่จริงคุณสาธรแกขึ้นเวทีมามากมายแล้ว ตั้งแต่เป็นทหารเรือหนุ่มนั่นน่ะ ยิ่งงานแต่งงานด้วยแล้ว แกมีลีลาลวดลายในการอวยพรไม่เบาทีเดียว  

    มีเพื่อนของผมอีกคนหนึ่งหนักเข้าไปอีก ทำงานที่บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย แผนกกระเบื้องโมเนียตำแหน่งใหญ่โตเสียด้วย เมื่อถูกเขาเชิญไปงานอะไรก็ตาม ถ้าเขาเชิญให้ขึ้นเวทีไปพูดหรือให้ร้องเพลง เขาบอกว่า "อย่างงี้ให้ผมไปเป็นคนล้างจานดีกว่า " ไอ้เพราะความไม่กล้านั่นเอง แต่งานไหนพรรคพวกฉุดแกขึ้นเวทีได้ละก้อคุณเอ๋ย แกเป็นต้องวางมาดกล่าวคำอวยพร มีลูกเล่นแพรวพราว บางทีแถมเพลง ศรชัย เมฆวิเชียร อีกหนึ่งเพลงเสียด้วยซ้ำไป 

        ในตอนหลังๆพวกเราเริ่มรู้ว่า อาวุโสของพวกเราเริ่มมีมากๆขึ้น พวกเราจึงต้องมาหัดฝึกฝนคือต้องกล้าๆ หน่อย ซื้อหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องพูด เรื่องอวยพรอะไรอย่างนี้มาอ่าน แล้วก็ซ้อมพูดพร้อมกับแอ๊คชั่น ทำท่าทำทางที่หน้ากระจกให้มันชินเข้าไว้ ต่อไปใครจะเรียกขึ้นเวทีที่ไหนงานอะไร จะได้ไม่สั่นจนขาขวิด..!

    กลับมาต่อเรื่องที่ค้างไว้อีกที สิ่งที่ผมชอบมากกว่าการรำวงนั้นคือ หนังกลางแปลง ที่เขานำมาฉายตามบ้านงาน เช่น บ้านนั้นมีงานบวชลูกชาย งานแต่งลูกสาวเขาก็จะหาหนังมาฉายให้ชาวบ้านได้ดูกันฟรีๆ หรือบางทีก็งานที่วัด ยกช่อฟ้าหรือฝังลูกนิมิต งานประจำปีอะไรต่างๆอย่างนี้ละก้อผมชอบนัก ยิ่งถ้าฉายกันสัก ๕ เรื่องละก็สว่างคาตา พวกผมก็ยิ่งชอบใหญ่เลย บางทีพรรคพวกผมและรวมทั้งผมด้วยก็เคย หลับคาหน้าจอน้ำลายไหลยืดกันมาแล้วเหมือนกัน

   อย่างกับที่วัดบางลานนั่นไง (อยู่ห่างจาก ตลาดเจ็ดเสมียน ประมาณ ๕ กม. เท่านั้น) ปีที่ผมกำลังเขียนถึงนี่เขามีงานประจำปี กำหนด ๓ วัน ๓ คืนโอ้โฮ..!  ปีนั้นจัดเสียยิ่งใหญ่ทีเดียว มีการแข่งวิ่งวัวลานกันด้วยไม่ใช่คนนะครับ วัวจริงๆ ท่านผู้อ่านเคยได้ดูไม๊ครับ 

   ในตอนนั้มีคุณครูอยู่คนหนึ่ง  ท่านสอนเด็กๆอยู่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน ชื่อ คุณครูประสงค์ ปานทอง บ้านอยู่ทางวัดตึกเลยวัดสนามชัยไปหน่อย เรื่องเลี้ยงวัว ดูแลวัว ฝึกหัดวัว อะไรๆที่เกี่ยวกับวัว ครูประสงค์ ปานทอง คนนี้เชี่ยวชาญมากเลยครับ ถ้าเป็นตำแหน่งทางราชการ ก็ต้องเป็น ศาสตราจารย์ ระดับ ๑๑ ไปนั่นเลย (หมายความว่าเก่งสุดยอด แต่น่าเสียดาย อีกหลายปีต่อมาคุณครูประสงค์ ปานทอง ถูกยิงเสียชีวิตในงานแข่งวัวลานงานหนึ่งนั่นเอง)

 

 ครู ประสงค์ ปานทอง คนนั่งทางขวาสุดที่เห็นหน้า ใส่เสื้อลาย และเด็กชายที่ยืนเท้าเอวอยู่นั้น นายตึ๊ง ลูกอี๊น้อย ส่วนคนที่นั่งถัดมาจากครูประสงค์ นั้น นายสุรพงษ์ แววทอง  (ไอ้โห้ ) นั่งหันหลังให้ ใส่เสื้อขาว หวีผมเรียบแปล้นั้นนาย โอฬาร ลักษิตานนท์ (ไอ้อู๊ด)

   มีอยู่หลายปี ติดต่อกันที่วัวของครูประสงค์ ปานทอง แกได้เป็นพระโคในพิธี จรดพระนังคัล แรกนาขวัญ ที่ท้องสนามหลวง  ครูประสงค์ ปานทองแกจูงพระโค ในสนามหลวงนั้น ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ มาดนี่เข้มไม่เบาเลยทีเดียว แล้วที่วัดบางลานนี้ก็เช่นเดียวกัน ครูประสงค์ก็นำเอาวัวของแกออกมาวิ่งวัวลาน แข่งกับวัวถิ่นอื่นๆ อีกเช่นเคย

    นอกจากมีการแข่งวัวลานกันแล้ว ก็ยังมีการละเล่นอย่างอื่นอีกมากมาย เช่นมีดนตรีตอนนั้น อุดม ผ.เมฆเจริญ กำลังดังจากเพลงชื่อว่า รักจากดวงใจ  มีลิเกชื่อดัง และมีหนังจอใหญ่แบบจอ ซีเนมาสโคป พานาวิชั่น ของทวีภาพยนตร์โพธาราม ที่มี ครูทวี แอคะรัตน์ เป็นเจ้าของ (ทวีภาพยนตร์นี้ มีวิกเป็นของตัวเองที่ ตลาดโพธารามด้วย ) นอกจากนั้นก็มี ชิงช้าสวรรค์  ปาเป้า สาวน้อยตกน้ำ  และการออกร้าน สอยดาว และอื่นๆ อีกมากมาย

    ดังนั้นพอตกค่ำพวกผมนำโดย เฮียตี๋ อีกเหมือนเดิม ก็มารวมตัวกันที่ไต้ถุนบ้านกำนัน พอรอกันจนมองดูว่าครบองค์ประชุมแล้ว ก็จัดแจงออกเดินทางโดยรถจักรยานคู่ชีพ ของแต่ละคน   (เรื่องว่ายน้ำ และเรื่องถีบจักรยานนี้ เด็กเจ็ดเสมียน แทบทุกคน ดูเหมือนว่าจะเป็นกันตั้งแต่เกิดก็ว่าได้ ) ในขณะที่เราเดินทางโดยถีบรถจักรยานต์นั้น พวกเราก็คุยกันเฮฮากันไปตามเรื่องเสียงดังลั่น บ้างก็คุยกันเรื่องหนัง บ้างก็คุยกันเรื่องรำวง แล้วแต่จะสรรหาเรื่องมาคุยกัน

   เมื่อเข้าไปในงานแล้ว อันดับแรกก็ต้องเดินสำรวจกันก่อน ว่าอะไรมันอยู่ตรงไหน เวทีรำวงมันตั้งตรงไหน แล้วหนังล่ะ มันกางจออยู่ตรงส่วนไหนของบริเวณวัด เมื่อตระเวนสำรวจกันจนรู้เรื่องดีแล้ว เราก็จะดูอะไรกันก่อน ที่หมายตาของพวกเราเอาไว้แล้วว่ามี รำวง และจึงจะไปดูหนังจอใหญ่ เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว พวกเราจึงได้ไปจองที่นั่งหน้าจอหนังกันก่อน โดยพวกที่ไม่อยากไปรำวงก็นั่งเฝ้าที่เอาไว้ พวกที่อยากไปรำวงก็ไป พอเหนื่อยแล้วก็กลับมานั่งที่หน้าจอหนัง เป็นอย่างนี้สลับกันไปมาตลอดคืน

   ในคืนนั้นผมกับเพื่อนที่สนิทกัน ๒ – ๓ คน  ก็ออกจากที่ๆ เราจองไว้ที่หน้าจอหนังนั้น ไปดูการละเล่นอย่างอื่น ให้พวกไอ้เหม่ง (คุณคนอง  คุ้มประวัติ) ไอ้บูน (สมบูรณ์ สุรพลพินิจ) ไอ้สาน (ประสาน  สุรพลพินิจ) และอีกหลายคนมันเฝ้าที่ไว้ ผมกับเพื่อนคนหนึ่งเดินไปที่เวทีรำวง เห็น งยุทธ  กับยุทธนา  วงศ์ยะรา สองคนพี่น้องซึ่งเป็นพี่ชายของ ศักดา วงศ์ยะรา อีกทีหนึ่ง ซึ่งอายุใกล้เคียงกันกับผม (สองคนนั้นเป็นน้องชายของเฮียตี๋ แต่คนละแม่ ยุทธนานั้น ในตอนหลัง เป็นนายดาบตำรวจทางหลวง ที่ชะอำ) กำลังวาดลวดลายในเวทีรำวง ในจังหวะ ช่า ช่า ช่า พอดี

    ผมเดาเอาว่าคนที่อยู่ในเวทีรำวง ที่กำลังเต้นกันอยู่นั้น แทบทุกคนจะรู้จักกลุ่มนี้ทั้งนั้น ว่าพวกมันเป็นใคร ดังนั้นในขณะที่กำลังเต้นกันอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น  ต้องพยายามกันอย่างยิ่งอย่าให้ไปเหยียบตีนมัน หรือไปกระทบอะไรมันก็แล้วกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการมีเรื่อง ยิ่งเฮียตี๋ ลูกพี่ใหญ่ของพวกมัน ยืนดูอยู่ข้างๆเวทียิ่งแล้วใหญ่เลย (แต่ตลอดเวลามาที่อยู่ในกลุ่มของเฮียตี๋ ผมไม่เคยเห็นว่าจะมีเรื่อง มีราวกับใคร พวกไหนสักที เรียบร้อยที่ซู๊ด)

        ผมกับไอ้ธรและเพื่อนอีก ๒-๓ คน เดินดูรำวงกันแล้วคิดว่า จะไปดูทางวงดนตรีบ้าง แต่ไม่เอาดีกว่าเพราะว่าวงดนตรีนั้น เขาเอาผ้าผืนใหญ่ๆมากั้นรอบๆบริเวณ ลานแสดงดนตรี เพื่อเก็บเงินคนที่เข้าดูด้วย ผมจึงไม่ได้เสียสตางค์เข้าไปดู และเมื่อมองไปทางทุ่งข้างนอกนั้น เป็นสนามแข่งวัวลาน เห็นฝุ่นคลุ้งไปหมด คนที่สนใจในวัวลานก็มีมากเหมือนกัน เห็นเขาว่าวัวตัวดังจากเมืองเพชร ในวันนี้ก็ลงแข่งด้วย  พวกเราไม่อยากไปดูหรอกวัวลานนั่นน่ะ ขี้เกียจไปเบียดคนอื่นเขา

ุภาพสตรีท่านนี้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ แต่เป็นคนเก่าแก่ของเจ็ดเสมียนคนหนึ่ง ไปนั่งถ่ายภาพนี้เดาเอาว่า ต้องเป็นท่าวัดที่ไหนสักแห่ง เพราะฉากที่อยู่ด้านหลังนั้น มีลักษณะเป็นลำน้ำ หรือลำคลองที่ไหนไม่ทราบ มีสพานยื่นไปในน้ำ มีเรือพายขายของ และมีเรือนแพที่อยู่อาศัยด้วย เป็นภาพที่น่าดูมากทีเดียว

         จากนั้นก็เดินดูไปเรื่อยๆ มาถึงร้านหนึ่งมีคนมุงดูอยู่เต็ม พอเดินมาใกล้ๆเห็นเขากำลังป้าเป้ากันส่งเสียงร้อง เฮ เฮ กันดังลั่น ที่เขาเรียกว่าสาวน้อยตกน้ำ ร้านนี้ใหญ่พอสมควร เพราะมีสาวน้อยตั้งหลายถัง ดูเหมือนจะ ๔-๕ ถัง เขาจะเอาถังน้ำมัน ๒๐๐ ลิตรมาทำ โดยตัดฝาบนออกให้หมดแล้วใส่น้ำเกือบเต็มถัง จากนั้นทำเป็นร้านขึ้นแล้วไปเอาแผ่นไม้กระดานสั้นๆ มาวางพาดไว้บนปากถังน้ำนั้น แล้วมีสลักขัดแผ่นไม้นั้นไม่ให้ผู้ที่นั่ง ตกลงไปในน้ำ นอกจากจะ มีคนปาเป้าถูก แล้วขาเป้าก็จะไปเตะสลักให้หลุดออกไป สาวน้อยที่นั่งอยู่บนแผ่นไม้นั้นก็จะตกลงไปในถังน้ำนั้นพอดี

        พอสาวน้อยตกลงไปในน้ำ พวกที่ปาถูกเป้าก็จะเฮตบมือชอบใจ นี่ก็เป็นการละเล่นอย่างหนึ่ง แต่ก็เปลืองสตางค์มากไม่เห็นจะได้อะไรเลย  ผมกับเพื่อนเดินดูอะไรต่างๆจนชักจะเมื่อยขาแล้ว จึงคิดจะกลับไปที่หน้าจอหนังตรงที่เพื่อนๆนั่งจองที่ไว้อยู่ ก่อนเข้าไปคุณสาธร  แวะร้านขายกล้วยทอดซื้อ กล้วยทอด ๒ ถุงใหญ่ ถั่วลิสงต้ม อีก ๒ ถุง เอาไปเผื่อพวกไอ้เหม่งมันด้วย จะได้นั่งเคี้ยวกันเพลินๆเวลาดูหนัง  พวกยุทธนากับยงยุทธและเฮียตี๋คงอยู่ที่เวทีรำวง เพลิดเพลินกันอยู่ ผมคิดว่าช่างเขาเถอะเดี๋ยวเขาก็ขอทาง ผู้ที่นั่งเบียดเสียดกันอยู่ เข้ามาหาพวกเราเองน่ะแหละ

   เมื่อผมกับสาธร เดินเข้าไปถึงที่ๆพวกเรานั่งกันอยู่นั้น ผู้คนที่ชอบดูหนังก็เริ่มแน่นแล้ว ผมต้องขอโทษ ป้า สองคนที่นั่งอยู่ตรงที่ๆเราจองเอาไว้ และขอให้แกเขยิบให้อีกนิดหน่อยด้วย ป้าสองคนนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรส่งยิ้มให้ แล้วขยับให้พวกผมแต่โดยดี ผมและเพื่อนก็สบายละซีทีนี้ นั่งบนพื้นหญ้านุ่มๆ  นั่งกินถั่วไปดูหนังไปเพลินดีจัง

    จนกระทั่งหนังเรื่องที่ ๒ เริ่มฉาย  ป้าสองคนนั้นและคนที่มาด้วยหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ คงจะกลับบ้านกันแล้ว หรืออาจจะไปหาที่นั่งกันใหม่ พวกเราก็เลยสบายมีที่นั่งเพิ่มขึ้นกว้างขวาง ผมและสาธรขยับออกมาอีก นั่งเหยียดแข้งเหยียดขา ดูหนังเรื่อง เนวาด้า สมิท จอมทรหด นำแสดงโดย สตีฟ แม๊คควีน สำราญใจไปเลย  จนกระทั่งตีสามกว่าๆ เห็นจะได้มั๊งเดาเอา เฮียตี๋มาบอกพวกเราว่า "กลับกันดีกว่าไหม มันดึกมากแล้วนะ"

    พวกเราเห็นพ้องต้องกันว่า กลับกันดีกว่าเพราะเกิดอาการง่วงกันมากแล้ว การละเล่นอย่างอื่นทยอยเลิกกันหมดแล้ว เหลือแต่หนังของทวีภาพยนต์อย่างเดียว ผมก็จัดแจงลุกขึ้นยืนปัดฝุ่น ปัดเศษหญ้าที่ติดอยู่กับกางเกงด้านหลัง แต่เอ๊ะ ! ทำไมกางเกงด้านหลังของผม จึงมีเหมือนน้ำอะไรเลอะอยู่ ผมจึงเอาฝ่ามือปาดดู ปัดโธ่เอ๊ย..! ดูหนังเพลินเสียจนไม่รู้สึกเลย

   ผมยกฝ่ามือขึ้นมาดมจึงรู้ว่า น้ำสีแดงคล้ำๆเหนียวๆนั้นมันเป็นน้ำหมากครับ คือลูกหมากที่กินกับใบพลู เอาดินสีแดงอ่อนๆ ป้ายลงไปที่ใบพลูหน่อย แล้วเข้าปากเคี้ยวให้ละเอียด มันก็จะเกิดน้ำลายสีแดงๆ มากเข้าๆ ก็จะบ้วนออกมาเสียทีหนึ่ง ของยายป้าสองคนนั้น ที่นั่งตรงนั้นก่อนผม แล้วเขยิบให้ผมนั่งนั่นเอง 

  ดกางเกงของผมงี้เลอะน้ำหมากที่แกบ้วนไว้แดงเถือกไปหมด กลับไปบ้านแล้ว วันรุ่งขึ้นแม่ของผมเอาไปซัก ขยี้เท่าไรคราบน้ำหมากนั้นก็ไม่ออกเลย จนอีกหลายวันต่อมา แม่ผมต้องเอาไปย้อมเป็นสีดำ   เฮ้อ ! กางเกงตัวเก่งของผมเสียด้วยซี ไม่น่าเล้ย...!

 เขียนโดยนายแก้ว

    โปรดติดตาม ชีพ ชูชัยแห่งตำบลเจ็ดเสมียน 3 ในเร็วๆนี้ ที่นี่ที่เดียว

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้41
เมื่อวานนี้248
สัปดาห์นี้1742
เดือนนี้954
ทั้งหมด1344544

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online