ท่าใหญ่ในอดีต ๑ (เกาะเรือโยง)

ด็กตลาดเจ็ดเสมียนเล่นน้ำกันที่ ท่าใหญ่ เมื่อถึงฤดูน้ำหลากเต็มตลิ่ง มองเห็นเขางู ราชบุรีอยู่ริมซ้ายของภาพ

     ุดที่น่าสนใจที่สุดของภาพนี้ ก็คือวิวทิวทัศน์ของฝั่งตรงกันข้ามกับที่ครูปราณียืนอยู่ ภาพนี้เป็นภาพทิวทัศน์ในสมัยเมื่อกว่า ๔๐ ปี ที่ผ่านมา เป็นภาพที่ชัดที่สุดที่พอจะหาได้ในตอนนี้

     ทงด้านซ้ายสุดของภาพ จะเห็นบันไดปูนทอดจากบนตลิ่งซึ่งสูงพอสมควร ลงสู่พื้นน้ำ มองให้ดีจะเห็นมีเรือจอดอยู่ลำหนึ่ง นี่แหละคือท่าน้ำของตลาดเจ็ดเสมียน (บางคนก็เรียกว่าท่าเรือจ้าง) เรือลำหนึ่งที่จอดอยู่นั้นก็น่าจะเป็นเรือจ้างที่รอคอยผู้โดยสารข้ามฟากนั่นเอง

     มองตรงนั้นไปข้างบนอีกหน่อยจะเห็นกิ่งก้านสาขาของต้นก้ามปูใหญ่ต้นหนึ่ง ต้นก้ามปูต้นนี้เป็นหนึ่งใน ๓ ต้นที่ขึ้นอยู่กลางลานระหว่างตลาดสองแถวของตลาดเจ็ดสมียน สำหรับต้นนี้เป็นต้นที่อยู่ตรงกับหน้าร้านทำทองของนายซุ่ยพอดี ส่วนอีกสองต้นนั้นมองไม่เห็นในภาพนี้

     บิเวณกลางตลาดซึ่งมีเป็น ๒ แถวนั้น สุดภาพนี้จะเป็นท่าน้ำตลาด เป็นฝั่งตรงกันข้ามกับภาพแรก ด้านซ้ายของภาพเป็นตึก ๓ ชั้น นั้นก็คือบ้านริมน้ำของป้าฮุ้น ส่วนทางด้านขวามือห้องริมสุดนั้นคือ ห้องของนายโหงว บ้านตีมีดในอดีต ตรงกลางภาพที่เห็นเป็นโรงนั้นคือที่ตั้งของเครื่องสูบน้ำของสหกรณ์การประปาเจ็ดเสมียน ที่ตรงนี้ ปัจจุบันนี้เป็นศาลาเอนกประสงค์ไปแล้ว

าพของลุงจำรัส ส่งมา 

านริมน้ำในปัจจุบัน ไม่ได้ทำกิจการค้าขายของเบ็ดเตล็ดเหมือนเมื่อครั้งก่อนแล้ว รุ่นลูกรุ่นหลานของป้าฮุ้นนั้น ขายพวกอุปกรณ์ในการตกปลา จะเห็นป้ายโฆษณาแขวนไว้อยู่ที่หน้าบ้าน

   ถัดมาอีกหน่อยเป็นบ้านหลังหนึ่ง นี่เป็นห้องแถวห้องสุดท้ายของตลาด ซึ่งอยู่ริมน้ำเป็นบ้านของนายบักเฮง ป้าฮุ้น ซึ่งเป็นร้านขายของเหมือนๆกับร้านของอี๊น้อยที่ตลาดฝั่งตรงกันข้าม บางคนเรียกบ้านป้าฮุ้นนี้ว่าบ้านริมน้ำ

   ต่อมาจากหลังบ้านป้าฮุ้นเป็นต้นมา ก็เป็นท่าใหญ่ของพวกเราชาวเจ็ดเสมียน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า ผู้แก่ ก็ต้องเคยมาใช้ท่าใหญ่แห่งนี้เป็นที่สำหรับอาบน้ำ และซักล้างสิ่งต่างๆ เด็กๆตลาดเจ็ดเสมียนในสมัยนั้นแทบทุกคน ก็มาเล่นน้ำที่ท่าใหญ่นี้วันละหลายๆครั้ง มองดูให้ดีจะเห็นมีเรือจอดอยู่ลำหนึ่ง ไม่ทราบแน่ว่าเป็นเรืออะไร

 

   ท่าใหญ่เป็นท่าน้ำที่กว้างมาก ตั้งแต่หลังบ้านป้าฮุ้น เรื่อยมาจนถึงต้นก้ามปูใหญ่ต้นหนึ่ง ที่เด็กๆมาเล่นน้ำแล้วก็มาห้อยโหนกระโดดลงน้ำที่ต้นก้ามปูนี้ ถัดมาจะเป็นท่าน้ำของโรงน้ำปลา ไทยเฮงอวด (บ้านยู้ฮัว หรือนายปรีชา ซึ่งเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กๆ)  ทำอย่างดีนำหินมาโบกปูนสำหรับกันน้ำเซาะด้วย

    สภาพของท่าใหญ่ในเวลานั้นกว้างมาก เมื่อกาลเวลาผ่านไป (ยังไม่ถึง ๑๐๐ ปี) ท่าใหญ่ของพวกเราก็มาแปรเปลี่ยน เป็นสภาพดังในปัจจุบันนี้ ไม่มีผู้ใด หรือหน่วยงานใดอนุรักษ์เอาไว้ น่าเสียดายจริงๆ

    ดังที่ได้บอกมาแล้วว่า บ้านกำนันโกวิท  วงศ์ยะรา(หลังเก่า)นั้น ด้านหลังติดกับคลองเจ็ดเสมียน คลองนี้จะย้อนผ่านศาลเจ้าออกไปเชื่อมกับแม่น้ำแม่กลอง ที่ตรงนั้นเราเรียกกันว่า     ท่าใหญ่  

 าพท่าใหญ่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อมาได้เห็น เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 51 นั้น ทำไมบริเวณท่าใหญ่จึงแคบขนาดนี้ จำเกือบไม่ได้ ทางด้านซ้ายมือนั้นต้องกว้างกว่านี้มากนัก และบริเวณท่าใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักตบชวา และหญ้าต่างๆเต็มไปหมด  ซึ่งแต่ก่อนนั้นจะไม่มีเลย  หรือว่าปัจจุบันนี้ชาวตลาดเจ็ดเสมียน มีความสะดวกสบายในการใช้น้ำ เพราะว่ามีน้ำประปาใช้  จึงไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์จากท่าใหญ่นี้แล้ว ความจริงควรพัฒนาท่าใหญ่ และอนุรักษ์เอาไว้ให้ดีกว่านี้ ครับ

 


 ภาพนี้เป็นช่องทางน้ำไหลเข้าคลอง เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก เพื่อออกไปสู่ท้องนานั้น   ปัจจุบันนี้แคบลงทุกที และด้านบนก็ไม่ได้เทปูนซิเมนต์ทึบเป็นกล่องอย่างนี้ อย่าให้ถึงกับถมคลองเลยนะครับ เพราะเป็นคลองที่เก่าแก่ อยู่คู่กับเจ็ดเสมียนมาช้านานแล้ว อนุรักษ์ไว้ให้เด็กรุ่นหลังได้เห็นบ้าง  

    คุณสาธร วงษ์วานิช กำลังสำรวจสภาพของท่าใหญ่เมื่อ 8 สิงหาคม 2551     

      ในสมัยก่อนๆนั้น เมื่อฤดูแล้ง    น้ำในแม่น้ำแม่กลองเป็นปกติ  ถ้าไม่ใช่ในฤดูน้ำหลาก  พวกที่ทำนาอยู่นอกๆตลาดเจ็ดเสมียนก็จะมาอาศัย ท่าใหญ่นี้ ต้อนวัว (ม่มีควาย ตำบลเจ็ดเสมียนไม่เคยเห็นมีใครเลี้ยงควาย) งมากินน้ำ อาบน้ำ เป็นฝูงใหญ่ ๆแทบทุกวัน

    ท่าใหญ่นี้เป็นท่าน้ำที่กว้างมาก ไม่มีบันไดลงไป แต่เป็นเหมือนถนนดินที่ลาดลงไปถึงแม่น้ำ สถานที่ตรงนี้ เด็กเจ็ดเสมียนทุกคนต้องรู้จักกันดี เพราะเมื่อถึงตอนเย็นๆ พระอาทิตย์จะลับกอไผ่ ที่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับท่าใหญ่นี้ เด็กตลาดเจ็ดเสมียนเหล่านั้นก็จะมาเล่นน้ำกัน ที่ท่าใหญ่นี้ด้วยความสนุกสนาน และบางทีพวกเราก็ จะว่ายน้ำข้ามฝั่งไปยังฝั่งตรงกันข้ามกับท่าใหญ่

     ชายฝั่งด้านตรงกันข้ามกับตลาดเจ็ดเสมียน เป็นหาดทรายขาวสะอาด ทอดยาวขึ้นเหนือเลยโรงสีไฟเจ็ดเสมียนไปอีก ยิ่งถ้าหน้าแล้งจัดๆ หาดทรายก็จะโผล่ขึ้นมามากขึ้นอีกด้วย พวกเราเด็กเจ็ดเสมียนทั้งหลาย ก็มักจะว่ายน้ำจากท่าใหญ่นี้ ข้ามไปวิ่งเล่นกันที่หาดทรายนี้บ่อยๆ ส่วนใหญ่จะเล่นซ่อนแอบกัน ตามกอต้นตระไคร้หางนาค ซึ่งขึ้นตามหาดทรายนี้เป็นหย่อมๆไป

     นอกจากพวกเราเด็กเจ็ดเสมียนในสมัยนั้น จะไปกระโดดน้ำ เล่นน้ำกันที่ท่าวัดแล้ว ที่ท่าใหญ่นี่แหละ แหล่งรวมแห่งใหญ่ของพวกเราทีเดียว ถ้าวันที่โรงเรียนหยุด ไม่ได้ไปโรงเรียน พอตกบ่าย พวกเราก็จะชวนกันไปเล่นน้ำกันที่ท่าใหญ่ บ้านยู้ฮัวเพื่อนรุ่นเดียวกับพวกเรา ก็อยู่ตรงท่าใหญ่นี่แหละ ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนแรกแล้ว

    บางทีพวกเราก็ชวน ยู้ฮัว ไปเล่นน้ำด้วยกัน นอกจากจะเล่นน้ำกันที่ท่าใหญ่ และหาดทรายฝั่งตรงกันข้ามแล้ว ยังมีเรื่องเกาะเรือโยงขนส่งสินค้าอีก (เรือโยงคืออะไร ได้เขียนบอกเอาไว้ที่ในเรื่อง “ตลาดนัด 1 (ประมูล กุลบุปผา)” แล้ว โปรดกลับไปดูที่นั่น) นอกจากพวกเราจะเกาะเรือโยงเล่นกันที่ท่าวัดแล้ว ที่ท่าใหญ่นี่แหละ พวกเราก็จะว่ายน้ำ ไล่เกาะเรือโยงกันมากกว่าที่ท่าวัดเสียอีก

     บางทีก็เกาะเรือบรรทุกแตงโมลูกใหญ่ๆี่เขาขนส่งโดยทางเรือขึ้นไปทางเหนือ เด็กบางคนขึ้นไปบนเรือแล้วไปเจรจา ขอแตงโมลูกที่ชำรุดแล้วไปแบ่งกันกินก็มี พวกชาวเรือเหล่านั้นมักจะคุ้นเคย กับเด็กเจ็ดเสมียนเหล่านี้กันดี แทบทุกลำก็จะเคยมาส่งของขายสินค้า ติดตลาดนัดที่เจ็ดเสมียนบ่อยๆ แต่บางทีก็มีพวกที่ตั้งใจ จะขโมยของๆเขาโดยตรงเลยที่ไปหยิบขโมยของเขาเอาดื้อๆ แล้วกระโดดน้ำตูม มุดน้ำหนีไปก็มี เช่นพวกมะม่วง ฝรั่ง แตงโม และสินค้าของเขาชนิดอื่นๆ

    อีแบบนี้ในกลุ่มของพวกผมไม่เอาหรอกครับ    เพราะไม่ได้คิดจะเป็นขโมยอาชีพ และก็กลัวกำนันโกวิทจับตีตูด หรือจับส่งพ่อแม่ ให้จัดการกันแย่อยู่แล้ว น่าจะเป็นกลุ่มพวกบ้านใน ซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับสถานีรถไฟ มีทางเล็กๆเดินผ่านบ้านป้าแจ่ม ขายขนมจีนเข้าไป หรืออีกทีก็พวกเด็กที่บ้านอยู่แถบริมน้ำทั้งสองฝั่งของแม่น้ำแม่กลอง   แล้วอีกอย่าง พวกผมมาเล่นน้ำกัน เพื่อความสนุกสนานตามประสาของเด็กเท่านั้น

    เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ   มีเด็กว่ายน้ำขึ้นไปลักขโมย สินค้าของเรือโยงแล้วบางทีคนเรือโยงก็อดไม่ไหว คว้าไม้คานตีเอาหัวแตกก็มี  แต่ผมก็ยังไม่เคยได้ยินว่า คนเรือถึงขนาดเอาฉมวกแทงปลา มาแทงเด็กขโมยของเลย

     คนเรือโยงคงคิดได้ว่าเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นไม่น่าจะเอาถึงบาดเจ็บสาหัส เอาแค่เบาะๆ เท่ากับว่าสั่งสอนพอให้รู้กันว่าไม่ควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันผิดนะ เท่านั้นเอง เฮ้อ ! เป็นงั้นไป  ! เรื่องราวเหล่านี้จึงไม่ค่อยได้รู้ถึงหู  เจ้าพ่อแห่งเจ็ดเสมียน กำนันโกวิท วงศ์ยะรา เลย

    ในบางครั้งเมื่อพวกเราไปเล่นน้ำกันที่ใกล้หาดทราย ฝั่งตรงกันข้ามกับท่าใหญ่ น้ำในหน้าแล้งไม่ลึกมากนัก พวกเราก็ช่วยกันมุดน้ำเอามือกวาดตรงไต้พื้นทราย เพื่อหาหอยกาบกัน หอยกาบชนิดนี้ มันจะอยู่ไต้พื้นทราย เป็นหอยที่สะอาดมาก เพราะว่ามันไม่ได้อยู่ตามโคลนตม ตัวโตขนาดฝ่ามือของผู้ใหญ่

    ถ้าวันไหนได้มากๆเราก็จะเอาใส่ ข้อง หรือบางคนเรียก ตะข้อง ซึ่งเป็นไม่ไผ่สานกันเป็นลูกกลมๆไม่ใหญ่มาก ที่ปากข้องมีฝาปิด แบบใส่ได้เอาออกไม่ได้ ถ้าจะเอาของออกจะต้องเปิดฝาออก จึงเอาปลาหรือหอยออกได้ และพอที่จะเอาติดตัวโดยสะพายหลังไปได้อย่างสะดวก

         คราวนี้ไอ้จุ้ย  (พอ.คะนึง คุ้มประวัติัจจุบันรับราชการเป็น ทหาร)  ทำหน้าที่เป็นคนตะพายข้อง คอยดูเรากวักมือเรียก เมื่อเราจับหอยกาบได้ และบางครั้งถ้าเราได้หอยกาบมากพอสมควร ในตอนเย็นๆก็จะให้ ป้าแช แม่ของไอ้ธรผัดเผ็ดหอยกาบ แบบไม่เผ็ดมาก  แล้วแต่ละคนที่ได้ช่วยกันไปหาหอยกาบมาก็ คดข้าว(ตักข้าว) มาจากบ้านคนละจานพูนๆ เพื่อมานั่งล้อมวงกินกับ ผัดเผ็ดหอยกาบที่บ้านไอ้ธร 

 เด็กที่ยืนทางด้ายซ้ายมือนั้น คือ พอ.คนึง (จุ้ย)คุ้มประวัติ เมื่อตอนเด็กๆ ยืนคู่กับ จสอ.ระฆัง สุวรรณมัจฉาและอารีย์ สุวรรณมัจฉา ที่หลังบ้าน ข้างกำแพงโบสถ์ เมื่อกว่า ๕๕ ปีมาแล้ว

     างครั้ง เฮียสุธี วงษ์วานิช พี่ชายของไอ้ธร ก็มาร่วมวงด้วย อร่อยมาก และสนุกดี  (พี่ธีนั้นอีกหลายปีต่อมา ก็ไปเป็นนายดาบตำรวจ ที่สถานีตำรวจวัดพระยาไกร กทม. จนเกษียณราชการไม่ได้กลับมาอยู่ที่เจ็ดเสมียนอีกเลย)

    ในการเอามือสองข้างกวาดเข้าหากันเพื่อหาหอยกาบนั้น ต้องระวังให้ดี  เพราะว่าไต้พื้นทรายนั้นมักจะเป็นที่กบดาน ของปลากระเบนน้ำจืด ซึ่งตัวไม่ค่อยใหญ่มากนัก แต่ก็เคยมีคนเจอตัวใหญ่ๆก็มี เหมือนกัน นานๆที

                          ไอ้เหม่ง (คะนอง คุ้มประวัติ) ตอนที่ถ่ายรูปนี้โตกว่าเหตุการณ์ในเรื่องนี้แล้ว

                             กำลังอุ้มน้อง (โน) ที่ตรงต้นทับทิมหลังบ้าน ในตลาดเจ็ดเสมียน

         ีครั้งหนึ่งผมกับไอ้เหม่ง (คะนอง  คุ้มประวัติ ) มุดลงไปไต้น้ำเอามือกวาดหาหอยกันอยู่ หลังจากมุดลงไปได้สักประเดี๋ยว มันรีบโผล่ทะลึ่งพ้นน้ำพรวดขึ้นมา มันก็ตะโกน เว้วๆ แบบตกใจสุดขีด ผมเห็นมันผมก็ตกใจตามมันไปด้วย

    ตั้งสติได้แล้วผมจึงถามมันว่า "เฮ้ยอะไรวะไอ้เหม่ง"  ไอ้เหม่งมันตอบว่า "ไม่รู้ซีผมถูกอะไรไม่รู้ตัวลื่นๆ ถากแขนผมไปเลย " 

"เมื่อไรวะ " ผมถามมันพร้อมกับคิดว่า สงสัยต้องเป็นปลากระเบนแหงๆ ผมจึงต้องเพิ่มความระวังตัวเต็มที่ เพราะไม่รู้ว่าจะเป็นปลากระเบน หรือตัวอะไรกันแน่

    อ้เหม่งว่า "เมื่อกี้นี้เองพี่ ตอนที่ผมมุดดำอยู่ใกล้ ๆ พี่นี่แหละ... ทำไมพี่ไม่โดนมันหรือ?..."

        "เมื่อกี้นี้เองหรือวะ !" ผมทำหน้าฉงน ทวนคำมัน แล้วว่า

        "เฮ้ย ไอ้เหม่ง นั่นมึงถูกแขนกูเองโว้ย... ไอ้ห่า กูตกใจหมดเลย ! "

                   ้าท่านต้องการอ่านต่อ กรุณาคลิ๊กที่     ท่าใหญ่ ๒     ด้เลยครับ

เขียนโดย นายแก้ว 

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้174
เมื่อวานนี้226
สัปดาห์นี้1627
เดือนนี้839
ทั้งหมด1344429

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

2
Online