มอเตอร์ไซค์ให้เปล่า ๔ รถยนต์คันแรก

นายปฏิพัทธ์และคุณหวานภรรยา เมื่อวันไปถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๓ (ภาพปัจจุบันนี้)

      ผมได้ยินแล้วผมคิดว่าภรรยาของผม เธอคงจะคิดถึงความไม่ปลอดภัยในการนั่งรถมอเตอร์ไซค์เสียแล้ว

      ผมจึงว่า “เมื่อสมัยก่อนรถยังน้อยก็ยังพอจะปลอดภัยบ้าง เดี๋ยวนี้รถมันมากมายไม่รู้ว่ามันมาจากไหนกัน เราระวังอยู่แล้วไม่ไปชนหรือเฉี่ยวมัน มันก็จะมาเฉี่ยวชนเราซึ่งเราเป็นมอเตอร์ไซค์ ก็ต้องล้มบาดเจ็บอยู่วันยังค่ำ”

    ใจจริงของผมก็อยากจะมีรถยนต์สักคันเหมือนกัน แต่ติดขัดตรงเรื่องเงินนี่แหละ จึงยังไม่อยากพูดอะไร คงต้องขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปก่อนอีกสักพักใหญ่ๆนั่นแหละ

  “เอาอย่างนี้ไม๊ล่ะ ” ภรรยาผมซึ่งกลบดินที่ปลูกต้นไม้ในกระถางเสร็จแล้ว บอกผมให้รดน้ำตรงโคนต้นมันด้วย เธอมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นแล้วพูดกับผมต่อว่า

   “คือเมื่อสองเดือนที่แล้วมานี้ คุณตุ๋ยกับสามีของแก (คุณตุ๋ยเป็นสมุห์บัญชีของบริษัทที่ผมและภรรยาทำงานอยู่ บ้านอยู่ในซอยวัดชิน ใกล้โรงงาน โค๊กปทุมธานี สามีเป็นนายทหารอากาศ อยู่บ.น. ๖ ดอนเมือง) ไปออกรถปิ๊กอัพใหม่มาคันหนึ่ง โดยการเอาที่ดินที่ปลูกบ้านอยู่ไปเข้าธนาคารไว้ แล้วเอาเงินนั้นไปออกรถ” พูดพลางเอาเสียมเล็กตักดินเพิ่มลงไปในกระถางต้นไม้อีก

   “ส่วนเงินของธนาคารที่กู้มานั้น แกก็ผ่อนของแกไปเรื่อยๆ ดอกก็น้อยเวลาผ่อนไปเรื่อยๆต้นจะลด แล้วดอกก็จะลดตามลงไปด้วย”

    แล้วภรรยาก็พูดให้ผมฟังต่อไปอีกอย่างยืดยาว เสร็จแล้วก็รอความเห็นของผมซึ่งผมก็ชักจะคล้อยตาม ถ้าได้อย่างนั้นจริงๆ ผมก็ไม่ต้องรอให้ถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่ ๑ เสียก่อนละซี

   ผมก็บอกว่า “ที่จริงก็ดีเหมือนกันนะ เราไม่ต้องมีเงินสดหรือไปขอยืมเงินคนอื่นเขามาก่อนให้เสียหน้า ถ้าเราสามารถทำอย่างคุณตุ๋ยได้ แล้วเราก็ผ่อนธนาคารเป็นเดือนๆไป ที่จริงเราน่าจะคิดอย่างนี้มานานแล้ว มัวแต่โง่รอล๊อตเตอรี่อยู่นั่นแหละ" ผมมองหน้าภรรยาแล้วถามว่า "จะเอากันอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่าล่ะ”

    ภรรยามองหน้าผมแล้วก็ว่า “คืนนี้ฉันจะโทรไปหาคุณตุ๋ยสอบถามรายละเอียดเขา ให้กระจ่างอีกสักหน่อย ของอย่างนี้ต้องศึกษาให้ดี ”

    ผมก็เลยพูดต่อว่า  “ยังงั้นคืนนี้โทรเลยนะคิดว่าคุณตุ๋ยคงอยู่บ้าน ถ้าเราเห็นดีวันจันทร์หรือวันอังคารนี้ ผมจะลองไปคุยกับธนาคารเขาดู  เอาที่ธนาคารไทยพาณิชย์สาขาสนามบินน้ำแหละดี"

   "เรามีบัญชีกันอยู่ที่นั่นแล้วนี่นา ผมรู้จักพนักงานที่นั่นหลายคน (เนื่องจากไปติดต่อที่ธนาคารให้บริษัทบ่อยๆ) คงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก” ภรรยาผมคงจะเห็นด้วยแกพยักหน้าหงึกๆ.. !

    เมื่อวันจันทร์มาถึงผมไม่มีเวลาว่างเสียเลย วันแรกของสัปดาห์ก็เป็นอย่างนี้ไม่ว่าที่ไหนทั้งนั้น ดูอย่างที่ทำการของรัฐบาลทุกๆแห่งซี พอวันจันทร์คนแน่นตึง ยิ่งที่โรงพยาบาลยิ่งแล้วคนแทบจะเหยียบกันตาย

   ขนาดที่บริษัทที่ผมทำงานอยู่ ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักหนา ลูกค้ายังประดังประเดเข้ามาสั่งของ โดยมากเป็นร้านค้าย่อยที่เป็นลูกค้าประจำ และมีผู้รับเหมาซึ่งซื้อกันเป็นประจำอยู่แล้วด้วย

   พนักงานทุกคนจึงต้องร่วมมือร่วมใจกันทำงานเต็มที่ เหมือนกลไกของเครื่องจักร เฟืองทุกตัวต้องหมุนไปพร้อมๆกัน การงานก็เดินหน้าไปอย่างราบรื่น

   ตัวผมเองทำงานที่บริษัทนี้มานานเกือบ ๑๐ ปีแล้ว ผู้จัดการใหญ่เขาให้ผมเป็น "ผู้แทนขายอาวุโส " จะเรียกว่าเป็นหัวหน้าฝ่ายขายก็ได้ (ที่จริงแล้วผมก็ไม่อยากเป็นหรอก) 

    ผมจึงมีหน้าที่ดูแลหน้าร้าน และต้อนรับลูกค้าทั้งร้านค้าปลีก และผู้รับเหมาด้วยโดยมีพนักงานช่วยอีกหลายคน แต่ทั้งหลายทั้งหมดในบริษัทนี้ก็อยู่ในความดูแลของภรรยาผู้จัดการใหญ่อีกทีหนึ่ง

  งานประจำของผมในเช้าวันจันทร์มันยุ่งอย่างนี้ ผมจึงไปไหนไม่ได้เลย ดังนั้นที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปธนาคารในวันจันทร์นั้น คงต้องเลื่อนไปเป็นวันอังคารหรือวันอื่นๆเสียแล้ว

    แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะว่าผมและภรรยาก็ไม่ได้เร่งรีบอะไรนักหนา และคิดว่าถ้าพอมีเวลาว่างก็จะเข้าไปคุยกับคุณตุ๋ย ที่ห้องของสมุห์บัญชีเขาอีกสักหน่อย เพื่อว่าจะได้รายละเอียดในการติดต่อกับธนาคารมากยิ่งขึ้น

    บ่ายแล้วงานที่ประดังเข้ามาในตอนเช้า ก็กำลังทยอยกันออกไปส่ง ผมขอบอกขั้นตอนการปฏิบัติงาน ในการบริการลูกค้าของบริษัทนี้สักหน่อย 

   ในตอนเช้าของทุกวันนั้นพนักงานที่อยู่หน้าร้านจะต้อนรับลูกค้า เมื่อลูกค้าต้องการสินค้าชนิดใดก็จะจดรายการไว้ แล้วก็คิดราคาในสินค้านั้นๆให้ลูกค้าทราบ

   ถ้าตกลงกันตามนั้นก็จะกำหนดนัดวันส่ง ลูกค้าใหม่ก็เขียนแผนที่ส่งเอาไว้ ลูกค้าเก่าที่ส่งที่เดิมก็ไม่ต้องเขียนแผนที่ให้ใหม่ รายการที่รับลูกค้าไว้ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แล้วก็เอารายการนั้นๆไปให้แผนกออกใบส่งของ (คือแผนกคอมพิวเตอร์ ในเวลานั้นที่บริษัทนี้ได้เริ่มนำคอมพิวเตอร์มาใช้แล้ว) ลงราคา ลงจำนวนเงิน เสร็จแล้วถ้าจะส่งของเลยก็เอาใบส่งของนั้นไปให้แผนกจัดส่ง

    ที่แผนกจัดส่งนี้ภรรยาของผม เธอเป็นคนจัดการในแผนกนี้ โดยจัดการให้รถคันนั้นคันนี้ คนงานชุดนั้นชุดนี้ ขึ้นของตามรายการและไปส่งยังจุดหมายตามแผนที่ๆลูกค้าเขียนให้ไว้

    โดยมีคนคอยเช็คของซึ่งเป็น ผู้ช่วยภรรยาผมอีกหลายคนคอยช่วยกันด้วย ดังนั้นรถส่งของทุกคันคนงานทุกคน จึงขึ้นอยู่กับภรรยาของผมเป็นผู้ดูแลทั้งหมด แต่ก็ขึ้นอยู่กับภรรยาของผู้จัดการใหญ่เหมือนๆกับทุกแผนก ขั้นตอนการปฏิบัติงานที่นี่จึงเป็นอย่างนี้

   จนกระทั่งเย็นเกือบเลิกงานผมจึงได้มีโอกาสคุยกับคุณตุ๋ย  พอผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมาคุณตุ๋ยก็ว่า “โอ๊ย...! อย่ามัวแต่รอให้ถูก ล๊อตเตอรี่ รางวัลที่ ๑ อยู่เลยพี่”  คุณตุ๋ยว่า  “หนูไม่อยากรอร๊อกล๊อตเตอรี่น่ะเซ็งเปล่าๆ “

   แล้วคุณตุ๋ยก็เล่าเรื่องต่างๆเกี่ยวกับการไปกู้เงินที่ธนาคาร จนกระทั่งไปเลือกซื้อรถกับสามีของแก ผมได้ฟังแล้วก็คิดว่าเราก็คงทำได้ เพราะว่าไม่เห็นจะมีเส้นสายอะไร กับการที่เราจะกู้เงินธนาคาร

   ทางธนาคารเขาจะเก็บเงินฝาก จากลูกค้าเอาไว้มากมายทำอะไร เขาก็ต้องเอามาออกให้กู้นั่นแหละ เพื่อจะได้เอาดอกเบี้ยมาเป็นเงินเดือนของพนักงาน และเอามาเป็นค่าใช้จ่ายอย่างอื่นด้วย ขืนเก็บเอาไว้เฉยๆเงินคงจะล้นธนาคารแน่ๆ

  จนกระทั่งเช้าวันพุธผมจึงได้มีโอกาสไปที่ธนาคาร ซึ่งที่ธนาคารนี้พนักงานธนาคารหลายคนรู้จักกับผมดี ผมตรงแน่วไปที่แผนกสินเชื่อเลยทีเดียวไปพบกับ พนักงานสินเชื่อ โต๊ะของแกอยู่ลึกๆเข้าไปข้างใน ซึ่งรู้จักกันมานานแล้ว

   ผมขอรวบรัดว่าการกู้เงินของธนาคาร เป็นไปอย่างราบรื่นโดยเอาโฉนดที่ดินที่บ้านผมเป็นประกัน ต่อมาต้องมีการไปถ่ายรูปบ้าน หลายท่าหลายมุม  และนัดกันไปทำนิติกรรมในการกู้เงินของธนาคาร

   ที่สำนักงานธนาคารไทยพาณิชย์สาขาสนามบินน้ำ ซึ่งอยู่ใกล้ที่ทำงานของผม พร้อมทั้งผมก็นำโฉนดไปให้เขาด้วย พนักงานสินเชื่อท่านนั้นได้ให้ความช่วยเหลือตามหน้าที่ของเขาเป็นอย่างดี ทุกอย่างจึงเสร็จเรียบร้อย   รอคอยให้เขาเอาเงินเข้าบัญชีของเราเท่านั้นเอง

   ต่อมาไม่กี่วันทางธนาคารก็บอกว่าเงินจำนวน ๓๕๐,๐๐๐ บาท ที่เรากู้จากธนาคารนั้นเอาเข้าบัญชีให้เรียบร้อยแล้ว ไปเบิกออกมาใช้ได้เลย ในการกู้เงินครั้งนี้ก็ตั้งใจไว้ว่าต้องการนำเงินไปซื้อรถ จริงๆแล้วราคารถที่เราจะซื้อนั้นไม่น่าจะเกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท

    แต่ที่กู้ถึง ๓๕๐,๐๐๐ บาทนั้น  ผมก็กะว่าจะเอาเงินที่เหลือจากซื้อรถนั้น ไปชำระหนี้ที่ผมค้างบริษัท คือเมื่อตอนที่ผมปลูกบ้านที่ห้าแยกปากเกร็ดนั้นผมได้นำวัสดุก่อสร้างต่างๆ ไปปลูกบ้านที่อยู่ปัจจุบันนี้เมื่อหลายปีมาแล้ว

   และก็ได้ใช้ให้บริษัทตลอดมาทุกๆเดือน คิดว่าคราวนี้คงใช้ได้หมดแน่ อยากจะชำระหนี้บริษัทเสียให้หมดๆไป ขอเป็นหนี้ที่ธนาคารทางเดียวจะดีกว่า แม้ว่าจะต้องเสียดอกเบี้ยให้เขาบ้าง สบายใจดี

    เรื่องทางการเงินที่จะใช้ในการซื้อรถนั้น ก็เรียบร้อยสมความตั้งใจ ไม่มีอะไรยุ่งยากเหมือนที่เรากังวลใจเลย

    “ผมบอกแล้วไงธนาคารมันอยากจะให้เรากู้จะตายไป  (แต่ต้องมีหลักทรัพย์ ) เอาเงินเก็บไว้เฉยๆจะดียังไง เงินจะล้นธนาคารหมดนะซี”

    ผมบอกภรรยาในตอนใกล้ค่ำ ขณะที่นั่งพักผ่อนกันที่หน้าบ้าน

    “ต่อจากนี้ในวันหยุดเราไปเดินดูรถกัน คิดว่าวันอาทิตย์ศูนย์ขายรถยนต์มันคงไม่หยุดหรอก” ผมบอกภรรยาให้เขารู้ว่าในเมื่อมีเงินแล้ว ผมก็อยากจะได้รถไวๆเหมือนกัน

    ภรรยาผมบอกว่า “เรื่องรถนั้นทำไมไม่ติดต่อคุณจำลองล่ะ (ผู้รับเหมามุงกระเบื้องหลังคาซีแพคโมเนีย ที่เป็นลูกค้าประจำของบริษัท และค่อยๆมาสนิทสนมกับผม และมีบทบาทกับผมไปอีกหลายสิบปี) ที่เขาเคยบอกเราว่าเขาซื้อรถได้ในราคาถูกน่ะ “

  คุณจำลองและภรรยา (ตัวจริงผู้ที่สนิทสนมกับครอบครัวผมมาตลอด) ภาพนี้กำลังไหว้พระขอพร ที่พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม

    เออ..! จริงซีนะคุณจำลองเคยบอกไว้ เมื่อสองสามเดือนมาแล้วว่า เรื่องรถถ้าต้องการแล้วให้โทรไปบอกจะจัดการให้ ผมมองดูคุณจำลองคนนี้แล้วท่าทางและนิสัยใจคอก็ใช้ได้  แกเป็นคนกว้างขวางมีพวกมาก รู้จักคนใหญ่คนโตเยอะ จิตใจก็สปอร์ตดี คงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรกับเราหรอก

    แต่ในส่วนลึกๆจริงๆแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างที่เราคิดหรือเปล่า มีใครคนหนึ่งเคยพูดว่า "รู้หน้าไม่รู้ใจ "  ผมจึงขอภาวนาให้คุณจำลองแกเป็นคนดีเถิด 

    ผมถามภรรยาว่า “ตกลงเราจะไม่ดูรถยี่ห้ออื่นๆเสียก่อนหรือ ถ้าจะเอารถนิสสันเลยก็ติดต่อคุณจำลองเขาได้”

   “ได้ยินคุณติดต่อถามใครต่อใครแล้วไม่ใช่หรือว่า รถนิสสันน่ะถูกที่สุดแล้ว “ภรรยาผมพูดขึ้น แล้วพูดต่ออีกว่า

    “เราก็ไม่ต้องเอาดีอะไรมากมาย ให้เป็นรถยนต์ก็แล้วกัน ถ้ามีเงินเหลือจะได้เก็บไว้เผื่อจำเป็นต้องใช้บ้าง”

     แล้วเราก็คุยกันเป็นที่ตกลงกันว่า เอารถนิสสันก็แล้วกัน เพราะเราเห็นว่าในตอนนั้น รถกะบะนิสสันออกใหม่ๆมาตั้งหลายรุ่น มองดูแล้วก็สวยดีพอสมควร ตามประสาคนที่ไม่รู้เรื่องรถเลย

    แล้วผมก็โทรศัพท์ไปหาคุณจำลอง ตามนามบัตรที่เขาให้ไว้ในตอนแรกๆ ที่บ้านของเขาในซอยวัดสมรโกฏิ ซึ่งเชื่อมต่อกับซอยเรวดีในค่ำวันนั้นเลย

    คุณจำลองรับสายฟังผมพูดเสร็จก็บอกว่า “ไม่รู้ว่าตอนนี้รถที่โรงงานยังมีหรือไม่ ผมจะติดต่อเพื่อนผมดูอีกทีหนึ่ง ยังไงแล้วพรุ่งนี้ผมจะส่งข่าวให้พี่ทราบนะครับ” คุณจำลองรับคำแล้วบอกผมว่าจะติดต่อเพื่อนถามให้ได้เรื่องในคืนนี้เลย

   ตอนเช้าคุณจำลองโทรมาหาผม ที่ๆทำงานอย่างที่บอกไว้เขาบอกว่า “ผมติดต่อเพื่อนของผมตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว (มาทราบภายหลังว่าเพื่อนคุณจำลองคนนี้ชื่อ นายสมฤกษ์) เพื่อนบอกว่าวันนี้จะไปเช็คที่โรงงานดูก่อน ถ้ามีแล้วก็นัดวันไปถอยกันเลย (ไปซื้อรถเรียกว่าการ ถอยรถไม่รู้ว่าใครเป็นคิดคำนี้ ) ขอให้พี่พร้อมนะ” คุณจำลองพูดท่าทางเอาจริงเอาจัง คล้ายๆกับต้องการช่วยเหลือผมเต็มที่

    ไม่ถึง ๑๐ โมงเช้าดีในขณะที่งานในหน้าที่ของผมกำลังซาๆไปแล้ว ผมกำลังคุยกับภรรยาของผมอยู่ที่แผนกจัดส่ง คุณจำลองก็โทรมาหาผมอีกผมเดินมารับโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานของผม คุณจำลองบอกว่า

   “มีข่าวดีมาบอกแล้วครับพี่ เพื่อนที่โรงงานบอกว่า เวลานี้มีรถที่ตัดออกมาจากการส่งมอบเอเย่นต์คันหนึ่ง เป็นรถนิสสันบิ๊กเอ็มทีดีตอนเดียว (สองประตู) เครื่องยนต์ดีเซล ๒,๕๐๐ ซีซี. สีน้ำเงิน ใหม่เอี่ยมแกะกล่องจากโรงงานเลยสวยมากทีเดียว”

   คุณจำลองบอกผมมาตามสายโทรศัพท์ แล้วหัวเราะชอบใจแกหยุดพูดนิ่งอยู่ คงคิดว่าผมจะแย้งอะไรออกมาบ้าง เมื่อไม่เห็นผมพูดอะไร คุณจำลองก็บอกผมต่อ

   “ราคาเอเย่นต์ทั่วไปเขาขาย ๑๙๙,๐๐๐ บาท แต่เพื่อนคนนี้เขาจะตัดให้เราเพียง ๑๗๕,๐๐๐ บาทเท่านั้น พี่จะเห็นเป็นอย่างไร”

 “ถ้าคุณจำลองเห็นว่าดีผมก็ไม่มีปัญหาอะไร คุณจำลองรอเดี๋ยวนะ “

   ผมหยุดพูดแล้วหันไปทางภรรยา ซึ่งตามมายืนฟังอยู่ด้วย ผมบอกถึงเรื่องที่คุณจำลองบอกมา ภรรยาผมพูดว่า

  ” ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เราก็ยังประหยัดเงินไปได้อีกตั้ง ๒ หมื่นกว่าบาท ตกลงกับเขาไปเลยก็แล้วกัน“

    ดังนั้นการเจรจาก็ดำเนินต่อไป จนกระทั่งได้ข้อสรุปผมกับคุณจำลองก็นัดกันในวันรุ่งขึ้น คุณจำลองบอกว่าจะมารับผมที่บริษัท ในเวลาประมาณ ๙ โมงเช้าแล้วก็ไปด้วยกันโดยคุณจำลองรับอาสาไปส่งผมถึงโรงงาน เพื่อไป ถอยรถ เลยทีเดียว ดังนั้นในเวลา ๘ โมงครึ่งผมก็ไปเบิกเงินที่ธนาคารมาเตรียมไว้ก่อน

   การไปรับรถที่โรงงานประกอบรถยนต์นิสสัน ที่ กม. ๒๑ ถนนบางนา – ตราด ในวันนั้นก็สำเร็จไปด้วยดี ด้วยความช่วยเหลือของคุณจำลอง และเจ้าหน้าที่ของโรงงานคือคุณสมฤกษ์คนนั้น

   วันนั้นก่อนจะนำรถออกจากโรงงาน ผมบอกคุณจำลองว่า ผมขอแยกกับคุณจำลองตรงนี้เลยคงไม่ว่ากันนะ แล้ววันอื่นค่อยมาพบกันใหม่ ที่เป็นดังนี้ก็เพราะว่า

    ผมต้องขับรถนิสสันสีน้ำเงินใหม่เอี่ยมคันนี้ กลับไปถึงบ้านรวดเดียวเลย โดยไม่ต้องจอดแวะที่ใด เพราะก่อนไปภรรยาของผมสั่งว่า

    “รถใหม่นั้นต้องเอาเข้าบ้านก่อน อย่าไปจอดที่ตรงไหน แล้วจะเป็นมงคล ทำมาหากินคล่อง อุบัติเหตุเภทภัยไม่เกิดขึ้น” 

    อันนี้เป็นความเชื่อของภรรยาของผมคนเดียวนะครับ แต่ถ้าใครจะทำตามเคล็ดลับอันนี้ ก็ยินดีไม่สงวนลิขสิทธิ์ครับ

    ผมกลับมาถึงบ้านแล้วภรรยาและลูกๆของผม มายืนดูและลูบๆคลำๆรถ ใหม่คันนั้นด้วยความยินดี ต่อจากนี้ไปเราจะได้เลิกขี่รถมอเตอร์ไซค์เสียที และจะไปไหนๆก็ไม่ต้องนั่งรถเมล์อีกแล้วด้วย ...

 

 รถยนต์นิสสันสีน้ำเงินซึ่งเป็นรถยนต์คันแรกของเรา (ในรูปคือคันนี้จริงๆ) ผมเอาไปใส่หลังคา ติดแอร์หลัง ใส่ล้อแม๊กซ์ แถมยังมีเบาะไว้นอนข้างหลังอีกด้วย 

      เป็นอันว่าตั้งแต่นั้นมารถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้า GL–100 สีแดง ของผมคันนั้นก็จอดอยู่เฉยๆในโรงจอดรถด้วยสภาพที่ดี นานๆทีลูกชายของผมจึงจะเอาออกมาขับเสียที

   ตั้งแต่วันที่รับรถมาเข้าบ้านแล้ว ก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับรถนิสสันคันใหม่นี้ ผมเอาไปติดหลังคาและทำแอร์ข้างหลัง พร้อมทั้งทำเบาะให้นั่งได้สองแถว ที่ร้านศิลปชัยไฟเบอร์ ห้าแยกปากเกร็ด (ปัจจุบันนี้ไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนหรือเลิกไปแล้วก็ไม่รู้) 

   ตลอดจนกระทั่งติดฟิมส์กันความร้อนทั่วทั้งคันอีกหลายหมื่นบาท ตามคำแนะนำของคุณจำลอง แกบอกว่าไปไหนๆจะได้นั่งข้างหลังไปกันได้ทั้งครอบครัวด้วย

    ดังนั้นรถยังไม่ได้ป้ายจริงมาเลย ยังเป็นรถป้ายแดงอยู่ ก็ไปเที่ยวกันไกลๆหลายแห่งแล้ว เหมือนเป็นการทดลองรถไปในตัว ที่จำได้แน่ๆในเที่ยวแรกก็ไปเที่ยวกันที่ หาดวนกร ที่แห่งนี้เป็นสถานที่พักผ่อนของข้าราชการกรมป่าไม้ในสมัยนั้น

 

บ้านพักริมหาดเก่าแก่หลังนี้เป็นหนึ่งในหลายหลัง ที่เป็นที่พักของข้าราชการกรมป่าไม้ ที่เขาจัดให้เราได้พักกันในคืนนั้น (ผมมาถึงก่อนยังมีคนอื่นตามมาอีกหลายสิบคน)

    ในตอนนั้นมีเพื่อนคนหนึ่ง ทำงานอยู่ที่กรมป่าไม้ได้เป็นผู้ชักชวนไป และได้ให้ความสะดวกเรื่องที่พัก  หาดวนกร นี้เป็นชายหาดที่สวยงามมาก มีบ้านพักหลายหลังเรียงรายกันอยู่ที่ริมหาดภายไต้ร่มต้นสน

 

 หาด วนกร (วะนะกอน) แห่งนี้เป็นหาดที่สวยงาม ในตอนนั้นยังไม่ค่อยมีคนไปเที่ยวกัน ดูคล้ายๆกับหาดสวนสนที่หัวหิน แต่ไม่ใช่นะครับ 

     ในสมัยที่ผมไปพักกันนั้น ทางกรมยังไม่ได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มาทราบในภายหลังว่า ปัจจุบันนี้ได้จัดให้เป็นที่ท่องเที่ยวแล้ว

    หาดวนกร นี้อยู่ไกลมากไปหน่อย อยู่ที่ก.ม.๓๔๕ ถนนเพชรเกษม คือว่าเลยจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ไปอีก ๒๕ กิโลเมตรพอดี แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปสัก ๑ กิโลเมตรก็จะถึงชายทะเลที่มีหาดทรายอันสวยงาม ที่เรียกว่าหาด วนกร

.

กลับจากหาดวนกร ก็แวะมาเรื่อยๆ ภาพนี้แวะที่หมู่บ้านประมงปากน้ำปราณ ซื้อของทะเลกลับไปฝากญาติมิตรที่บ้าน

   ต่อจากนั้นก็ไปเที่ยวกันที่จังหวัดระยองอีก ไปนั่งกินนั่งเล่นกันอยู่ที่หาดสวนสน ขากลับมาก็แวะเข้าไปที่บ้านเพ หาซื้อของทะเลกลับมาบ้าน แล้วก็ยังไปเที่ยวกันอีกหลายๆที่ คุ้มค่ากับการมีรถยนต์เลยทีเดียว

ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า มีรถยนต์แล้วก็ไปเที่ยวไหนๆกันทั่ว แล้วมีใบอนุญาติขับรถยนต์หรือเปล่า ผมขอตอบว่า มีแล้วครับ ใบอนุญาติขับรถยนต์นี้ผมทำมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๙ ที่ผมยังไม่ได้มาทำงานอยู่ที่บริษัทนี้

   รถยนต์นิสสันคันนี้จึงเป็นรถคันแรกที่ได้นำพาผมและครอบครัวไปธุระ หรือจะไปเที่ยวพักผ่อนกันในที่หลายๆแห่ง โดยไม่ต้องนั่งรถเมล์ประจำทางไปอีกแล้ว.......    

  อ่านต่อตอน ๕  คลิ๊ก

เขียนโดย ปฏิพัทธ์ ศุกร์ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้546
เมื่อวานนี้594
สัปดาห์นี้2161
เดือนนี้8419
ทั้งหมด1327753

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

2
Online