มอเตอร์ไซค์ให้เปล่า ๕ ลาออกจากงาน

ผู้เขียนในปัจจุบันนี้กับเพื่อนๆที่เป็นเด็กเจ็ดเสมียนด้วยกันในอดีต

     หลังจากที่ผมได้ซื้อรถยนต์กะบะนิสสันแล้วไม่นานนัก ผมและภรรยาได้ลาออกจากบริษัทที่ผมอยู่มานานถึง ๑๐ ปี เนื่องจากมีความขัดแย้งกับผู้บริหารบางคนในบริษัท

      และผมก็ทำเป็นอวดเก่งมีความถือทิฐิเป็นอย่างมาก เพื่อนที่ร่วมงานกันมานานก็บอกว่าอย่าใจร้อน คิดให้ดีๆก่อนเสียก่อนลาออกไปแล้ว คนที่ไม่มีความรู้อย่างพี่นี่งานในสมัยนี้หาง่ายเสียเมื่อไหร่ แต่ผมก็ไม่ยอมอยากจะลาออกให้มันสะใจท่าเดียว

     ผู้จัดการใหญ่เห็นใบลาของผมแล้ว ก็เรียกผมไปถามและบอกว่าอยากจะลาออกก็ไม่เป็นไร แต่อยากจะให้อยู่ช่วยกันไปก่อนอีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งผมก็ยืนกรานขอลาออกท่าเดียว ผู้จัดการใหญ่บอกว่าก็ตามใจก็แล้วกัน แล้วก็อนุญาติให้ผมและภรรยาออกได้ 

    ในตอนที่ผมตัดสินใจลาออกจากบริษัทในตอนแรกนั้น เรียกว่าเป็นการลาออกอย่างกระทันหันไม่ได้คิดล่วงหน้ามาก่อน เลยคิดไม่ออกว่าจะไปทำอะไรกินดี คิดไปอีกทีก็เสียดายงานที่ทำอยู่และทำมาตั้งนานจนชำนาญแล้ว

    แต่เมื่อมาคิดอีกด้านหนึ่งนั้น ก็คิดว่าคนเรามันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกันบ้าง ชีวิตนี้จะมาจำเจอยู่กับงาน ที่บริษัทนี้ที่เดียวก็คงจะไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกนะ

    ผมทำใจเย็นๆและคิดในใจว่า ค่อยๆคิดกันไปก็แล้วกัน อีกอย่างหนึ่งเรื่องการทำงานก่อนที่ผมจะได้มาทำงานที่นี่ ผมก็เข้าออกมาหลายที่แล้ว คงเป็นเพราะว่าผมทำงานที่นี่นานเกินไป

งานฌาปนกิจศพคุณแม่สละ สุวรรณมัจฉา เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๔ ที่วัดเจ็ดเสมียน อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ในตอนนั้นผมออกจากบริษัทที่ผมทำงานได้ ๓ ปีแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในวงการค้าวัสดุก่อสร้างอยู่ ดังจะเล่าในตอนต่อๆไป 

    ผมจึงเหมือนกบอยู่ในกะลาครอบมา กว่า ๑๐ ปี โลกภายนอกเขาเป็นอย่างไรกันบ้างเราก็ไม่รู้ มัวแต่มาทำให้เขาจนร่ำรวยมหาศาล งานการภายนอกกะลาครอบนั้น ยังมีอีกมากมายเพียงแต่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำเท่านั้น

   ..เมื่อไม่ได้ไปทำงานแล้วเราก็พอมีเวลาที่จะไปไหนมาไหนบ้าง  โอกาสว่างอย่างนี้เราจึงขับรถนิสสันของเรา ไปเยี่ยมญาติพี่น้องและเพื่อนๆที่ตลาดเจ็ดเสมียนบ้าง ไปเยี่ยมถิ่นเดิมที่เราเคยอยู่ที่นิคมรถไฟมักกะสันเมื่อตอนยังเป็นวัยรุ่นอยู่บ้าง

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒ เข้ามาเที่ยวที่ตลาดเจ็ดเสมียนไม่พบเพื่อนฝูงที่วิ่งเล่นกันตอนสมัยเด็กๆ แยกย้ายกันไปทำมาหากินที่อื่นๆกันเสียหมดแล้ว พบแต่คนสูงอายุที่ยังอยู่ที่ตลาดเจ็ดเสมียนนี้ ไปนั่งกินอาหารตรงร้านอาหารเล็กๆหลังสถานีรถไฟ คนขายเก่าๆก็เลิกไปหมด แต่ร้านขายอาหารตามสั่งของนายกลึงก็ยังให้ลูกหลานขายอยู่ ตลาดเจ็ดเสมียนทำไมจึงเงียบเหงาอย่างนี้  

     ถ้าไม่ได้ไปไหนก็อยู่เฉยๆพักผ่อนอยู่ในบ้านทั้งวัน และปรึกษากันว่าเราจะไปสมัครงานกันที่ไหนดี ภรรยาของผมบอกว่า เราจะไปกลัวอะไร

    เจ้าของบริษัทร้านค้าที่เรารู้จักมีตั้งมากมาย เมื่อเราไปสมัครเขาก็คงจะรับเราเข้าทำงานด้วย เพราะอย่างน้อยเขาก็ต้องรู้ว่า เราทำงานเป็นหรือไม่เป็นอย่างไร และเคยทำงานที่ไหนมาก่อน

   แต่ผมก็มีข้อแย้งกับภรรยาของผมว่า ไม่อยากจะไปสมัครทำงานกับบริษัท ร้านค้าที่รู้จักกับเราเลย บางทีเขาก็อาจจะไม่กล้ารับเราเสียด้วยซ้ำ เพราะว่าเขาก็ต้องเกรงใจบริษัทเดิมที่เราเคยทำงานอยู่แล้ว

   และบางบริษัทเขาก็ไม่กล้ารับเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเราออกจากบริษัทเก่ามาด้วยเหตุอันใด มันเป็นเรื่องที่ผมและภรรยาหนักอกหนักใจ ในเรื่องการหางานทำเป็นอันมาก

ไม่ได้ไปทำงานว่างๆก็เลยจับ "ไอ้ดุ๊ก" มาอาบน้ำภายในบริเวณบ้านที่ปากเกร็ด

   หลายวันแล้วที่ผมและภรรยาออกจากงานกัน และอยู่แต่ในบ้านยังวางแผนกันไม่ตกว่าจะไปทำงานอะไรกันดี เย็นวันนั้นเรากำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ม้านั่งภายในบริเวณบ้าน  ได้ยินเสียงรถยนต์คันหนึ่ง มาจอดที่ข้างรั้วอิฐบล๊อกหน้าบ้าน แล้วก็ดับเครื่องยนต์

    สักครู่หนึ่งมีผู้ชาย ๒ คนเดินมาเกาะที่ประตูเหล็กบ้านผม ไอ้ดุ๊กหมาที่ผมเลี้ยงไว้ตั้งแต่เล็กๆเห่าเสียงดังลั่น ผมมองไปก็จำได้ว่าเป็นคุณจำลองลูกค้าเก่าที่บริษัทเดิมนั่นเอง

    ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นรูปร่างเล็กๆขาวๆเหมือนคนจีน หัวเถิกๆนิดหน่อยผมไม่เคยรู้จักมาก่อน “สวัสดีครับพี่ ” เสียงคุณจำลองกล่าวทักทายมา พร้อมกับยกมือไหว้อยู่นอกประตูบ้าน

นอกจากเป็นผู้รับเหมามุงกระเบื้องหลังคา โมเนียแล้ว คุณจำลองก็ยังเป็นผู้รับเหมาปูบล๊อกประดับพื้นของซีแพคด้วย กำลังอธิบายขั้นตอนในการปูบล๊อกให้ลูกน้องฟัง

    ภรรยาผมเดินไปเลื่อนประตูเหล็กให้ ส่วนผมก็ตวาดไอ้ดุ๊กให้มันหยุดเห่าเสีย คุณจำลองและชายคนหนึ่งที่มาด้วยกันนั้นเดินเข้ามาในบ้าน ผมเชิญให้นั่งที่โต๊ะหินขัดหน้าบ้าน ตรงนั้นกำลังได้ร่มของต้นมะม่วงพอดี

    “วันนี้คุณจำลองมีอะไรจึงมาถึงที่บ้านผมได้” ผมทักทายเป็นคำแรก คุณจำลองบอกว่า “ ได้ข่าวว่าพี่ไม่ได้ทำงานที่นั่นแล้ว ผมจึงมาหามาคุยกับพี่ และก็พาเพื่อนมารู้จักด้วย”

    แล้วคุณจำลองก็ได้แนะนำให้ผมทราบด้วยว่า คนที่พามาหาผมด้วยกันนั้นคือใคร ผมจึงทราบว่า เขาชื่อคุณชัยพร หรือเรียกกันเล่นๆว่า “เชน” (ถัดจากนั้นมา ผมก็เรียกแกว่า “พี่เชน” แล้วก็เข้ามาพัวพันในชีวิตผมกว่า๑๕ ปี)

ผู้เขียนกับ "ไอ้ดุ๊ก" ที่บ้านปากเกร็ด

    คุณชัยพรหรือพี่เชนนั้น มีอายุอ่อนกว่าผมสักปีหนึ่งเห็นจะได้  เป็นผู้รับเหมาปูบล็อกประดับพื้น ซีแพค รายใหญ่ มีความต้องการซื้อบล็อก ซีแพค นี้จำนวนมากในเดือนหนึ่งๆ 

     เมื่อแนะนำกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งคุยกันถึงเรื่องงาน คุณจำลองและคุณชัยพรแนะนำให้ผมค้าขายเองเสียเลย  เพียงแต่หาเงินทุนมาลงเท่านั้น แล้วคุณจำลองและพี่เชน ก็จะเป็นลูกค้าของผมซึ่งก็นับว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่

    คนทั้งสองก็รับปากว่าจะเป็นคนหาลูกค้ามาเพิ่มเติมให้ผมอีก ผมจึงขอรวบรัดในตอนนี้เลยว่า ในการคุยกันวันนั้นผมคิดของผมเอาเองว่า  เป็นสิ่งที่ดีและจะเป็นการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง ในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้

    เราคุยกันเป็นเวลานานด้วยความถูกคอกัน และรู้เรื่องในแนวทางที่ผมจะต้องทำ เมื่อคนทั้งสองลากลับไปแล้ว ผมจึงเล่าให้คุณหวานฟังถึงเรื่องที่เราคุยกัน ผมบอกคุณหวานภรรยาของผมว่า

   “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเราจะเริ่มงานใหม่ของเราแล้ว ” 

เขียนโดย ปฏิพัทธ์ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๓ 

 อ่านตอนที่ ๖    คลิ๊ก

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้474
เมื่อวานนี้485
สัปดาห์นี้2448
เดือนนี้8615
ทั้งหมด1338499

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online